วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2563

ไร่เสน่หาจองจำหัวใจ : บทที่ 14 หัวใจใบบาง


นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องไร่เสน่หาจองจำหัวใจ

 

องุ่นในไร่ปานเทวาส่วนใหญ่เป็นพันธุ์คาดินัล เมื่อผลแก่จัดจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีม่วงเข้มและม่วงแดงในบางสายพันธุ์ เวลาที่องุ่นสีเข้มพวงโตพวกนี้อยู่ท่ามกลางใบสีเขียวขอบหยัก มันช่างดูงดงามนัก
รัญชิดาก้มลงมองพวงองุ่นในมือแล้วหวนคิดถึงใบองุ่นทรงกลมขอบใบหยักคล้ายรูปหัวใจ ช่อผลเป็นกระจุกแยกแขนงในตำแหน่งของมือจับ พร้อมกับเหตุการณ์ที่เธอต้องผจญในค้างองุ่นแห่งนั้น
เนื่องด้วยปฐพีมีนัดรับประทานอาหารเย็นกับเพื่อนบ้าน เธอจึงต้องรีบเก็บงานแล้วไปยืนรอเขาที่รถตามคำสั่ง จังหวะมองไปยังค้างองุ่นบริเวณนั้นสะดุดตาเถาองุ่น ใบสีเขียวขอบหยักของมันต้องลมจนพลิ้วไหว ทำให้ใจของเธอคำนึงถึงค้างองุ่นสุดโปรดขึ้นมา และถ้าเธอรู้ว่าการไปเยือนค้างองุ่นแห่งนั้นจะเกิดอะไรขึ้น เธอคงไม่คิดไป
ซึ่งในขณะนี้ระหว่างที่ปฐพีตั้งหน้าตั้งตาขับรถกลับบ้านไร่ เธอก็ลอบมององุ่นพวงใหญ่ที่ยังมีใบติดขั้วอยู่ในมือ พลางถอนใจกับอาการเจ็บแปลบที่เริ่มลุกลามตามแขนขา ถ้าเธอมีความยั้งคิดต่อการกระทำใด ๆ มากกว่านี้เธอคงไม่ต้องเจ็บตัว
รถจอดลงตรงหน้าบ้านไร่หญิงสาวก้าวลงโดยไม่รอฟังว่าปฐพีถามอะไรเธอด้วยซ้ำ ร่างเล็กกลั้นใจกับความเจ็บปวดเดินตรงดิ่งเข้าไปในครัว เธอวางพวงองุ่นในอ่างล้าง แล้วมานั่งลงเก้าอี้หัวโล้นทรงเตี้ยที่เธอมักเห็นป้ามาลัยนั่งโขกพริกตรงนี้อยู่บ่อย ๆ
ในเมื่อยังไม่มีใครเข้ามาเธอจึงถลกแขนเสื้อที่มีดินแห้งติดอยู่หน่อย ๆ เพื่อดูรอยฟกช้ำที่สร้างความเจ็บแปลบอยู่บริเวณต้นแขน ท่วงท่าเอี้ยวตัวเพิ่มความปวดบริเวณข้อเท้าเข้าไปอีก สงสัยข้อเท้าแพลงด้วย เจ็บจัง เสียงโอดคราญยังไม่ทันดังออกมาจากปาก ป้ามาลัยที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์ก็เอะอะเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน ร่างท้วมกระวีกระวาดวางกระจาดผักในมือแล้วมานั่งลงตรวจตราบาดแผลถลอกตามแขนขาของเธอ
 “ไปทำอะไรมาคะถึงได้เขียวไปหมดแบบนี้ ดูสิตรงนี้มีเลือดซึมด้วย  ท่าทางเจ็บขนาดนี้นายใหญ่รู้หรือเปล่าคะ” ป้ามาลัยพลิกแขนและขาตรวจตราอย่างถ้วนถี่ ปากก็พร่ำบอกว่านายสาวมีบาดแผลตรงนั้นตรงนี้
“ไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะป้ามาลัย อีกอย่างฉันซุ่มซ่ามเอง เรื่องแค่นี้ไม่อยากไปรบกวนคนอื่น” รัญชิดาพูดไม่เต็มเสียงนัก เพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ ไม่เช่นนั้นเธอคงไม่ฝืนความเจ็บปวดนั่งรถมากับเขาด้วยท่าทางปกติ
ที่จริงตอนอยู่ในรถ เธอก็พอจะดูออกถึงแววตาสงสัยของปฐพี แต่เพราะเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวปกปิดทุกส่วนสัด จึงทำให้เขาไม่เห็นว่าภายใต้เนื้อผ้าเธอได้ซ่อนบาดแผลเหล่านี้ไว้
“คนอื่นที่ไหนกันคะ นายใหญ่น่ะสามีคุณนะคะ เชื่อป้าเถอะ บอกนายให้พาไปให้หมอตรวจดูสักนิด”
“คุณปฐพีทำงานเหน็ดเหนื่อยมากพออยู่แล้ว อย่าไปรบกวนเขาเลยค่ะ แค่นี้ฉันรักษาตัวเองได้จริง ๆ” เพราะถ้าเขาเกิดคิดว่าเธอเรียกร้องความสนใจ เธอคงรู้สึกแย่ลงไปอีก
“คุณไม่เชื่อป้าเลย” ป้ามาลัยนิ่วหน้ากับความดื้อดึงของนายหญิงสาว มืออวบอูมอ่อนโยนเอื้อมจับแขนเรียวพลิกซ้ายพลิกขวาอีกครั้ง ดูรอยบอบช้ำที่เริ่มเผยออกมาเป็นจ้ำ ๆ ป้าแม่บ้านเห็นแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาดังๆ
“ฉันจัดการกับบาดแผลพวกนี้ได้ค่ะ ป้ามาลัยเชื่อฉันเถอะนะคะ อีกอย่างมันก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไรมากด้วย” รัญชิดาจำเป็นต้องพูดปดเพื่อให้ผู้อาวุโสตรงหน้าสบายใจ แต่รอยยิ้มแห้ง ๆ บนใบหน้าบ่งบอกได้ดีว่าเธอฝืนร่างกายแค่ไหนขณะลุกเดินกะเผลกไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กที่ตากไว้ริมหน้าต่าง และย้อนมาเปิดตู้เย็นหยิบน้ำแข็งสองก้อนมาห่อผ้าไว้ เธอจะต้องจัดการกับรอยพวกนี้ก่อนที่ปฐพีจะมาเห็น แต่มันคงช้าไปเสียแล้ว
“เสียงเอะอะอะไรกันป้า ได้ยินไปถึงข้างบน” ปฐพีซึ่งเปลี่ยนจากชุดทำงานมาสวมชุดธรรมดา มองไปที่ร่างเล็กซึ่งกำลังยืนตัวแข็งอย่างประเมินสถานการณ์ หลังจากจอดรถเขาก็ตั้งใจจะถามว่าหญิงสาวเก็บพวกองุ่นพวงใหญ่มาได้อย่างไร เพราะผลพวงขนาดนี้คงอยู่สูงเอาการ แต่อีกฝ่ายไม่หยุดฟัง เขาจึงได้แต่มองอย่างสงสัยตามหลังร่างที่เร่งฝีเท้าเข้ามาในครัว
