วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2563

ไร่เสน่หาจองจำหัวใจ : บทที่ 13 บ้านไร่แสงจันทร์


 

นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องไร่เสน่หาจองจำหัวใจ

 

 บนเนื้อที่หนึ่งพันไร่ฉากหลังล้อมด้วยภูเขาดุจดั่งกำแพงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือไร่องุ่นแสงจันทร์ที่นอกจากส่งผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วยังเปิดให้นักท่องเที่ยวชมสถานที่ ชิมองุ่นผลสดและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่น ซึ่งยอดขายสินค้าและบริการที่ดีทำให้ไร่องุ่นแห่งนี้ติดอันดับความน่าสนใจต่อนักท่องเที่ยวที่นิยมชมไร่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร
รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ขับผ่านป้ายระบุชื่อสถานที่ บ้านไร่แสงจันทร์ ก่อนมุ่งเข้ามาจอดภายในโรงรถที่ก่อด้วยครึ่งไม้ครึ่งอิฐพื้นปูลาดด้วยปูน มีประตูบานเลื่อนไว้ปิดล็อกอย่างดี ร่างสูงเมื่อก้าวลงจากรถสายตาจับไปที่รถเก๋งสีขาวพลันให้นึกไปถึงผู้เป็นเจ้าของมัน ก่อนถอนหายใจออกมาแผ่ว ๆ เพื่อหวัง
ผ่อนคลายความหนักใจที่แบกกลับมา
จากนั้นจึงก้าวเดินตรงไปที่ตัวบ้านสองชั้นทรงยุโรปอย่างช้า ๆ เพื่อหวังประวิงเวลาสนทนากับผู้ที่อยู่ด้านในด้วยเรื่องที่ชวนให้อีกฝ่ายปวดใจ แต่ทว่าเสียง..กรี๊ด! ดังมาจากภายในตัวอาคารเร่งให้เขาก้าวเท้าเร็วจนกลายเป็นวิ่ง..
“ศุ!” สาธิตวิ่งหน้าตั้งเข้ามาภายในบ้าน หยุดยืนเรียกชื่อน้องเสียงก้อง สายตาตื่นตระหนกกวาดหาตัวน้องสาวไปทั่วบริเวณ และเมื่อจับต้นเสียงได้ว่าอยู่ในครัว เขาก็วิ่งตรงไปทันที
สิ่งที่สาธิตเห็นคือร่างระหงของผู้เป็นน้องสาวนั่งสั่นงันงกอยู่ในท่าขดตัวข้างตู้กับข้าว โดยมีแม่บ้านวัยกลางคนร่างผอมและสาวใช้อีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ห่าง ๆ ทั้งสองกำลังพยายามช่วยกันปลอบประโลมให้นายสาวหายจากอาการสั่นเทา เพราะไม่มีใครเข้าถึงตัวนายสาวได้เลยถ้าเกิดอาการหวาดกลัวเช่นนี้
สาธิตตรงเข้าไปคุกเข่าใกล้ ๆ สายตาจับจ้องหน้าน้อง ส่วนปากเอ่ยถามถึงสาเหตุ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า
ศุภักษรเข้ามาในช่วงที่สาวใช้กำลังติดไฟต้มน้ำ ประกายไฟทำให้ศุภักษรชะงักงันไปชั่วขณะก่อนจะส่งเสียงร้องกรี๊ด ๆ ไม่ยอมหยุด
สาธิตเข้าใจถึงสาเหตุความหวาดกลัวของน้องสาวทันที เขาบอกให้ทั้งสองกลับไปทำงานของตนจากนั้นโอบรับร่างที่เจ้าตัวมองเห็นว่าเป็นพี่ชายก็โถมเข้าสู่อ้อมอก ก่อนลุกขึ้นประคับประคองกันออกไปนั่งลงบนโซฟาเบาะนุ่มในห้องรับแขก
