วันศุกร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2563

ไร่เสน่หาจองจำหัวใจ : บทที่ 7 เตรียมพื้นที่ใจ


นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องไร่เสน่หาจองจำหัวใจ

 


 
ปฐพีกลับเข้าไร่เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น เขาให้คำมูลถ่ายทอดคำสั่งไปว่ายังไม่มีการยกเลิกคำสั่งให้เมฆพ้นจากการเป็นคนงาน แต่จะให้โอกาสเมฆได้ทำงานเพื่อให้เวลากลับตัวกลับใจ และไม่หวนกลับไปเล่นการพนันอีก
สิบเอ็ดโมงปฐพีขับรถไร่ ลักษณะรถแบบที่นั่งคู่ ขับเคลื่อน 4 ล้อไม่ได้พ่วงอุปกรณ์ เพื่อให้วิ่งเข้าไปทำงานระหว่างแถวพืชและคันดินได้คล่องตัว มีกระจกกว้างมองเห็นได้รอบด้าน เบาะนั่งสบาย ลุกออกสะดวกและรวดเร็ว ซึ่งเครื่องยนต์ตัวถังรถสูงกำลังนำพาเขาเข้าสู่พื้นที่องุ่นทางฟากตะวันออก หลังจากใช้เวลา
ตรวจตราความเรียบร้อยไร่ฝั่งตะวันตกพอสมควรแล้ว
สายตาคมกวาดไปทั่วเนื้อที่กว่าห้าพันไร่ ซึ่งบรรพบุรุษปานเทวาได้สร้างอาณาจักรไร่องุ่นบนพื้นดินติดเขาใหญ่ และได้แบ่งพื้นที่ไร่สองฟากฝั่งแยกพันธุ์องุ่นสำหรับผลสดและสำหรับทำไวน์
ในเวลานี้ชายหนุ่มหยุดยืนและส่งสายตาจับจ้องหญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับการใช้จอบขุดดิน บางช่วงเขาก็เผลอยิ้มในขณะเห็นหญิงสาวใช้ไม้ท่อนเล็ก ๆ พยายามเขี่ยดินออกจากพื้นรองเท้า ซึ่งดินเหนียวเกาะกรังจนมองแทบไม่เห็นสีเดิมของมัน ใครจะรู้ วันหนึ่งภายในไร่แห่งนี้จะมีสาวสวยจากสังคมไฮโซมายืนถือจอบขุดดินและคอยแคะขี้ดินออกจากรองเท้าแบบนั้น
แสงแดดแผ่รังสีร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้หลายต่อหลายครั้งที่รัญชิดายกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ไหลรินสองข้างแก้ม ทว่าเช็ดเท่าไรก็เหมือนเหงื่อกาฬยิ่งผุดพรายออกมาไม่ขาดสาย เธอวางจอบในมือลง เพื่อยืดตัวหวังบรรเทาความปวดเมื่อยตามร่างกาย
“ทำแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรือรัญชิดา”
น้ำเสียงแดกดันที่แสนคุ้นเคย ทำให้เธอต้องหันขวับมามอง และเมื่อเขามาหยุดยืนใกล้ ๆ หัวใจที่เคยลิงโลดกับอิสระกลับเต้นแรงกว่าปกติ คล้ายหัวใจเหนื่อยล้ามันกำลังเบิกบานอย่างน่าประหลาด
แต่รัญชิดาก็ให้เหตุผลกับตนเองว่า ในพื้นที่ไร่แห่งนี้ปฐพีเป็นคนเดียวที่เธอรู้จัก พอเขาหายไปนานเธอจึงรู้สึกเคว้งคว้าง พอเห็นเขากลับมาเธอจึงรู้สึกสบายใจ
“ว่าไง ฉันถามว่าทำแค่นี้ก็ไม่ไหวแล้วหรือ?” ปฐพีถามย้ำ เมื่อยังเห็นหญิงสาวยังยืนจ้องเฉย
“คุณได้ยินเสียงบ่นของฉันแล้วยังล่ะ?” เธอย้อนถาม พร้อมหลิ่วตาท้าทาย 
ปฐพีหรี่ตามองอย่างหงุดหงิด ผู้หญิงคนนี้ปากกล้า ช่างไม่สำนึกเลยว่าเขามีอำนาจเหนือตนทุกอย่าง
“ปากแข็งแรงดี อย่างนี้คงเหมาแปลงนี้คนเดียวไหวสินะ” พูดจบ ชายหนุ่มพอใจที่ได้เห็นแววตาวูบไหวของอีกฝ่าย ก่อนจะเห็นมันกลับมาเปล่งประกายท้าทายเขาอีกครั้ง