รัญชิดาหยุดมือกำลังประคบรอยช้ำที่แขน เธอพยายามเบี่ยงตัวหลบสายตาคมที่จ้องเขม็ง และนั่นยิ่งทำให้เขาเดินจ้ำอ้าวเข้ามาหา แล้วคว้าผ้าออกมาจากมือของเธอ
“ป้ามาลัยออกไปก่อน” คำสั่งขึงขัง โดยไม่ละสายตาจากห่อผ้าในมือ ซึ่งป้าแม่บ้านก็ยิ้มในหน้า พึงพอใจที่เห็นผู้เป็นนายสาวจะได้รับการดูแลจากสามี เมื่ออยู่กันเพียงสองคนแล้ว ปฐพีรั้งร่างเธอให้นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวเดิมส่วนเขาทรุดกายลงชันเข่า จากนั้นยึดแขนเธอไว้พร้อมถลกแขนเสื้อขึ้นอีก เห็นรอยถลอกจนเลือดซิบและรอยเขียวช้ำเริ่มขยายเป็นวงกว้าง
“เจ็บตัวอย่างนี้ยังคิดปิดบังฉันอีกหรือรัญชิดา” เขาทำเสียงดุใส่ขณะสายตากวาดหารอยแผลอื่นไปทั่วร่าง และหยุดอยู่ที่รอยเขียวคล้ำเป็นจ้ำ ๆ บริเวณท้องแขนลากลงมาจนถึงข้อศอก
ภายในกายสาวเกิดอาการร้อนวูบวาบ เพราะใบหน้าหล่อเหลาก้มตรวจตราชิดใกล้ ระยะห่างระหว่างลมหายใจเป่ารดมันไม่เกินคืบเลย..จนเธอรู้สึกตกประหม่าและทำให้เผลอเบี่ยงตัวกะทันหัน
“โอ้ย..”
เสียงร้อง ทำให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอยังมีบาดแผลบริเวณอื่นอีก
“เจ็บตรงไหนอีก!” เสียงเข้มคาดคั้น ทำให้หญิงสาวไม่กล้าปฏิเสธ ปฐพีมองตามนิ้วเรียวที่ชี้ลงมาตรงข้อเท้า เมื่อนิ้วแกร่งของเขาบรรจงแตะลงมาแผ่วเบา แค่นั้นก็เพียงพอที่ร่างเล็กจะชักเท้าด้วยความสะดุ้งเจ็บ
“ขอโทษฉันไม่ตั้งใจทำให้เธอเจ็บ เอาล่ะบอกฉันสิ เธอไปโดนอะไรมา” น้ำเสียงเขานุ่มนวลขึ้น แม้สีหน้ายังกังวล
รัญชิดาที่เอาแต่นั่งก้มหน้าช้อนตาขึ้นมอง เธอสะดุดใจกับน้ำเสียงอ่อนโยนของเขา
“มันเป็นความเผอเรอของฉันเองค่ะ” เธอกล่าว ก่อนจะเล่าว่าช่วงเวลายืนรอเขาที่รถ เธอนึกอยากได้องุ่นกลับมากินที่บ้านไร่ พอไปถึงค้างเหลือบไปเห็นพวงองุ่นลูกใหญ่แต่อยู่สูง จึงไปแบกบันไดที่พาดไว้ใกล้บริเวณแถวนั้นมาปีน
เด็ดพวงองุ่นมาได้ถึงช่วงจะไต่ลง เธอไม่ทันดูให้ดีว่าบันไดขั้นหนึ่งผุจนรับน้ำหนักตัวเองไม่ไหว พอวางเท้าลงไปมันจึงหักกลางท่อนทำให้ร่างเธอเสียหลักพลัดตก ข้อเท้าข้างหนึ่งซ้นจนเขียวช้ำ ซ้ำต้นแขนยังฟาดลงกับขั้นบันไดที่หักเป็นแผลช้ำในเข้าไปอีก เพราะความกังวลว่าใครจะมาเห็นแล้วไปรายงานให้เขารู้ เธอจึงรีบลุกขึ้นค่อย ๆ ลากบันไดไปพาดไว้ที่เดิม จากนั้นก็รีบรุดมารอเขาที่รถโดยทำตัวปกติ
“โดยที่เก็บความเจ็บปวดนี้ไว้ตลอดทาง” ปฐพีพูดเสริม เขามองหญิงสาวตรงหน้าพร้อมรำพันในใจ รัญชิดา เธอคิดว่าฉันใจจืดใจดำขนาดนี้เชียวหรือ
“ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด เสร็จแล้วจะทายาให้” เขาไม่รอให้อีกฝ่ายได้ฉงนใจในคำสั่ง สั่งเสร็จก็ลุกขึ้นช้อนร่างคนเจ็บไว้ในวงแขน ไม่นำพาเสียงอุทานและมือที่ปัดป่ายปฏิเสธ
“ฉันยังเดินไหวค่ะ ปล่อยฉันลงเถอะ” คำขอร้องสลายไปกับสายลม เพียงเพราะเขาก้าวพ้นประตูครัวออกไป หูมันก็ไม่รับฟังอะไรแล้ว มีแต่จะเร่งฝีเท้าตรงดิ่งขึ้นบันไดสู่ชั้นบน
สาวใช้สองคนหอบหิ้วถุงของใช้ของนายสาวเข้ามาทันเห็นฉากหวานเจ้านายพอดี จึงพากันวิ่งหลบมุมแอบดู ต่างปิดปากหัวเราะคิก ไม่ได้สังเกตว่ามีใครเดินมาหยุดอยู่เบื้องหลัง แต่ทว่านอกจากแม่บ้านผู้คุมกฎมิได้เดินเข้ามาเพื่อตักเตือนแล้ว ยังมีทีท่าแอบลุ้นเรื่องเจ้านายไม่ต่างจากเจ้าสองตัวยุ่งเช่นกัน

ประตูห้องน้ำปิดลงพร้อมกับเสียงผ่อนลมหายใจโล่งอกที่ปฐพีอุ้มเธอมาส่งลงแค่บนเตียง เพราะถ้าเขาเกิดใจดีช่วยถอดเสื้อผ้าและพาเธอเข้าห้องน้ำอาบน้ำให้เสร็จสรรพ เธอก็ไม่รู้จะสู้ปฏิเสธเขาอย่างไรดี
ร่างเปลือยที่ยืนภายใต้กระแสน้ำเกิดอาการผ่อนคลายขึ้นมาก แม้ว่าจะต้องทนกับความเจ็บแสบที่ผิวถลอกถูกสายน้ำลากผ่าน มือเรียวเริ่มขยับลูบไล้ไปตามฟองสบู่เบา ๆ เพราะบาดแผลทำให้ไม่สามารถถูเนื้อถูตัวได้ตามปกติ แต่ก็สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมากเมื่อผิวกายสะอาดและหอมสดชื่น
รัญชิดาห่มร่างอรชรของตนด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ แต่ทว่าเมื่อเปิดประตูและก้าวออกมา ก็แทบอยากจะหันหลังกลับ และฝังตัวอยู่ในห้องน้ำเสียมากกว่า
“มานั่งตรงนี้ซิ จะทายาให้” ชายหนุ่มนั่งรอคอยให้หญิงสาวออกมา ใช้มือหนาตบลงบนเบาะ บังคับกลาย ๆ ให้ผู้ที่มีสีหน้ายับเหมือนอยากจะกลับเข้าไปในห้องน้ำได้มานั่งลงข้าง ๆ ตน
“คะ?” หญิงสาวทำหน้าเหวอ ขณะเอ่ยถาม ตกใจที่โผล่หน้ามาเจอกันแล้วยังจะถูกสั่งให้ไปนั่งด้วยกันอีก ทั้งที่เธอนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวเนี่ยนะ!