 สาธิตหนักใจกับอาการหวาดผวาต่อเปลวไฟของศุภักษรที่เกิดขึ้นตั้งแต่อายุสิบแปด ผ่านมาเก้าปีแล้วน้องสาวยังมีอาการนี้อยู่อีก และมันทำให้เขาหวนคิดถึงเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัว
วันนั้นพ่อแสงและแม่จันทร์ได้เดินทางกลับมาพร้อมกับลูกสาววัยสิบแปดปีและลูกชายซึ่งอยู่ในชุดครุยจากงานเข้ารับปริญญามหาบัณฑิต ระหว่างเดินทางเครื่องยนต์เกิดขัดข้องพ่อของเขาซึ่งเป็นคนขับไม่สามารถหยุดรถได้จึงพยายามที่จะหาที่จอด ซึ่งสองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้ารกชันไม่สามารถจะมองหาจุดที่หยุดรถได้เลย แต่แล้วท่านก็มองเห็นก้อนหินใหญ่ข้างทางจึงคิดใช้ก้อนหินนั้นเป็นที่หยุดมัน และท่านก็หยุดมันได้
แต่ทว่าร่างท่านไม่สามารถออกจากรถเพราะด้านคนขับปะทะกับก้อนหินอย่างแรง ทำให้รถถูกบีบอัดจนคนขับขยับเขยื้อนไม่ได้ แม่จันทร์หันมาตะโกนสั่งให้เขาพาน้องสาวออกมาก่อน เขาทำตามทันที และคิดว่าจะกลับไปพาร่างของท่านทั้งสองที่พยายามช่วยดึงกันออกมาอยู่นั้น แต่ปรากฏว่าเปลวเพลิงลุกท่วมเครื่องยนต์ เขาเพิ่งลุกห่างตัวน้องสาวมาได้ไม่เท่าไหร่ต้องกลับไปโอบกอดปกป้องเพราะกลัวน้องจะถูกสะเก็ดไฟ
 ชั่วขณะเสียงเครื่องยนต์ระเบิดดังสนั่น และก็มีบางสิ่งปลิวมาตกลงตรงพื้นเบื้องหน้า  วินาทีนั้นสมองของเขาแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากเสียงกรีดร้องสุดเสียงของศุภักษร ก่อนจะส่งให้ร่างในอ้อมแขนแน่นิ่งหมดสติไปพร้อมกับชิ้นส่วนท่อนแขนของแม่จันทร์ที่นิ้วนางข้างซ้ายยังคงสวมแหวนของพ่อ!
ศุภักษรต้องใช้เวลารักษาสุขภาพทางด้านจิตใจในโรงพยาบาลนานนับเดือน เพราะหลังเกิดอุบัติเหตุ
ศุภักษรต้องผจญกับฝันร้ายทุกค่ำคืนจนต้องพึ่งยานอนหลับอยู่บ่อยครั้ง จากวันนั้นศุภักษรค่อย ๆ เปลี่ยนจากเด็กสาวร่าเริงแจ่มใส กลายเป็นหญิงสาวเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ ซึ่งสาธิตรู้ตัวว่าเขามีส่วนทำให้พฤติกรรมของน้องเปลี่ยนไปในทางลบเพราะเขาตามใจ การตามใจเพื่อหวังชดเชยความสูญเสียที่น้องสาวต้องเผชิญ
สาธิตกลับมาให้ความสนใจร่างสั่นเทาในอก แม้เสียงร้องกระซิกเริ่มเบาลงแต่ชายหนุ่มรู้ว่าน้องยังหวาดผวา เขากระชับวงแขนเพื่อยืนยันความปลอดภัยให้น้องสาว ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะ
 “พี่เคยบอกแล้วไงว่าเวลาป้าสลวยทำอาหารอย่าเข้าไปในครัว” สาธิตเอ่ย
