นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา
กรุงไคโรชาวอียิปต์เรียกกันว่า อัล-คาฮิระห์
หมายถึง นครแห่งชัยชนะ
ในระหว่างที่พักรักษาตัววาสิตาได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศอียิปต์มาอย่างละเอียด
ทำให้รู้ว่านครแห่งชัยชนะนี้มีเรื่องราวความเป็นมาซับซ้อน ชาวอียิปต์โบราณแบ่งดินแดนออกเป็นสองส่วน
คือ อียิปต์บนและอียิปต์ล่าง อียิปต์บนเป็นบริเวณที่แม่น้ำไนล์ไหลผ่านทะเลทรายและโตรกเขาทางทิศใต้
ส่วนอียิปต์ล่างเป็นเขตปากแม่น้ำทางทิศเหนือที่แม่น้ำไนล์เริ่มแตกแขนงออกเป็นสาขาย่อยๆ
จนหลายวันต่อมา เมื่อร่างกายของหญิงสาวกลับมาเป็นปกติดี
ฮาจารีก็พาเธอมารับวีซ่าใหม่ที่สถานทูตไทยในอียิปต์ วาสิตาขอให้เขาพาไปจัดการเรื่องบัตรเครดิตของเธอด้วย
เขาจึงพามาที่เมย์ดานอัล-ตาห์รีร์
การ์เด้นซิตี้ศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งใหม่ของอียิปต์
มีมหาวิทยาลัยอเมริกันอยู่ไม่ไกลกัน เมย์ดานอัลตาห์รีร์แห่งนี้มีธนาคารไว้รองรับนักท่องเที่ยวและการค้าขาย
หญิงสาวขอเวลาเข้าไปจัดการเกี่ยวกับบัตรเครดิตของเธอในธนาคารราวสองสามชั่วโมง
จากนั้นชายหนุ่มก็ไม่ลืมสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าเขาพาเธอท่องไปสถานที่ต่าง ๆ เริ่มจากตลาดข่าน-อัลคาลิลี
แหล่งการค้าที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับแรก
ไคโรเป็นเมืองการค้าเอกของโลกอิสลาม
โดยเฉพาะตลาดข่าน-อัลคาลิลี ตลาดแห่งนี้เป็นแหล่งที่กองคาราวานจะมาหาซื้อเสบียงและข้าวของเครื่องใช้
ดังนั้นตามตรอกซอกซอยต่างอุดมไปด้วยร้านค้าและพ่อค้า ที่ดักรอเสนอขายสินค้าของตนให้แก่ผู้สัญจรไปมา
เสียงเจรจาต่อรองราคาและโฆษณาสรรพคุณสินค้าเป็นภาษาอังกฤษและภาษาอาหรับแว่วมาจากทุกทิศทาง
เขาพาเธอเที่ยวชมตลาดสักพักใหญ่ก็ให้คนขับรถพาไปพิพิธภัณฑ์อียิปต์
สถานที่เก็บรักษาสมบัติแห่งโลกไอยคุปต์ที่มีผู้หลั่งไหลมาชมวัตถุโบราณกว่าแสนชิ้น ตัวอาคารตั้งตระหง่านให้เห็นนั้นมีสีแดงอมส้ม
ขอบประตูและบานประตูเป็นสีขาว ข้างบนส่วนโค้งของประตูมีเศียรเทพประดับอยู่
ชายหนุ่มไม่ได้ลงมาด้วย บอกจะรอเธออยู่ข้างนอก
คาดเดาว่าเขาคงจะเห็นคนต่างชาติหนาตา จึงไม่อยากจะมาร่วมเบียดเสียดอีกคน
วาสิตาได้ศึกษาสถานที่สำคัญในอียิปต์มาก่อน ทำให้เธอรู้ว่าพิพิธภัณฑ์อียิปต์แห่งนี้ได้รวบรวมวัตถุโบราณของอียิปต์เก็บไว้มากที่สุด
มีการจัดแสดงไว้ให้ผู้เข้าชมทั้งชั้นล่างและชั้นบน วัตถุโบราณทุกชิ้นต่างเรียงตามลำดับเหตุการณ์
ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์จึงต้องเดินวนตามเข็มนาฬิกาจากซ้ายไปขวา วาสิตามองว่าทางเจ้าหน้าที่คงจะกลัวนักท่องเที่ยวเดินชนกัน
เพราะภายในพิพิธภัณฑ์มีตู้กระจกใสตั้งโชว์วัตถุโบราณ วางสลับซ้อนกันมากมาย บนพื้นจะมีลูกศรชี้บอกทิศทางเดินให้กับนักท่องเที่ยว
จากจุดที่เธอยืนอยู่สามารถมองเห็นรูปสลักสามองค์ เมนคูราแห่งกีซาตั้งอยู่ด้านซ้าย
มองเลยไปเป็นส่วนที่จัดแสดงภาพเขียนและประติมากรรม ด้านขวาเป็นวัตถุยุคกรีกโบราณ ตู้โชว์จานสีของฟาโรห์นาร์เมอร์ผู้รวมอียิปต์สองส่วนให้เป็นหนึ่ง
และรูปสลักของฟาโรห์โซเซอร์ผู้มีพีระมิดสูงเสียดฟ้า
วาสิตาเดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่กำหนดจนกระทั่งสุดทาง
ซึ่งเป็นห้องแสดงสมบัติสมัยฟาโรห์อาเคนาเทน ต่อจากนั้นเธอก็ขึ้นไปข้างบน เยี่ยมชมห้องสมบัติของฟาโรห์ยุวกษัตริย์ตุตันคามุน
ห้องนี้จัดแสดงหุ่นจำลองมาจากสุสานในเมืองธีบส์เป็นส่วนใหญ่ และสุดท้าย คือห้องที่กุลสินีเพื่อนสาวสุดซี้ของเธอเกิดอาการขนลุกทุกครั้งที่นึกถึง..ห้องมัมมี่นั่นเอง
สมบัติเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันความมั่งคั่งของฟาโรห์ และเป็นสิ่งปลุกเร้าจิตนาการเกี่ยวกับอาราม
วิหาร และสุสานโบราณ การตามล่าหาคำอธิบายเรื่องการบูชาเทพเจ้าครึ่งคนครึ่งสัตว์ กับการสงวนรักษาร่างของผู้ตายด้วยการทำมัมมี่
"มัมมี่ส่วนใหญ่ถูกค้นพบที่เดียร์อับบาห์รีในเมืองลักซอร์
ไม่ว่าจะเป็นมัมมี่องค์ฟาโรห์ผู้เรืองนามอย่าง..รามีเซสที่สอง ฟาโรห์เซติที่หนึ่ง
รวมถึงฟาโรห์ทุตโมซิสที่สี่ ทุกพระองค์ต่างนอนหลับใหลอยู่ในหีบศพโบราณที่ทำด้วยหิน"
เสียงคนที่บอกว่าจะรอเธออยู่ข้างนอกดังขึ้น เธอจึงหันไปสบตา
ทั้งหมดทั้งมวลที่เธอได้เห็น
ล้วนเป็นเสน่ห์ของอารยธรรมอียิปต์ที่แสดงออกถึงความลี้ลับชวนค้นหา
‘บางทีปริศนาอันทรงเสน่ห์ของอียิปต์โบราณ
อาจปรากฏอยู่ในแววตาของชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นได้’
เธอยิ้มให้กับไกด์จำเป็น แล้วเอ่ยถามเขาว่า
"ไหนว่าจะรอฉันอยู่ข้างนอกไงล่ะคะ"
"ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้น แต่คิดอีกที
ฉันไม่อยากปล่อยให้เธอเดินคนเดียว อีกอย่างฉันอาจให้ข้อมูลบางอย่างที่หาไม่ได้ตามหนังสือทั่วไปกับเธอก็ได้"
"งั้นดีเลยค่ะ เมื่อกี๊คุณบอกว่าฟาโรห์ทุกพระองค์ ต่างนอนหลับใหลอยู่ในหีบศพโบราณที่ทำด้วยหิน
ชนอียิปต์โบราณมีความเชื่อเรื่องหินยังไงบ้างคะ?"