 “ก็บอกว่าจะทายาให้ไง” น้ำเสียงลากต่ำของปฐพี ฟังคล้ายตัดรำคาญ แต่จริงแล้วเขากำลังข่มใจอย่างหนักอยู่ต่างหาก ไอ้ที่คิดว่าตัวเองใจแข็งพอก่อนที่จะเข้ามานั่งรออีกฝ่ายอยู่ตรงนี้ สรุปล้มเหลวไม่เป็นท่า กับนาทีที่คนสวยเดินออกมาพร้อมผิวกายหอมแล้วยังนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว เผยทั้งเรียวแขนเรียวขาอีกทั้งเนินอกอวบ เพียงแค่นั้นอุณหภูมิภายในก็พุ่งสูงส่งผลให้กายชายร้อนฉ่าไปหมด
รัญชิดาปฏิเสธความหวังดีของเขาด้วยการยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวใด ๆ เธอคิดว่าถึงแม้จะเจ็บแสบไปทั้งร่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะทำอะไรเองไม่ได้ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องมาช่วยทายา
ดวงตาคมจ้องค้าง เข้าใจอากัปกิริยาปฏิเสธของหญิงสาว แต่ในเมื่อเขาตั้งใจทำสิ่งใดแล้วใครก็ห้ามไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าของเรือนร่างสวยที่เขามีสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ไวเท่าความคิด ร่างสูงใหญ่ลุกพรวดตรงดิ่งมาอุ้มร่างที่ยืนตัวแข็ง แล้วพามานั่งตักด้วยกัน โดยที่ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะผลักไส
“คุณทำอย่างนี้ทำไมคะ?” มือพยายามผลักอกกว้างให้อยู่ห่าง ปากก็เอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ ว่าเขาจะลงแรงบังคับเธอแบบนี้ทำไมในเมื่อบาดแผลแค่นี้เธอดูแลตัวเองได้ ที่สำคัญเธอก็เป็นผู้ก่อมันขึ้นมาเองไม่เกี่ยวกับเขาเสียหน่อย
“เพราะเธอเป็นสมบัติของน้องชายฉัน และฉันมีหน้าที่ดูแลเธอให้ดี” พูดออกไปแล้วปฐพีก็แทบอยากจะบีบขวดยาล้างแผลให้แตกคามือ เขาจำเป็นต้องสร้างกำแพงเพื่อป้องกันใจที่เริ่มไขว้เขวของตัวเอง เพราะก่อนหน้าเขาเคยคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นสมบัติของของปรเมศร์ที่เขาต้องดูแลรักษาอย่างดี แต่นับวันความปรารถนาที่ซุกซ่อนและรอวันเผยตัวนั้นมันจะสลายความคิดให้จางลง
สมบัติของน้อง ได้ฟังเหตุผลจบ เหมือนความน้อยใจจะพุ่งชนจนจุกอก มือเรียวไร้เรี่ยวแรงผลักไส พร้อมกับร่างที่ค่อย ๆ เลื่อนลงจากตัก โดยที่เขาไม่คิดรั้ง แค่นี้เอง..แค่เธอเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของน้องชาย เขาจึงต้องดูแลรักษาด้วยหน้าที่
คำพูดไม่กี่คำแต่สะกดให้เธอนิ่ง ปล่อยให้เขาได้กระทำตามตั้งใจอย่างเงียบ ๆ หากว่าตัวยาฆ่าเชื้อและยาสมานแผลที่ถูกทาบทามาบนผิวหนัง นอกจากจะแตะโดนแผลทีไรให้ได้สะดุ้งทุกครั้งครา ยังมีนิ้วมือร้อนฉ่ามาลูบไล้ให้หวั่นไหวเข้าไปอีก 
รัญชิดาเคยคิดถามตัวเองว่าทำไมต้องหวั่นไหวทุกครั้งที่ใกล้ชิดกับปฐพี ทั้งที่ก่อนหน้าเคยสนิทสนมกับอัคนีแต่กลับไม่เคยเกิดความรู้สึกเช่นนี้เลย ซึ่งชายหนุ่มทั้งสองต่างกันสุดขั้ว อัคนีนั้นสุภาพและให้เกียรติ ไม่เคยจะจาบจ้วงถือสิทธิ์แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นคู่รักกัน ต่างจากปฐพีที่เผด็จการเอาแต่ใจ ไม่ว่าเขาต้องการให้เธอทำอะไรเขาก็มักถือสิทธิ์โดยไม่สนว่าเธอจะยินยอม
แต่น่าโมโหที่ลึกในใจเธอกลับรู้สึกพอใจผู้ชายดิบเถื่อนอย่างปฐพี เกิดอะไรขึ้นกับหัวใจใบบางของเธอ หรือปฐพีมีธาตุบางอย่างที่เธอเผลอดูดซับมาหล่อเลี้ยงใยบาง ๆ โดยไม่รู้ตัว
ดวงหน้าสวยก้มลงนิดขณะหางตาแอบชำเลืองมองชายหนุ่มผู้นั่งหน้าขรึมอยู่เบื้องหลัง โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังตกอยู่ในอารมณ์พลุกพล่านนานแล้ว
“แอบมองแบบนี้ คิดจะมีปัญหากันหรือไง” คำขู่ดังขึ้นเย้าแหย่ แล้วปฐพีก็แทบปล่อยขำเมื่อเห็นอาการสะดุ้งของหญิงสาว