“ก็ศุหิวนี่คะ ศุยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน” ศุภักษรให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ดวงตาที่ยังหลงเหลือความหวาดกลัวช้อนมองใบหน้าพี่ชายที่เธอรักที่สุด เพราะพี่ชายคนนี้ดูแลเธอด้วยความรักทั้งหมดที่มีเสมอมา
สาธิตได้ฟังแล้วถอนใจ ทั้งที่การเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเกือบสามทุ่มต่อด้วยการขับรถกลับบ้านไร่ เขายังต้องตื่นเช้าเพื่อตะเวนนำของฝากจากญี่ปุ่นที่ศุภักษรซื้อหามาฝากกลุ่มเพื่อนเกือบหมดวันอีก เหตุที่เขาต้องทำแทนเช่นนี้ เพราะศุภักษรอยู่ในอาการไร้เรี่ยวแรง อันเกิดจากตรอมใจในเรื่องของปฐพีจนแทบไม่แตะอาหารสักอย่าง ที่สำคัญถ้าศุภักษรอารมณ์เสียสาธิตก็ไม่อยากให้ได้พบปะกับใคร
“พี่สาธิตเอาของไปให้แม่พวกนั้นหมดแล้วหรือคะ?” ศุภักษรได้รับข่าวจากเพื่อนสนิทว่าปฐพีมีภรรยาแล้ว เธอก็แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนต้องอาศัยพี่ชายจัดการส่งของให้เพื่อน ๆ แทน
สาธิตดันร่างที่คลายอาการสั่นเทาลงออกห่างอีกนิด เพื่อมองสบดวงตากลมโตสีดำบนใบหน้าสวยที่เคลือบด้วยเครื่องสำอางยี่ห้อยุโรป ศุภักษรจัดเป็นผู้หญิงสวยเฉิดฉายคนหนึ่ง ทว่าที่เห็นยังครองตัวเป็นสาวโสดไม่ใช่เพราะไม่มีชายใดหมายปอง แต่เป็นเพราะศุภักษรได้มอบหัวใจรักให้กับชายหนุ่มที่เจ้าตัวไม่มีวันได้รับความรักตอบนั่นเอง
“อืม..ไปแจกจ่ายจนถึงวิคนสุดท้าย พี่ก็เลยถือโอกาสขอบคุณที่เขาติดตามความเคลื่อนไหวนายปฐพีมารายงานศุทุกระยะด้วย” สาธิตไม่ปิดบังว่าเขารู้สึกไม่ชอบใจต่อการกระทำของเพื่อนสาวคนนี้ของศุภักษรเลย แต่ไม่คิดถ่ายทอดเป็นคำพูดเพราะรู้ว่าศุภักษรสนิทกับเพื่อนคนนี้มาก
“เสร็จแล้วพี่ก็เข้าไปหาปฐพี ไปขอกินข้าวเย็นที่บ้านไร่อย่างที่ศุต้องการ” สาธิตจ้องมองแววตากลมโตที่ขยายกว้างเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อปฐพี 
 “ขอบคุณค่ะพี่สาธิต พี่สาธิตเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดเลย” ศุภักษรดีใจจนเนื้อเต้น เธอจะได้ดึงช่วงเวลาสนิทสนมกับปฐพีกลับคืนมา
“แล้วก็เป็นพี่ชายที่รักศุมากที่สุดด้วย อย่าลืม” สาธิตกล่าวพลางบีบปลายจมูกน้องสาวเบา ๆ ด้วยความรักความอาทร แต่ภายในใจกลับกำลังวิตกกังวลว่าศุภักษรจะเป็นเช่นไร เมื่อได้ประจักษ์ชัดเจนว่าหัวใจชายหนุ่มที่ตนหมายปองมีเจ้าของแล้วแบบนั้น
สาธิตแทบไม่อยากทนเห็นแววตาเจ็บปวดของผู้เป็นน้องสาว แต่มันถึงเวลาแล้วที่ศุภักษรจะต้องตัดใจ..