“ชนอียิปต์โบราณเชื่อว่าบรรพบุรุษจะช่วยดูแลลูกหลาน
และทำให้การเพาะปลูกได้ผล จึงมักฝากฝังร่างของพระองค์ไว้กับหิน รวมทั้งทางเข้าสุสานหลายแห่งก็ทำด้วยแผ่นหิน บางทีก็ฝังศพไว้ใต้ก้อนหิน..."
ในขณะที่กำลังฟังเขาอธิบาย พลันเธอก็ได้เห็นภาพอะไรบางอย่าง ปรากฏขึ้นบนฝาผนัง
ภาพนั้นเคลื่อนไหวได้!
'ก้อนหินถูกตั้งขึ้นตรงปากทางเข้าสุสาน
มีคนขุดหลุมตรงตำแหน่งที่จะตั้ง ด้านหนึ่งเป็นทางลาด อีกด้านหนึ่งตอกไม้เสริมผนังไม่ให้หินจมเข้าไปได้ จากนั้นก้อนหินถูกเคลื่อนมาตั้งตรงปากหลุมด้านลาด
โดยมีท่อนไม้วางบนพื้นเป็นราง แล้วค่อย ๆ
เลื่อนหินมาบนนั้น เมื่อปลายแท่งหินอยู่ในหลุมแล้ว
จึงเอาเชือกผูกด้านบนของหิน โดยมีจำนวนคนมากมายช่วยกันชักขึ้น ในขณะคนอีกกลุ่มหนึ่งคอยเอาไม้คานสอดเข้าไปด้านใต้หิน
ยกให้หินค่อย ๆ ตั้งตามทิศทางตำแหน่งการขึ้นและตกของพระจันทร์..'
"วาสิตา วาสิตา
เธอเป็นอะไรหรือเปล่า?" เสียงฮาจารีเรียกขานอย่างห่วงใย
เมื่อเห็นเธอเงียบงันไปนาน
"เอ่อ.."
วาสิตาพยายามสลัดภาพซ้อนเหล่านั้นออกไปจากสมอง ก่อนคิดฉงน กับภาพที่ปรากฏขึ้น และที่สำคัญ
มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเธอได้ยืนอยู่ในเหตุการณ์สร้างสุสานนั้นด้วย
"เมื่อกี๊คุณพูดว่าวางหินตามตำแหน่งอะไรนะคะ?"
"หินจะถูกตั้งตามตำแหน่งการขึ้นและตกของพระจันทร์"
ฮาจารีทวนซ้ำ
หญิงสาวมองจ้องเขาอย่างพิศวง
ในถ้อยคำที่เขาได้พูดเหมือนเห็นภาพเดียวกับเธอ
"เธอจะเดินต่อหรือเปล่า?"
ฮาจารีถามขึ้นเบา ๆ เพื่อไม่ให้คนที่กำลังจ้องค้างเกิดอาการตกใจ
"ไม่ล่ะค่ะ ฉันเดินทั่วชั้นนี้แล้ว"
วาสิตาส่ายหน้า พลางพยายามผลักไสความคิดสับสนในหัวให้หลุดไป
"ไม่เป็นอะไรแน่นะ?"