“ฉันแค่มองว่าคุณทาเสร็จหรือยัง” เสียงใสเอ่ยสั่นเครือเล็กน้อย ไม่คิดว่าเขาจะจับได้ พลันนึกถึงร่างกายที่ยังนุ่งน้อยห่มน้อยอยู่ “คือฉัน..อยากใส่เสื้อผ้าแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวใส่ก็ได้ ยังเหลือข้อเท้าอีก ยังไม่ได้นวดยาเลย” ปฐพีเอ่ยอย่างไม่ยีหระ และถ้ารัญชิดาจะรู้จักเขามากกว่านี้ ก็จะรู้ว่าคนอย่างเขาไม่เคยทำอะไรชักช้า เพียงได้เอ่ยถึงตำแหน่งทายา มือหนาก็คว้าหัวไหล่หญิงสาวให้หันหน้ามา แล้วจับยกเท้าเรียวขึ้นพาดหน้าตัก เพื่อนวดยาบริเวณข้อเท้าต่อ
รัญชิดาผวาเฮือก.. เมื่อถูกจับหมุนร่างอย่างตุ๊กตายาง แล้วขายังถูกวางไว้บนหน้าตักของเขาเหมือนปลาพาดเขียง โดยอีกฝ่ายไม่คำนึงเลยสักนิด ว่าจับตัวเธอโยกย้ายกะทันหันแบบนี้ ผ้าชิ้นเดียวที่พันกายเธออยู่มันจะคลายตัวหลุดลุ่ยขนาดไหน
“อุ้ย!” รัญชิดาแทบคว้าตะปบผ้าแล้วขมวดปมไว้เหมือนเดิมไม่ทัน หญิงสาวตกใจ แต่พอชำเลืองมองผ่านไรผมที่ตกมาบังหน้าผากของเขา สังเกตเห็นมุมปากหนายกยิ้มก็ให้นึกโมโห
“คุณแกล้งฉัน” เธอต่อว่าอีกฝ่ายที่ยังเผยยิ้มไม่หุบ ซึ่งมันก็ทำให้ใบหน้าขรึมของเขาดูอ่อนโยนขึ้นมาก
“ฉันไม่ได้แกล้ง ก็ถ้ารอให้เธอหันมาเองอีกนานกว่าเธอจะได้ใส่เสื้อผ้า หรือว่าอยากจะใส่อยู่อย่างนี้” เขาเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วถามยียวน ขณะที่หญิงสาวชักสีหน้างอนใส่ “ก็ดีนะ ฉันชอบให้เธอใส่แบบนี้มากกว่าชุดไหน ๆ เสียอีก”
ประกายในแววตาดำบ่งบอกความสำราญใจเป็นอย่างดี และนั่นก็ทำให้หญิงสาวชักเท้าออกจากหน้าตักของเขาทันทีที่การนวดยาเสร็จสิ้น ก่อนเค้นถ้อยคำที่สร้างความเสียดแทงใจต่อคนฟังออกมา
“ถึงฉันจะใส่ชุดอะไรยังไง คุณก็ไม่มีสิทธิ์มาชอบ เพราะฉันเป็นสมบัติของคุณปรเมศร์ ไม่ใช่ของคุณ ลืมไปแล้วหรือคะ คุณปฐพี” คำพูดฉอด ๆ กับน้ำเสียงเน้นย้ำเหมือนเยาะ ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังสีหน้าเบิกบานถึงกลับบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“ยอกย้อนฉันหรือ..”
“ฉันไม่ได้ยอกย้อน ฉันแค่ให้คุณนึกทบทวน กลัวว่าคุณจะลืมว่าตัวเองมีสิทธิ์แค่ดูแล” ใบหน้าสวยหวานเชิดขึ้นเล็กน้อย ก็เขาเองที่ชอบตอกย้ำเธอด้วยคำพูดนี้อยู่เสมอ แล้วจะมาทำท่าไม่พอใจ
ปฐพีมองว่าผู้หญิงคนนี้คิดใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟันกับเขาตลอดเวลา อยากรู้นักว่าถ้าเขาคิดจะใช้สิทธิ์สามีปราบพยศโดยไม่สนคำพูดที่ป่าวประกาศออกไป หญิงสาวปากดีคนนี้จะทำยังไง
มือหนาคว้าร่างนุ่มเข้ามาโอบจนแทบเกยตักอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เรื่องบาดแผลแต่เป็นเรื่องที่เขาจะต้องบ่งบอกสิทธิ์ที่มีเหนือตัวหญิงสาวอย่างชัดเจน
“รัญชิดา ดูเหมือนฉันควรจะทบทวนสิทธิ์ที่ฉันมีเหนือตัวเธอให้ชัดเจนกว่านี้นะ  จริงอยู่ที่ว่าเหตุผลที่ฉันพาเธอมาที่นี่ก็เพราะนายเล็ก แต่อย่าลืมว่าเธออยู่ในสถานะเมีย เมียที่ฉันมีสิทธิ์ถูกต้องตามกฎหมาย คงไม่ต้องให้บอกว่าสถานะความเป็นผัวของฉันมันทำอะไรกับเธอได้บ้าง”
ร่างเล็กเริ่มดิ้นขลุกขลักเพราะกลัวเหลือเกินกับดวงตาดุดันคู่นี้ เธอรู้ว่าเขากำลังบอกอะไรกับเธอเพียงเพราะเธอยอกย้อนในจุดที่ปิดกั้นอารมณ์ของเขา ผู้ชายคนนี้จริงจังกับชีวิตมากเขาจึงไม่มีวันยอมให้ใครมาอยู่เหนือความคิดของเขาได้ คิดแล้วเธอไม่น่าไปปลุกเสือป่าให้ลุกขึ้นมาขย้ำตัวเองเลย
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” เธอรีบเอ่ยบอก ก่อนที่เขาจะทำอะไรกับเธอมากไปกว่านี้  เพราะดวงตาที่เห็นดุดันเมื่อครู่มันกำลังเปลี่ยน เปลี่ยนชนิดที่ใจสาวบริสุทธิ์อย่างเธอสะท้านไปทั้งร่าง
“เข้าใจว่าอะไร ไหนพูดมาซิ” เสียงเครียดขรึมกระซิบชิดแก้มนวล ด้วยหวังให้อีกฝ่ายสะท้านหวั่นไหวเล่น แต่การที่ชายหนุ่มเข้ามาสัมผัสความหอมกรุ่นจากกายสาวใกล้ ๆ แบบนี้ กลับทำให้เลือดในกายชายพลุ่งพล่านขึ้นไปใหญ่