ส่วนทางด้านผู้เป็นน้องกลับมิได้คิดวิตกเฉกเช่นพี่ชายเลยสักนิด เพราะความคิดในส่วนลึกมันบ่งบอกให้เธอแย่งชิงสิ่งที่เธอมุ่งหวังกลับคืนมา หญิงสาวเฝ้ารอปฐพีมาตลอดและคิดว่าสักวันชายหนุ่มจะต้องหันมารักเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะเธอและเขาต่างมีความผูกพันที่ร้อยเรียงกันมายาวนาน
..นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่เธอยังเรียนอยู่ระดับมัธยมปลายคุณพ่อแสงและคุณแม่จันทร์ได้มาซื้อไร่องุ่นติดเขาใหญ่ต่อจากเจ้าของไร่คนเก่า จากนั้นครอบครัวของเราก็ย้ายกันมาอยู่ที่นี่และได้รู้จักกับชายหนุ่มเจ้าของไร่ปานเทวา ที่ต้องดูแลทั้งน้องชายและกิจการไร่องุ่นต่อจากบิดามารดาที่เสียชีวิตไปหมดแล้ว
ศุภักษรยังจำครั้งแรกที่พบกับปฐพีได้เวลานั้นเขาเป็นหนุ่มนักศึกษาที่มีร่างสูงและใบหน้าหล่อเหลา เขาจะกลับมาไร่ทุกวันหยุด สองไร่มีความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ที่สำคัญพี่ชายของเธอและปฐพีกลายเป็นเพื่อนที่คุยกันถูกคอทั้งสองจึงไปมาหาสู่กันเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เธอต้องสูญเสียพ่อแสงและแม่จันทร์ ความทรงจำอันโหดร้ายนั้นได้กลายเป็นฝันร้ายทุกค่ำคืนของเธอ
กรี๊ด!!!’ เสียงที่ดังมาจากห้องคนไข้พิเศษ เรียกให้สองหนุ่มที่นั่งกุมขมับกันอยู่ด้านนอกได้เข้ามาทันที
ศุ.. ร่างของผู้เป็นพี่ชายถลาเข้ามาโอบกอดร่างน้องสาวที่นอนดิ้นโดยมีสายรัดข้อมือและข้อเท้าไว้ ทั้งสีหน้าแววตาของเขาฉายชัดถึงความปวดใจ
พี่สาธิตช่วยศุด้วย ฮือ.. ใบหน้าที่มีน้ำตานองผงกขึ้นมาอ้อนวอนผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะส่งสายตาผ่านไปหาชายหนุ่มอีกคนที่ยืนเยื้องไป พี่ปฐพี..ช่วยศุด้วย ศุกลัว.. พูดจบสักพักร่างนั้นค่อย ๆ สงบลงเพราะฤทธิ์ยาที่นางพยาบาลเพิ่งจะฉีดให้เพื่อระงับอาการต่อต้านที่รุนแรงของคนไข้ ปฐพีขยับเข้ามาแทนที่พี่ชายของเธอ มือหนาของเขาเอื้อมมากุมมือซีดเซียวของเธอไว้ ก่อนจะปลอบโยน
นอนพักเถอะนะศุ พี่สัญญาว่าถ้าหมออนุญาตให้ศุกลับบ้านได้แล้วพี่จะคอยดูแลศุเอง น้ำเสียงทุ้มนุ่มกับแววตาอาทรห่วงใยของปฐพี ทำให้ดวงตากำลังหรี่ปรือปิดสนิทด้วยความไว้วางใจ
นับจากนั้น เธอได้ปฐพีเป็นผู้ดูแลเยียวยาจิตใจเป็นต้นมา ชายหนุ่มจะแวะเวียนไปเยี่ยมเธอที่หอนักศึกษาทุกครั้งที่เดินทางไปกรุงเทพ จนกระทั่งเธอเรียนจบและกลับมาอยู่บ้านไร่ จากวันนั้นถึงวันนี้ปฐพีก็ยังไม่ลืมสัญญา ความใกล้ชิดกลายเป็นความผูกพันที่ถักทอคำว่ารักขึ้นในใจของเธอทีละนิดจนเต็มหัวใจ ทำให้เธอคาดหวังอยู่เสมอว่าสักวันปฐพีจะเลิกมองเธอในฐานะน้องสาว และหันมามองเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิต
ทว่าความหวังของเธอกลับพังทลายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อเพื่อนสาวโทรไปรายงานต่อเธอว่าปฐพีมีภรรยาแล้ว..ช่างเป็นเรื่องน่าใจหายถึงขั้นช็อก แต่พอตั้งสติได้เธอก็คิดได้ว่ายังไม่ควรยอมแพ้ ในเมื่อเธอมาก่อนและมีความรักความผูกพันกับเขามานานกว่า เธอจึงลุกขึ้นสู้และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็จะต้องนำหัวใจของเธอกลับคืนมาให้ได้!