“คุณว่า ไหว ฉันก็ไม่มีสิทธิ์บ่ายเบี่ยงหรอกค่ะ” หญิงสาวเชิดหน้า ไร้ความหวั่นเกรงเหมือนอย่างเคย แม้จะรู้แก่ใจว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีอำนาจเหนือเธอ
“แวว!” เสียงเข้มเต็มอำนาจร้องเรียกคนงานหญิงคนหนึ่งที่ยืนรวมอยู่ในกลุ่ม ไม่นานแวววิ่งกระหืดกระหอบมาทันที “ไปบอกคนงานหญิงที่รับผิดชอบแปลงนี้ ให้ย้ายไปทำแปลงถัดไปได้เลย เพราะพื้นที่แปลงนี้นายหญิงรัญจะทำคนเดียว”
อย่าว่าแต่แววจะผงะตัวเธอเองได้ฟังแล้วหัวใจยังหล่นวูบ ก็ขนาดมีคนช่วยถึงสี่คนงานแปลงนี้ยังไม่ค่อยคืบหน้า แล้วถ้าเหลือเธอคนเดียว ชาตินี้มันจะเสร็จไหม
“นายหญิงเตรียมแปลงคนเดียวจะไหวหรือนาย แปลงนึงยาวอยู่นะนาย” แววมีสีหน้าวิตก กับการปล่อยให้นายหญิงรูปร่างบอบบางเหมาคนเดียวทั้งแปลง
“แปลงมันจะขนาดไหนไม่สำคัญ ที่สำคัญมันเป็นคำสั่งของฉัน” เสียงเข้มย้ำเฉียบขาด แววได้ฟังถึงกลับตัวลีบ จากนั้นพยักหน้ารับคำสั่งและวิ่งกลับไปหาเพื่อน ๆ
รัญชิดามองตามร่างผอมที่วิ่งอย่างกระฉับกระเฉงกลับไปถ่ายทอดคำสั่งต่อเพื่อนในกลุ่ม ไม่นานสายตาทุกคู่ต่างหันมาจ้องเธอเป็นจุดเดียว ก่อนจะพากันคว้าเสียมคว้าจอบยกขบวนย้ายไปอีกแปลง เห็นแล้วหัวใจเริ่มหดหู่จริง ๆ
“ร้ายซะให้พอใจไปเลย” เธอแกล้งบ่นดัง ๆ หลังแอบค้อนขวับใส่คนเจ้าเผด็จการ
“พยศนักก็ต้องเจอร้าย ๆ แบบนี้แหละ” เขาว่า แล้วกำชับต่ออีก “สองวันนี้พลิกหน้าดินให้เสร็จล่ะ เพราะสัปดาห์หน้าเราจะเตรียมลงแปลงปลูกกันแล้ว”
รัญชิดานิ่งฟังเขากล่าวเตือนเรื่องกำหนดเวลาลงงาน คงหวังเร่งเร้าให้เธอทำงานให้เสร็จตามเป้าหมาย ห้ามช้ากว่านี้ แม้ว่าร่างกายจะเหนื่อยแทบขาดใจก็ตาม
จากนั้นเธอก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ไร้เสียง ไร้อากัปกิริยาใด ๆ เพื่อบอกเป็นนัยต่อชายหนุ่มเจ้าของไร่ ว่าเธอพร้อมก้มหน้ารับชะตากรรมอันแสนร้ายนี้ด้วยความเฉยเมย
ปฐพีเห็นหญิงสาวไม่แสดงอาการตอบรับใด ๆ เขาจึงถอยตัวออกมายืนดูอยู่ห่าง ๆ พลางคิดว่าคำสั่งเมื่อครู่มันไม่เคยปรากฏในความคิดมาก่อน แต่เพราะท่าทางหยิ่งผยองของอีกฝ่าย มันจึงทำให้เขาอยากเห็นแววตาร้อนรน ทว่านอกจากเขาจะไม่ได้เห็นสิ่งนั้นในดวงตาของหญิงสาวแล้ว เขายังได้รับความเฉยเมยมาเป็นการตอบแทน
“ดูนายหญิงมุ่งมั่นกับงานนี้มากนะครับ” เสียงคำมูลเอ่ย เมื่อมาหยุดยืนอยู่ใกล้นายหนุ่ม แล้วเห็นสายตายากจะเข้าใจนั้นมองให้ความสนใจหญิงสาว ที่เนื้อตัวยามนี้ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
“จะมุ่งมั่นได้สักเท่าไหร่กัน” ปฐพีหันมากล่าว มุมปากกระตุกยิ้ม
“ก็คงต้องดูกันไป” จากสายตาของคนผ่านโลกมาค่อนชีวิต ทำให้คำมูลมองเห็นความเย่อหยิ่งทะนงในแววตานายหญิงสาว และมันบ่งบอกถึงนิสัยไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ซึ่งคาดการณ์ได้ว่าบุคคลเช่นนี้จะสามารถทำงานในไร่ได้ลุล่วง และไม่ว่านายหนุ่มจะมอบหมายให้ทำอะไรบุคคลนี้จะอดทนทำจนสำเร็จ