“เข้า..เข้าใจ ว่าฉันเป็น..” คำพูดตะกุกตะกัก อีกทั้งมือต้องคอยผลักคอยดันตัวออกห่างจากการกอดรัด ที่ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดลอดจากวงแขนของเขาไปได้
“เป็นอะไร?” ปากเอ่ยคาดคั้นเพื่อหวังคำตอบให้กระจ่างแล้ว ปลายจมูกยังถูไถบนนวลแก้ม ส่วนมือทั้งสองของเขาก็ใช่ย่อย ลากขยับสัมผัสไปทั่วแผ่นหลังนุ่มเนียนที่โผล่พ้นขอบผ้าขนหนู
“เป็น..เป็น สิทธิ์ของคุณค่ะ” เอ่ยจบ รัญชิดาก็แทบหยุดหายใจ เมื่อถูกคนปากร้ายจ้วงจูบทันควัน เธออยากจะผลักไสเขา แต่เพราะปมผ้าที่ขมวดไว้คลายออกมือจึงต้องรีบกุมไว้ก่อนที่มันจะหลุดออกจากร่าง ส่วนอีกมือก็ต้องคอยรั้งชายผ้าด้านล่างเอาไว้ไม่ให้มันเลื่อนออกจากจุดสงวน ฉะนั้นเธอจึงไม่หลงเหลือมือข้างใดเลยที่จะขัดขวางการจู่โจมอันร้อนร้ายของเขา
ก๊อก..!!! เสียงเคาะประตูเหมือนระฆังหมดยก ปฐพีถอนริมฝีปากจากเธอทันที ก่อนจะได้ยินเสียงนางรายงานเข้ามา
“บ้านไร่แสงจันทร์มากันแล้วค่ะนาย” เหมือนนางจะรู้ว่าผู้เป็นนายทั้งสองจะอยู่ด้วยกันที่นี่ ถึงไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องของปฐพีก่อนหน้านั้น
รัญชิดารีบผละออกห่างทันทีที่ปฐพีปล่อยเธอเป็นอิสระ จากนั้นเธอรีบลุกเดินกะโผลกกะเผลกเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับปิดล็อกประตู เธอคาดเดาว่าเขาคงไม่ตามเข้ามาหรอก แต่ก็กันไว้ก่อน ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนแปลงอารมณ์ได้ทุกวินาที
“อย่าหลบอยู่นานนักล่ะ รีบแต่งตัวแล้วตามลงไปต้อนรับแขก เร็วนะ”
เสียงเขาสั่งทิ้งท้ายก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวออกไปจากห้อง และปล่อยให้เธอที่ยืนตัวสั่นอยู่ข้างใน ได้หายใจหายคอสะดวกขึ้น รัญชิดารำพันในใจ ขอบใจมากนาง เธอมาได้ทันเวลาพอดี
 ราคาขาย: 200 + 40 = 240 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 
ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ไร่เสน่หาจองจำหัวใจราคาปก 319x10%=31 บาท + ค่าส่ง 40 = 71บาท
(เฉพาะพื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่ง ยอดยืม 31 บาทจะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อนคือ 319 บาท ต่อเมื่อส่งหนังสือคืนร้านแล้ว ทางร้านจะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ
 
 

 
 

ไร่เสน่หาจองจำหัวใจ : บทที่ 13 บ้านไร่แสงจันทร์


 

นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องไร่เสน่หาจองจำหัวใจ

 

 บนเนื้อที่หนึ่งพันไร่ฉากหลังล้อมด้วยภูเขาดุจดั่งกำแพงธรรมชาติอันบริสุทธิ์ คือไร่องุ่นแสงจันทร์ที่นอกจากส่งผลผลิตออกสู่ตลาดแล้วยังเปิดให้นักท่องเที่ยวชมสถานที่ ชิมองุ่นผลสดและเลือกซื้อผลิตภัณฑ์แปรรูปจากองุ่น ซึ่งยอดขายสินค้าและบริการที่ดีทำให้ไร่องุ่นแห่งนี้ติดอันดับความน่าสนใจต่อนักท่องเที่ยวที่นิยมชมไร่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร
รถกระบะกลางเก่ากลางใหม่ขับผ่านป้ายระบุชื่อสถานที่ บ้านไร่แสงจันทร์ ก่อนมุ่งเข้ามาจอดภายในโรงรถที่ก่อด้วยครึ่งไม้ครึ่งอิฐพื้นปูลาดด้วยปูน มีประตูบานเลื่อนไว้ปิดล็อกอย่างดี ร่างสูงเมื่อก้าวลงจากรถสายตาจับไปที่รถเก๋งสีขาวพลันให้นึกไปถึงผู้เป็นเจ้าของมัน ก่อนถอนหายใจออกมาแผ่ว ๆ เพื่อหวัง
ผ่อนคลายความหนักใจที่แบกกลับมา
จากนั้นจึงก้าวเดินตรงไปที่ตัวบ้านสองชั้นทรงยุโรปอย่างช้า ๆ เพื่อหวังประวิงเวลาสนทนากับผู้ที่อยู่ด้านในด้วยเรื่องที่ชวนให้อีกฝ่ายปวดใจ แต่ทว่าเสียง..กรี๊ด! ดังมาจากภายในตัวอาคารเร่งให้เขาก้าวเท้าเร็วจนกลายเป็นวิ่ง..