“พี่สาธิตไปที่ไร่เจอแม่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าล่ะคะ ได้ข่าวว่าแม่นั่นตามพี่ปฐพีไปที่ไร่ทุกวัน” ศุภักษรเอ่ยถามด้วยแววตาหยัน ทั้งที่ยังไม่พบหน้าแต่ก็รู้สึกรังเกียจผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดกับปฐพี แล้วยิ่งแม่ผู้หญิงคนนี้มาแย่งดวงใจของเธอไปครอง เธอยิ่งรู้สึกเกลียดแม้แต่ชื่อก็ไม่อยากเอ่ยออกมา
“เจอสิ แต่ข่าวที่ศุได้ยินมาคงจะผิดไปสักนิด เพราะคุณรัญไปที่ไร่ตามคำสั่งของปฐพีต่างหาก” สาธิตอธิบาย เนื่องด้วยความจริงคือหญิงสาวนัยน์ตาสวยหวาน ต้องไปทำงานในไร่ตามคำบัญชาของสามี มิใช่เป็นดั่งที่อีกฝ่ายได้ข่าวมา แต่ผู้เป็นน้องสาวกลับยักไหล่และเหยียดปากไม่น่ารัก เนื่องจากหมั่นไส้ต่อคำแก้ต่างของพี่ชายที่มีต่อศัตรูของตน
“ไปรู้จักมักจี่กันแล้วหรือคะ ถึงออกรับแทนกันแบบนี้” ศุภักษรมองค้อนพี่ชาย ร่างระหงถดถอยหนีไม่พอใจ เพราะปกติในสายตาของพี่ชายไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเขามักนิ่งเฉยรับฟังบางครั้งคล้อยตาม แต่มาวันนี้กลับดูเหมือนเขาจะพยายามปกป้องบุคคลที่เธอถือว่าเป็นศัตรูหัวใจหมายเลขหนึ่ง
“ก็ศุไปฟังข่าวผิด ๆ มา คนที่เขาไม่รู้เรื่องก็จะเดือนร้อนโดยไม่รู้ตัว มันไม่ดีเลยนะศุ แล้วพี่อยากจะเตือนเรื่องเพื่อนของศุ อย่าไปฟังเขามากนักเพราะมันจะยิ่งทำให้เราตกอยู่ในวังวนความทุกข์ไม่จบสิ้น”
สาธิตกล่าวเตือน แม้ว่าเขาจะรู้ถึงความปรารถนาของน้องสาวที่ต้องการสานสัมพันธ์ระหว่างเขากับ
วิลาวรรณเพื่อนสนิท แต่เขาก็วางตัวเฉยมาตลอดไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ผองเพื่อนเคืองใจกัน เลยกลายเป็นว่าเขาต้องมารับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่วิลาวรรณขยันนำมาเล่าให้ตนรู้สึกเคืองใจเสียเอง
“แหม ศุก็แค่พูดล้อเล่นพี่สาธิตก็โกรธแล้วหรือคะ” ศุภักษรรีบพูดประโลมใจ เธอยังหวังได้ข่าวจาก
วิลาวรรณเพราะเพื่อนสาวคนนี้มีญาติเป็นหัวหน้าคนงานหญิงอยู่ในไร่ปานเทวา เมื่อใดที่ญาติผู้นั้นมาเยี่ยมแม่ของวิลาวรรณที่บ้าน เธอก็มักจะได้รู้ข่าวคราวภายในไร่เสมอ
ฉะนั้นเธอจึงไม่อยากให้พี่ชายมีอคติกับเพื่อนสาวของเธอไปเสียก่อน อีกอย่างเธอยังหวังลึก ๆ ว่าเขาจะหันมามองเพื่อนสาวของเธอคนนี้บ้าง เพราะอย่างน้อยวิลาวรรณก็เป็นเพื่อนสนิทที่เธอไว้วางใจพอที่จะให้ดูแลพี่ชายที่เธอรักที่สุด แม้ว่าผู้เป็นพี่ชายจะมีท่าทีเมินเฉยมาโดยตลอด แต่เธอก็ยังตั้งความหวังว่าสักวันเขาจะสงสารและหันมาชอบเพื่อนเธอบ้าง เหมือนดั่งที่เธอปรารถนาได้รับจากปฐพีเช่นเดียวกัน