เที่ยงตรง..มือรัญชิดากระชับจอบไว้มั่น ขณะมองรถกระบะขับไปจอดบริเวณอาคารที่เรียกเพิงพัก เธอคิดว่าจะต้องเป็นรถส่งอาหาร เพราะในนาทีที่คนงานมองเห็นต่างวางอุปกรณ์ในมือลง และทยอยเดินมุ่งหน้าไปอาคารแห่งนั้นทันที
รัญชิดาคงก้าวตามคนงานไปแล้ว ถ้าไม่เผอิญมองเลยอาคารไปเห็นค้างองุ่นผลดกเสียก่อน องุ่นสีม่วง?
“รัญชิดา เธอไม่เห็นหรือว่านี่มันเวลาพัก” เสียงเข้มดังแม้จะคุ้นเคยแต่ก็ทำให้คนกำลังปล่อยจิตปล่อยใจล่องลอยถึงกลับสะดุ้ง ส่งผลให้จอบที่ถือหลุดมือพร้อม ๆ กับร่างซวนเซเกือบล้ม
“ว้าย!
“รัญชิดา!” ปฐพีตกใจรีบคว้าร่างที่เกือบจะล้มเข้าสู่อ้อมแขน วูบหนึ่งชายหนุ่มรู้สึกผิดที่ตนอาจจะเร่งเร้าให้หญิงสาวตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป “เป็นอะไรหรือเปล่า?”
น้ำเสียงอาทรอ่อนโยน ทำให้คนที่อยู่ในวงแขนถึงกลับเงยขึ้นมองอย่างแปลกใจ ว่าใช่เสียงของเขาจริง ๆ หรือเปล่า
“ปล่อยเถอะค่ะ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว” เมื่อตั้งสติได้ มือเธอยันตัวออก แต่ชายหนุ่มกลับมีสีหน้าไม่พอใจ
“โรครังเกียจหนุ่มบ้านไร่กำเริบสินะ” พูดจบ ปฐพีบีบท่อนแขนเรียวและกระชากให้ร่างนั้นเข้ามาปะทะอกแกร่งก่อนพูดเสียงเครียด “จะรังเกียจหนุ่มบ้านไร่ยังไง ก็ขอให้จำใส่ใจด้วยรัญชิดา ว่าเธอเป็นเมียฉัน” พูดจบ เขาก็ผลักไสร่างเธอออกห่างอย่างไม่ใยดี
นั่นเพราะปฐพีคิดไปว่าหญิงสาวรังเกียจรังงอนร่างกายที่เปรอะดินเปรอะโคลนของเขา จึงพาลเอาเรื่อง
 “คุณปฐพี ฉันไม่ได้..” รัญชิดาอ้าปากค้าง ไม่ทันคิดว่าเขาจะเข้าใจผิดแบบนั้น แล้วก็ได้แต่ถอนใจ เมื่อเห็นเขาเดินหน้าตึงจากไป โดยไม่คิดอยู่ฟังคำอธิบาย “ไม่ฟังก็อย่าฟัง แต่ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นสักหน่อย” บ่นอุบอยู่คนเดียว เธอก็ก้าวเท้าตามหลังเขาไป
เพิงพักเป็นอาคารพื้นปูนยาวหลังคาปูด้วยกระเบื้อง แบ่งส่วนเป็นที่พักกินอาหารและห้องทำงานของผู้ดูแล คนงานต่างเข้าแถวรอรับอาหาร จากนั้นจะมานั่งรับประทานกันบนเสื่อพร้อมพูดคุยกันสนุกสนาน มีบางส่วนที่รีบกินรีบเสร็จเพื่อจะใช้เวลานอนกลางวันนาน ๆ เก็บแรงไว้ทำงานช่วงบ่าย
เธอนั่งกับปฐพีบนเสื่อที่ปูห่างจากกลุ่มคนงานเล็กน้อย เบื้องหน้ามีสำรับจัดวางครอบฝาไว้อย่างดี นางขยับมาเปิดฝาครอบออกทันทีที่เห็นความเรียบร้อยของเจ้านาย แล้วกล่าวถึงเมนูอาหารฝีมือป้ามาลัยให้เธอฟัง
“วันนี้ป้าแกจัดมาให้นายหญิงโดยเฉพาะเลยจ้า มีต้มปลาช่อนผักแขยง ผักสดกับลาบปลาดุก”
ดูเหมือนนางจะเอาใจเธอเป็นพิเศษ จนทำให้นายหนุ่มเกิดหมั่นไส้จึงแกล้งทำเสียงกระแอมใส่ ซึ่งก็ถึงกลับทำให้นางคอย่นเลยทีเดียว จากนั้นเขาจึงเอ่ย