“ศุ!” สาธิตวิ่งหน้าตั้งเข้ามาภายในบ้าน หยุดยืนเรียกชื่อน้องเสียงก้อง สายตาตื่นตระหนกกวาดหาตัวน้องสาวไปทั่วบริเวณ และเมื่อจับต้นเสียงได้ว่าอยู่ในครัว เขาก็วิ่งตรงไปทันที
สิ่งที่สาธิตเห็นคือร่างระหงของผู้เป็นน้องสาวนั่งสั่นงันงกอยู่ในท่าขดตัวข้างตู้กับข้าว โดยมีแม่บ้านวัยกลางคนร่างผอมและสาวใช้อีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ห่าง ๆ ทั้งสองกำลังพยายามช่วยกันปลอบประโลมให้นายสาวหายจากอาการสั่นเทา เพราะไม่มีใครเข้าถึงตัวนายสาวได้เลยถ้าเกิดอาการหวาดกลัวเช่นนี้
สาธิตตรงเข้าไปคุกเข่าใกล้ ๆ สายตาจับจ้องหน้าน้อง ส่วนปากเอ่ยถามถึงสาเหตุ ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า
ศุภักษรเข้ามาในช่วงที่สาวใช้กำลังติดไฟต้มน้ำ ประกายไฟทำให้ศุภักษรชะงักงันไปชั่วขณะก่อนจะส่งเสียงร้องกรี๊ด ๆ ไม่ยอมหยุด
สาธิตเข้าใจถึงสาเหตุความหวาดกลัวของน้องสาวทันที เขาบอกให้ทั้งสองกลับไปทำงานของตนจากนั้นโอบรับร่างที่เจ้าตัวมองเห็นว่าเป็นพี่ชายก็โถมเข้าสู่อ้อมอก ก่อนลุกขึ้นประคับประคองกันออกไปนั่งลงบนโซฟาเบาะนุ่มในห้องรับแขก
 สาธิตหนักใจกับอาการหวาดผวาต่อเปลวไฟของศุภักษรที่เกิดขึ้นตั้งแต่อายุสิบแปด ผ่านมาเก้าปีแล้วน้องสาวยังมีอาการนี้อยู่อีก และมันทำให้เขาหวนคิดถึงเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นกับครอบครัว
วันนั้นพ่อแสงและแม่จันทร์ได้เดินทางกลับมาพร้อมกับลูกสาววัยสิบแปดปีและลูกชายซึ่งอยู่ในชุดครุยจากงานเข้ารับปริญญามหาบัณฑิต ระหว่างเดินทางเครื่องยนต์เกิดขัดข้องพ่อของเขาซึ่งเป็นคนขับไม่สามารถหยุดรถได้จึงพยายามที่จะหาที่จอด ซึ่งสองข้างทางล้วนเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้ารกชันไม่สามารถจะมองหาจุดที่หยุดรถได้เลย แต่แล้วท่านก็มองเห็นก้อนหินใหญ่ข้างทางจึงคิดใช้ก้อนหินนั้นเป็นที่หยุดมัน และท่านก็หยุดมันได้
แต่ทว่าร่างท่านไม่สามารถออกจากรถเพราะด้านคนขับปะทะกับก้อนหินอย่างแรง ทำให้รถถูกบีบอัดจนคนขับขยับเขยื้อนไม่ได้ แม่จันทร์หันมาตะโกนสั่งให้เขาพาน้องสาวออกมาก่อน เขาทำตามทันที และคิดว่าจะกลับไปพาร่างของท่านทั้งสองที่พยายามช่วยดึงกันออกมาอยู่นั้น แต่ปรากฏว่าเปลวเพลิงลุกท่วมเครื่องยนต์ เขาเพิ่งลุกห่างตัวน้องสาวมาได้ไม่เท่าไหร่ต้องกลับไปโอบกอดปกป้องเพราะกลัวน้องจะถูกสะเก็ดไฟ
 ชั่วขณะเสียงเครื่องยนต์ระเบิดดังสนั่น และก็มีบางสิ่งปลิวมาตกลงตรงพื้นเบื้องหน้า  วินาทีนั้นสมองของเขาแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากเสียงกรีดร้องสุดเสียงของศุภักษร ก่อนจะส่งให้ร่างในอ้อมแขนแน่นิ่งหมดสติไปพร้อมกับชิ้นส่วนท่อนแขนของแม่จันทร์ที่นิ้วนางข้างซ้ายยังคงสวมแหวนของพ่อ!
ศุภักษรต้องใช้เวลารักษาสุขภาพทางด้านจิตใจในโรงพยาบาลนานนับเดือน เพราะหลังเกิดอุบัติเหตุ
ศุภักษรต้องผจญกับฝันร้ายทุกค่ำคืนจนต้องพึ่งยานอนหลับอยู่บ่อยครั้ง จากวันนั้นศุภักษรค่อย ๆ เปลี่ยนจากเด็กสาวร่าเริงแจ่มใส กลายเป็นหญิงสาวเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจ ซึ่งสาธิตรู้ตัวว่าเขามีส่วนทำให้พฤติกรรมของน้องเปลี่ยนไปในทางลบเพราะเขาตามใจ การตามใจเพื่อหวังชดเชยความสูญเสียที่น้องสาวต้องเผชิญ
สาธิตกลับมาให้ความสนใจร่างสั่นเทาในอก แม้เสียงร้องกระซิกเริ่มเบาลงแต่ชายหนุ่มรู้ว่าน้องยังหวาดผวา เขากระชับวงแขนเพื่อยืนยันความปลอดภัยให้น้องสาว ก่อนยกมือขึ้นลูบศีรษะ
 “พี่เคยบอกแล้วไงว่าเวลาป้าสลวยทำอาหารอย่าเข้าไปในครัว” สาธิตเอ่ย
“ก็ศุหิวนี่คะ ศุยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน” ศุภักษรให้เหตุผลด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น ดวงตาที่ยังหลงเหลือความหวาดกลัวช้อนมองใบหน้าพี่ชายที่เธอรักที่สุด เพราะพี่ชายคนนี้ดูแลเธอด้วยความรักทั้งหมดที่มีเสมอมา
สาธิตได้ฟังแล้วถอนใจ ทั้งที่การเดินทางกลับมาถึงประเทศไทยเกือบสามทุ่มต่อด้วยการขับรถกลับบ้านไร่ เขายังต้องตื่นเช้าเพื่อตะเวนนำของฝากจากญี่ปุ่นที่ศุภักษรซื้อหามาฝากกลุ่มเพื่อนเกือบหมดวันอีก เหตุที่เขาต้องทำแทนเช่นนี้ เพราะศุภักษรอยู่ในอาการไร้เรี่ยวแรง อันเกิดจากตรอมใจในเรื่องของปฐพีจนแทบไม่แตะอาหารสักอย่าง ที่สำคัญถ้าศุภักษรอารมณ์เสียสาธิตก็ไม่อยากให้ได้พบปะกับใคร
“พี่สาธิตเอาของไปให้แม่พวกนั้นหมดแล้วหรือคะ?” ศุภักษรได้รับข่าวจากเพื่อนสนิทว่าปฐพีมีภรรยาแล้ว เธอก็แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนต้องอาศัยพี่ชายจัดการส่งของให้เพื่อน ๆ แทน
สาธิตดันร่างที่คลายอาการสั่นเทาลงออกห่างอีกนิด เพื่อมองสบดวงตากลมโตสีดำบนใบหน้าสวยที่เคลือบด้วยเครื่องสำอางยี่ห้อยุโรป ศุภักษรจัดเป็นผู้หญิงสวยเฉิดฉายคนหนึ่ง ทว่าที่เห็นยังครองตัวเป็นสาวโสดไม่ใช่เพราะไม่มีชายใดหมายปอง แต่เป็นเพราะศุภักษรได้มอบหัวใจรักให้กับชายหนุ่มที่เจ้าตัวไม่มีวันได้รับความรักตอบนั่นเอง
“อืม..ไปแจกจ่ายจนถึงวิคนสุดท้าย พี่ก็เลยถือโอกาสขอบคุณที่เขาติดตามความเคลื่อนไหวนายปฐพีมารายงานศุทุกระยะด้วย” สาธิตไม่ปิดบังว่าเขารู้สึกไม่ชอบใจต่อการกระทำของเพื่อนสาวคนนี้ของศุภักษรเลย แต่ไม่คิดถ่ายทอดเป็นคำพูดเพราะรู้ว่าศุภักษรสนิทกับเพื่อนคนนี้มาก
“เสร็จแล้วพี่ก็เข้าไปหาปฐพี ไปขอกินข้าวเย็นที่บ้านไร่อย่างที่ศุต้องการ” สาธิตจ้องมองแววตากลมโตที่ขยายกว้างเมื่อได้ยินเขาเอ่ยชื่อปฐพี 
 “ขอบคุณค่ะพี่สาธิต พี่สาธิตเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดเลย” ศุภักษรดีใจจนเนื้อเต้น เธอจะได้ดึงช่วงเวลาสนิทสนมกับปฐพีกลับคืนมา
“แล้วก็เป็นพี่ชายที่รักศุมากที่สุดด้วย อย่าลืม” สาธิตกล่าวพลางบีบปลายจมูกน้องสาวเบา ๆ ด้วยความรักความอาทร แต่ภายในใจกลับกำลังวิตกกังวลว่าศุภักษรจะเป็นเช่นไร เมื่อได้ประจักษ์ชัดเจนว่าหัวใจชายหนุ่มที่ตนหมายปองมีเจ้าของแล้วแบบนั้น
สาธิตแทบไม่อยากทนเห็นแววตาเจ็บปวดของผู้เป็นน้องสาว แต่มันถึงเวลาแล้วที่ศุภักษรจะต้องตัดใจ..