น้ำเสียงอ่อนโยนของเขาถามย้ำ
"ไม่ค่ะฉันสบายดี แค่เริ่มรู้สึก
ว่าที่นี่แออัดเกินไป " วาสิตาพยายามคิดหาเหตุผลให้กับความสับสนของตัวเอง
"จะไปต่อชั้นอื่น ๆ
อีกหรือเปล่า เดี๋ยวฉันจะพาไป" ฮาจารีถามขึ้นอีก
น้ำเสียงเจือความห่วงใย
"ไม่ล่ะค่ะ
กว่าจะเดินดูหมดก็คงใช้เวลาเกือบสองวันเต็ม
ๆขอบคุณความมีน้ำใจของคุณค่ะฮาจารี" เธอเอ่ยขอบคุณเขา
ทั้งที่ในใจยังฉงนกับสิ่งที่เห็นไม่หาย ‘ภาพเมื่อครู่มันคืออะไรกันแน่
ทำไมภาพนั้นทำให้เธอรู้สึกได้ถึงการมีตัวตนของเธอจริง ๆ ในยุคนั้น’
ออกจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ ฮาจารีก็พาเธอไปเยี่ยมชมสุสานซักการา
ซึ่งพอมาถึงลานจอดรถของสุสาน หญิงสาวก็พบว่าอากาศบริเวณนี้ร้อนมากกว่าที่อื่น
เนื่องจากบริเวณโดยรอบสถานที่แห่งนี้แห้งแล้งเป็นทะเลทราย แทบไม่มีต้นไม้ให้เห็น
ชาระเปิดประตูรถแล้วก้าวลงมายืนรอเจ้านายอยู่ด้านข้าง
ขณะฮาจารีก้าวลงมายืนด้วยท่วงท่างามสง่า แม้ว่าวันนี้เขาจะสวมโธบสีเทา ด้านข้างของโธบผ่าขึ้นสูงเผยให้เห็นกางเกงทรงหลวมสีเข้ม
แต่ชุดโธบตัวนี้ก็กระชับเน้นโครงร่างนักกีฬาของเขาอย่างชัดเจน
ซึ่งหญิงสาวมองว่าถึงฮาจารีจะแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองธรรมดา รัศมีความสง่าน่าเกรงขามของเขาก็ยังโดดเด่น ต่างจากชนพื้นเมืองทั่วไป ส่วนเธอเลือกใส่เสื้อบางพลิ้วสีขาวสดใส แขนยาว มีผ้าคาดตัวในกระชับ
กับกางเกงยีน การมาเที่ยวทะเลทรายร้อนระอุขนาดนี้คงต้องใส่ชุดบางเบาแบบนี้แหละ เธอจะได้ไม่ต้องแบกน้ำหนักของเหงื่อที่พร้อมจะผุดออกมาจากทุกรูขุมขน
"ซักการามีฐานะเป็นสุสานหลวงของเมืองเมมฟิส
จึงมีการฝังศพของบรรดาพระราชวงศ์ และขุนนางระดับสูงจำนวนมาก"
ฮาจารีบอกเล่าตามที่ได้ความรู้สืบต่อกันมา
วาสิตามองเห็นกลุ่มคนกำลังขะมักเขม้นกับการตรวจวัดพื้นที่
ซึ่งมีเชือกล้อมเป็นเขตห้ามบุคคลภายนอกเข้า เธอเอ่ยถาม
"ยังมีงานสำรวจที่นี่อีกหรือคะ?"
"ยังมีนักโบราณคดีทำงานอยู่ที่ซักการา
เพราะแทบทุกตารางเมตรที่พวกเขาขุดลงไป ก็มักจะต้องพบโบราณวัตถุหรือสุสานของชาวอียิปต์โบราณเสียทุกครั้ง"
เขาให้คำตอบ ก่อนเดินนำเธอเข้าไปภายในหินศิลา ซึ่งเป็นทางเข้าสู่สุสานหลวง
สุสานที่เรียกความสนใจจากเธอ เป็นของชายซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูงในสมัยราชอาณาจักรเก่า
สุสานของเขามีภาพสลักนูนต่ำบอกเล่าเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของอียิปต์สมัยก่อนเช่น
ภาพปลานานาชนิด ฝูงนกน้ำ และละมั่ง มีให้เห็นอยู่เต็มผนังสุสานและตามจุดต่าง ๆ ภายในสุสานของเขามักเล่าเรื่องคุณความดี ที่ชายผู้นี้เคยกระทำไว้ในยามที่เขาเป็นใหญ่
และเมื่อเธอเดินเข้ามาด้านในสุดของสุสาน
เธอถึงกับขนลุกด้วยภายในโถงกว้าง มีรูปสลักลอยตัวของเจ้าของสุสานยืนจ้องตาผู้มาเยือน..