เมื่อชื่อปฐพีปรากฏขึ้นมาในใจ ศุภักษรจึงคิดว่าเธอน่าจะเดินทางไปบ้านไร่ปานเทวาเร็วกว่าที่ควร เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับเขานาน ๆ
“เอาล่ะศุไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า เก็บความหิวไว้ไปกินอาหารฝีมือป้ามาลัยทีเดียวเลย” พูดจบ หญิงสาวก็ลุกยืนขอตัวขึ้นข้างบน ปล่อยให้ผู้เป็นพี่ชายมองตามด้วยจิตกังวลปนสงสาร
อย่าคิดทำอะไรอีกเลยศุ ตัดใจเสียเถอะ พี่ไม่อยากเห็นศุฝังใจอยู่กับความรักที่ไม่มีวันได้ครอบครองแบบนี้อีกแล้ว
สาธิตได้แต่ถอนใจกับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของศุภักษร ที่ไม่เคยยอมรับว่าเรื่องความรักมันบังคับใจกันไม่ได้ โดยเฉพาะหัวใจชายหนุ่มอย่างปฐพีที่ไม่มีวันมอบให้ใครด้วยความสงสาร
ซึ่งตัวสาธิตเองก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่สาธิตครองตัวเป็นโสดใช่ว่าเขาจะไม่เคยชายตาแลผู้หญิงคนไหนเลย แต่เพราะภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลจิตใจน้องสาวและกิจการงานในไร่องุ่น ทำให้แทบไม่มีเวลาเหลือให้ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ
อีกทั้งศุภักษรวางตัววิลาวรรณเพื่อนสาวไว้เป็นตัวเลือกหลักให้กับเขา ยิ่งทำให้โอกาสที่จะสานสัมพันธ์กับหญิงสาวคนใดน้อยลงไปอีก มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกที่จะเห็นเขายังไร้คู่ร่วมเรียงเคียงหมอนอยู่เช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดเลือกวิลาวรรณมาเป็นคู่ชีวิตเพียงเพราะสงสารหญิงสาวที่เฝ้ารอคอยเขามานานปี
มาถึงตรงนี้ สาธิตก็พลันนึกไปถึงดวงตาสวยของหญิงสาวที่เขาลงความเห็นว่ามีเสน่ห์น่าคบหาคนหนึ่ง รัญชิดาเป็นหญิงสาวสวยที่ไม่ต่างจากผู้หญิงที่เขาพบในวงสังคมอยู่บ่อย ๆ  แต่รัญชิดากลับมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกดีกับเธอเป็นพิเศษ และก่อนที่ชายหนุ่มจะคิดไกลไปกว่านั้น เขาก็ลงโทษตนเองที่ริอ่านหวั่นไหวกับเมียของเพื่อน ด้วยการยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเองหนึ่งที
 ราคาขาย: 200 + 40 = 240 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 
ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ไร่เสน่หาจองจำหัวใจราคาปก 319x10%=31 บาท + ค่าส่ง 40 = 71บาท
(เฉพาะพื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่ง ยอดยืม 31 บาทจะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อนคือ 319 บาท ต่อเมื่อส่งหนังสือคืนร้านแล้ว ทางร้านจะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ
 
 

 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น