ส่วนทางด้านผู้เป็นน้องกลับมิได้คิดวิตกเฉกเช่นพี่ชายเลยสักนิด เพราะความคิดในส่วนลึกมันบ่งบอกให้เธอแย่งชิงสิ่งที่เธอมุ่งหวังกลับคืนมา หญิงสาวเฝ้ารอปฐพีมาตลอดและคิดว่าสักวันชายหนุ่มจะต้องหันมารักเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เพราะเธอและเขาต่างมีความผูกพันที่ร้อยเรียงกันมายาวนาน
..นับตั้งแต่ช่วงเวลาที่เธอยังเรียนอยู่ระดับมัธยมปลายคุณพ่อแสงและคุณแม่จันทร์ได้มาซื้อไร่องุ่นติดเขาใหญ่ต่อจากเจ้าของไร่คนเก่า จากนั้นครอบครัวของเราก็ย้ายกันมาอยู่ที่นี่และได้รู้จักกับชายหนุ่มเจ้าของไร่ปานเทวา ที่ต้องดูแลทั้งน้องชายและกิจการไร่องุ่นต่อจากบิดามารดาที่เสียชีวิตไปหมดแล้ว
ศุภักษรยังจำครั้งแรกที่พบกับปฐพีได้เวลานั้นเขาเป็นหนุ่มนักศึกษาที่มีร่างสูงและใบหน้าหล่อเหลา เขาจะกลับมาไร่ทุกวันหยุด สองไร่มีความเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ที่สำคัญพี่ชายของเธอและปฐพีกลายเป็นเพื่อนที่คุยกันถูกคอทั้งสองจึงไปมาหาสู่กันเสมอ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เธอต้องสูญเสียพ่อแสงและแม่จันทร์ ความทรงจำอันโหดร้ายนั้นได้กลายเป็นฝันร้ายทุกค่ำคืนของเธอ
กรี๊ด!!!’ เสียงที่ดังมาจากห้องคนไข้พิเศษ เรียกให้สองหนุ่มที่นั่งกุมขมับกันอยู่ด้านนอกได้เข้ามาทันที
ศุ.. ร่างของผู้เป็นพี่ชายถลาเข้ามาโอบกอดร่างน้องสาวที่นอนดิ้นโดยมีสายรัดข้อมือและข้อเท้าไว้ ทั้งสีหน้าแววตาของเขาฉายชัดถึงความปวดใจ
พี่สาธิตช่วยศุด้วย ฮือ.. ใบหน้าที่มีน้ำตานองผงกขึ้นมาอ้อนวอนผู้เป็นพี่ชาย ก่อนจะส่งสายตาผ่านไปหาชายหนุ่มอีกคนที่ยืนเยื้องไป พี่ปฐพี..ช่วยศุด้วย ศุกลัว.. พูดจบสักพักร่างนั้นค่อย ๆ สงบลงเพราะฤทธิ์ยาที่นางพยาบาลเพิ่งจะฉีดให้เพื่อระงับอาการต่อต้านที่รุนแรงของคนไข้ ปฐพีขยับเข้ามาแทนที่พี่ชายของเธอ มือหนาของเขาเอื้อมมากุมมือซีดเซียวของเธอไว้ ก่อนจะปลอบโยน
นอนพักเถอะนะศุ พี่สัญญาว่าถ้าหมออนุญาตให้ศุกลับบ้านได้แล้วพี่จะคอยดูแลศุเอง น้ำเสียงทุ้มนุ่มกับแววตาอาทรห่วงใยของปฐพี ทำให้ดวงตากำลังหรี่ปรือปิดสนิทด้วยความไว้วางใจ
นับจากนั้น เธอได้ปฐพีเป็นผู้ดูแลเยียวยาจิตใจเป็นต้นมา ชายหนุ่มจะแวะเวียนไปเยี่ยมเธอที่หอนักศึกษาทุกครั้งที่เดินทางไปกรุงเทพ จนกระทั่งเธอเรียนจบและกลับมาอยู่บ้านไร่ จากวันนั้นถึงวันนี้ปฐพีก็ยังไม่ลืมสัญญา ความใกล้ชิดกลายเป็นความผูกพันที่ถักทอคำว่ารักขึ้นในใจของเธอทีละนิดจนเต็มหัวใจ ทำให้เธอคาดหวังอยู่เสมอว่าสักวันปฐพีจะเลิกมองเธอในฐานะน้องสาว และหันมามองเธอในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาจะเลือกมาเป็นคู่ชีวิต
ทว่าความหวังของเธอกลับพังทลายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อเพื่อนสาวโทรไปรายงานต่อเธอว่าปฐพีมีภรรยาแล้ว..ช่างเป็นเรื่องน่าใจหายถึงขั้นช็อก แต่พอตั้งสติได้เธอก็คิดได้ว่ายังไม่ควรยอมแพ้ ในเมื่อเธอมาก่อนและมีความรักความผูกพันกับเขามานานกว่า เธอจึงลุกขึ้นสู้และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอก็จะต้องนำหัวใจของเธอกลับคืนมาให้ได้!