“อาหารป้ามาลัยจะทำส่งคนงานแค่มื้อเดียว เลิกพักแล้วจะเก็บกลับบ้านไร่ทั้งหมด ถ้าเธอไม่อยากเป็นลมล้มพับไปอีก ก็อย่าอิดออดรีบ ๆ กินซะให้อิ่ม”
รัญชิดามองค้อนคนเตือน ก็ใครล่ะใช้แรงงานเธออย่างหนัก นอกจากไม่คำนึงถึงว่าเธอเพิ่งจะเคยทำงานไร่เป็นครั้งแรกแล้ว สายตาของเขายังจับจ้องจนเธอกระดิกกระเดี้ยตัวไม่ได้ ดีนะตอนที่ยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย เธอเข้าชมรมปลูกต้นไม้เพื่อโลก และกิจกรรมของชมรมก็ทำให้เธอได้สัมผัสงานเกษตรอยู่เนื่อง ๆ ไม่เช่นนั้นยังไม่รู้เลยว่าเธอจะทำงานในไร่นี้ได้ถึงชั่วโมงหรือเปล่า
“อ้าว กินสิ เดี๋ยวฉันกินหมดนะ” เสียงเข้มยังดังมาเร่งเร้า
เพราะร่างกายของเธอกำลังเรียกร้องอาหารหรอก เธอถึงไม่อยากต่อปากต่อคำ มือเรียวหยิบผักสดวางในจานตักลาบปลาดุกมาใส่พอคำจากนั้นใช้ช้อนตักใส่ปาก ลาบรสชาติเผ็ดนิด ๆ แต่ก็อร่อยเมื่อแกล้มด้วยผักพื้นบ้าน
“นี่ผักอะไรหรือจ๊ะนาง?” เธอถามนาง ทั้งกำลังเคี้ยวอย่างอร่อย
“ผักพริกม้าจ้านายหญิง” ปากนางตอบ แต่ดวงตาจับจ้องวงหน้าหวานของนายหญิงสาวด้วยความชื่นชม
“คนภาคกลางเรียกผักแพว แต่คนถิ่นนี้เขาเรียกผักพริกม้า” คนก้มหน้าก้มตากินนึกอยากอธิบาย ก่อนจะปล่อยให้นางได้พูดเจื้อยแจ้วต่อไป
“ผักพริกม้ากินกับอ่อมกบอร่อย กินกับลาบก็อร่อย ชาวบ้านชอบกิน เมื่อก่อนป้ามาลัยให้คนงานไปเก็บตามริมน้ำตก แต่ตอนนี้ไปเก็บไม่ได้เพราะมีกระท่อมริมธาร อุ้ย!” นางรีบยกมือขึ้นปิดปากเมื่อมองสบดวงตาปรามของนายหนุ่ม
รัญชิดาเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้วัยรุ่นที่กำลังเพลิดเพลินกับการเล่าถึงผักพื้นบ้านอยู่ดี ๆ ก็หยุดชะงักเสียดื้อ ๆ อีกทั้งทำท่าเหมือนสถานที่พูดถึงนั้นเป็นความลับ
“กระท่อมริมธารอะไรหรือจ๊ะนาง?” ยิ่งนางหุบปากสนิทแล้วกระเถิบถอยห่าง เธอก็ยิ่งสงสัยใคร่รู้ แต่เสียงปฐพีดังแทรกขึ้นมา ขัดขวางความสงสัยของเธอเสียก่อน
“กินข้าวได้แล้วรัญชิดา เธอยังต้องทำงานต่อช่วงบ่าย”
เมื่อจับสังเกตนางคอยก้มหลบหน้าหลบตาไปทางอื่น รัญชิดาจึงหันมาสบตาชายหนุ่ม และเธอมองว่าสองคนนี้มีพิรุธจริง ๆ กระท่อมริมธาร ที่แห่งนั้นเป็นอย่างไรกัน? เหตุใดนางจึงพูดถึงไม่ได้?
 ราคาขาย: 200 + 40 = 240 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 
ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ไร่เสน่หาจองจำหัวใจราคาปก 319x10%=31 บาท + ค่าส่ง 40 = 71บาท
(เฉพาะพื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่ง ยอดยืม 31 บาทจะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อนคือ 319 บาท ต่อเมื่อส่งหนังสือคืนร้านแล้ว ทางร้านจะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ
 
 

 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น