“พี่สาธิตไปที่ไร่เจอแม่ผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่าล่ะคะ ได้ข่าวว่าแม่นั่นตามพี่ปฐพีไปที่ไร่ทุกวัน” ศุภักษรเอ่ยถามด้วยแววตาหยัน ทั้งที่ยังไม่พบหน้าแต่ก็รู้สึกรังเกียจผู้หญิงทุกคนที่เข้ามาใกล้ชิดกับปฐพี แล้วยิ่งแม่ผู้หญิงคนนี้มาแย่งดวงใจของเธอไปครอง เธอยิ่งรู้สึกเกลียดแม้แต่ชื่อก็ไม่อยากเอ่ยออกมา
“เจอสิ แต่ข่าวที่ศุได้ยินมาคงจะผิดไปสักนิด เพราะคุณรัญไปที่ไร่ตามคำสั่งของปฐพีต่างหาก” สาธิตอธิบาย เนื่องด้วยความจริงคือหญิงสาวนัยน์ตาสวยหวาน ต้องไปทำงานในไร่ตามคำบัญชาของสามี มิใช่เป็นดั่งที่อีกฝ่ายได้ข่าวมา แต่ผู้เป็นน้องสาวกลับยักไหล่และเหยียดปากไม่น่ารัก เนื่องจากหมั่นไส้ต่อคำแก้ต่างของพี่ชายที่มีต่อศัตรูของตน
“ไปรู้จักมักจี่กันแล้วหรือคะ ถึงออกรับแทนกันแบบนี้” ศุภักษรมองค้อนพี่ชาย ร่างระหงถดถอยหนีไม่พอใจ เพราะปกติในสายตาของพี่ชายไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเขามักนิ่งเฉยรับฟังบางครั้งคล้อยตาม แต่มาวันนี้กลับดูเหมือนเขาจะพยายามปกป้องบุคคลที่เธอถือว่าเป็นศัตรูหัวใจหมายเลขหนึ่ง
“ก็ศุไปฟังข่าวผิด ๆ มา คนที่เขาไม่รู้เรื่องก็จะเดือนร้อนโดยไม่รู้ตัว มันไม่ดีเลยนะศุ แล้วพี่อยากจะเตือนเรื่องเพื่อนของศุ อย่าไปฟังเขามากนักเพราะมันจะยิ่งทำให้เราตกอยู่ในวังวนความทุกข์ไม่จบสิ้น”
สาธิตกล่าวเตือน แม้ว่าเขาจะรู้ถึงความปรารถนาของน้องสาวที่ต้องการสานสัมพันธ์ระหว่างเขากับ
วิลาวรรณเพื่อนสนิท แต่เขาก็วางตัวเฉยมาตลอดไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะไม่อยากให้ผองเพื่อนเคืองใจกัน เลยกลายเป็นว่าเขาต้องมารับฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่วิลาวรรณขยันนำมาเล่าให้ตนรู้สึกเคืองใจเสียเอง
“แหม ศุก็แค่พูดล้อเล่นพี่สาธิตก็โกรธแล้วหรือคะ” ศุภักษรรีบพูดประโลมใจ เธอยังหวังได้ข่าวจาก
วิลาวรรณเพราะเพื่อนสาวคนนี้มีญาติเป็นหัวหน้าคนงานหญิงอยู่ในไร่ปานเทวา เมื่อใดที่ญาติผู้นั้นมาเยี่ยมแม่ของวิลาวรรณที่บ้าน เธอก็มักจะได้รู้ข่าวคราวภายในไร่เสมอ
ฉะนั้นเธอจึงไม่อยากให้พี่ชายมีอคติกับเพื่อนสาวของเธอไปเสียก่อน อีกอย่างเธอยังหวังลึก ๆ ว่าเขาจะหันมามองเพื่อนสาวของเธอคนนี้บ้าง เพราะอย่างน้อยวิลาวรรณก็เป็นเพื่อนสนิทที่เธอไว้วางใจพอที่จะให้ดูแลพี่ชายที่เธอรักที่สุด แม้ว่าผู้เป็นพี่ชายจะมีท่าทีเมินเฉยมาโดยตลอด แต่เธอก็ยังตั้งความหวังว่าสักวันเขาจะสงสารและหันมาชอบเพื่อนเธอบ้าง เหมือนดั่งที่เธอปรารถนาได้รับจากปฐพีเช่นเดียวกัน
เมื่อชื่อปฐพีปรากฏขึ้นมาในใจ ศุภักษรจึงคิดว่าเธอน่าจะเดินทางไปบ้านไร่ปานเทวาเร็วกว่าที่ควร เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับเขานาน ๆ
“เอาล่ะศุไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า เก็บความหิวไว้ไปกินอาหารฝีมือป้ามาลัยทีเดียวเลย” พูดจบ หญิงสาวก็ลุกยืนขอตัวขึ้นข้างบน ปล่อยให้ผู้เป็นพี่ชายมองตามด้วยจิตกังวลปนสงสาร
อย่าคิดทำอะไรอีกเลยศุ ตัดใจเสียเถอะ พี่ไม่อยากเห็นศุฝังใจอยู่กับความรักที่ไม่มีวันได้ครอบครองแบบนี้อีกแล้ว
สาธิตได้แต่ถอนใจกับความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ของศุภักษร ที่ไม่เคยยอมรับว่าเรื่องความรักมันบังคับใจกันไม่ได้ โดยเฉพาะหัวใจชายหนุ่มอย่างปฐพีที่ไม่มีวันมอบให้ใครด้วยความสงสาร
ซึ่งตัวสาธิตเองก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่สาธิตครองตัวเป็นโสดใช่ว่าเขาจะไม่เคยชายตาแลผู้หญิงคนไหนเลย แต่เพราะภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลจิตใจน้องสาวและกิจการงานในไร่องุ่น ทำให้แทบไม่มีเวลาเหลือให้ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ
อีกทั้งศุภักษรวางตัววิลาวรรณเพื่อนสาวไว้เป็นตัวเลือกหลักให้กับเขา ยิ่งทำให้โอกาสที่จะสานสัมพันธ์กับหญิงสาวคนใดน้อยลงไปอีก มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกที่จะเห็นเขายังไร้คู่ร่วมเรียงเคียงหมอนอยู่เช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่คิดเลือกวิลาวรรณมาเป็นคู่ชีวิตเพียงเพราะสงสารหญิงสาวที่เฝ้ารอคอยเขามานานปี
มาถึงตรงนี้ สาธิตก็พลันนึกไปถึงดวงตาสวยของหญิงสาวที่เขาลงความเห็นว่ามีเสน่ห์น่าคบหาคนหนึ่ง รัญชิดาเป็นหญิงสาวสวยที่ไม่ต่างจากผู้หญิงที่เขาพบในวงสังคมอยู่บ่อย ๆ  แต่รัญชิดากลับมีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกดีกับเธอเป็นพิเศษ และก่อนที่ชายหนุ่มจะคิดไกลไปกว่านั้น เขาก็ลงโทษตนเองที่ริอ่านหวั่นไหวกับเมียของเพื่อน ด้วยการยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเองหนึ่งที
 ราคาขาย: 200 + 40 = 240 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 
ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ไร่เสน่หาจองจำหัวใจราคาปก 319x10%=31 บาท + ค่าส่ง 40 = 71บาท
(เฉพาะพื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่ง ยอดยืม 31 บาทจะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อนคือ 319 บาท ต่อเมื่อส่งหนังสือคืนร้านแล้ว ทางร้านจะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