ออกจากซักการา
ฮาจารีก็บอกจุดหมายต่อไปกับเธอ
นั่นก็คือเมืองกิซา ซึ่งมีหมู่พีระมิดที่สามารถนั่งอูฐชมรอบ ๆ ได้
มีร้านค้าขายของที่ระลึก มีเด็กคอยวิ่งไล่ต้อนขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว และมีมุมถ่ายรูปราคาแพงเกินจริง
รถทัวร์มากมายขนนักท่องเที่ยวมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมายลโฉมสิ่งก่อสร้างอัศจรรย์พัน
ๆ ปีแห่งนี้
ใกล้ ๆ พีระมิดมีนักท่องเที่ยวพลุกพล่านดูแออัด วาสิตาจึงไม่อยากเบียดเสียดคนอื่น
จึงได้แค่ชมอยู่ในระยะห่างพอประมาณและฟังหนุ่มเจ้าถิ่นบรรยาย
"ที่มองเห็นพีระมิดเรียงรายอยู่สามองค์
พีระมิดคูฟูสูงกว่าพีระมิดองค์อื่น
ถัดไปคือพีระมิดของฟาโรห์คาเฟร และองค์สุดท้ายพีระมิดของฟาโรห์เมนเคอเร.."
ฮาจารีให้รายละเอียดเกี่ยวกับหิน ว่าใช้หินปูนในการสร้างสองล้านกว่าก้อน เขาว่าเมื่อสองพันหกร้อยปีก่อนสูงมากกว่านี้ แต่ที่เห็นความสูงลดลง เกิดจากความเก่าแก่ทำให้หินบริเวณปลายยอดหลุดหล่นหายไป
ฮาจารีให้รายละเอียดเกี่ยวกับหิน ว่าใช้หินปูนในการสร้างสองล้านกว่าก้อน เขาว่าเมื่อสองพันหกร้อยปีก่อนสูงมากกว่านี้ แต่ที่เห็นความสูงลดลง เกิดจากความเก่าแก่ทำให้หินบริเวณปลายยอดหลุดหล่นหายไป
"หมู่พีระมิดแห่งกีซาที่เรียงตัวกันสามองค์อยู่ตรงขอบฟ้า ตั้งตระหง่านท้าทายกาลเวลาเป็นพัน
ๆ ปี ชาวอียิปต์โบราณชื่นชมและบูชาพีระมิดในฐานะ 'ภูผาแห่งเร'
มีตัวสฟิงซ์ที่รูปหน้าเป็นคนแต่ลำตัวเป็นสิงโต หมอบอยู่หน้าหินศิลาชิ้นใหญ่.."
วาสิตารับฟังด้วยความเพลิดเพลิน "ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ
ว่าสมัยก่อนเค้าขนหินพวกนี้มาได้ยังไง แต่ละก้อนสูงท่วมหัวฉันซะอีก" เธอเอ่ยอย่างทึ่ง
ๆ
จังหวะเดียวกัน พลัน..เห็นภาพซ้อนขึ้นมาอีกครั้ง ภาพนั้นเคลื่อนไหวเหมือนอย่างผนังในพิพิธภัณฑ์ไม่มีผิด
'นักรบทะเลทรายในเครื่องแต่งกายโบราณควบม้ามาทางหญิงสาว เขามีผ้าคลุมหน้าสีน้ำเงินเข้ม ดูเหมือนเทพลึกลับที่หมายจะปกป้องคุ้มครองบุคคลอันเป็นที่รัก
เขาหยุดม้าตรงหน้าเธอ และด้วยการเคลื่อนไหวทรงพลังครั้งเดียว เขาโน้นตัวลงมาช้อนตัวเธอขึ้นบนอานอย่างง่ายดาย
ดุจเหยี่ยวคว้าเหยื่อและโฉบทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า..'
“วาสิตา วาสิตา”
เสียงเรียกดังให้รู้สึกตัว วาสิตาเงยหน้าขึ้นมองดวงตาสีเข้ม
แสนลึกล้ำมีเสน่ห์ และมีความจริงใจสะท้อนอยู่ในนั้น ก่อนเอ่ยถาม
"ฉันเป็นอะไรไปอีกแล้วคะฮาจารี?"
ร่างบอบบางพยายามรวบรวมสติ ในขณะท่ายืนซวนเซเล็กน้อย
ฮาจารีรีบเข้ามาประคองเอาไว้ในอ้อมแขน สักพักหญิงสาวทรงตัวได้ แต่ก็ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน
เขาจึงให้ความเห็นว่า
"ความร้อนของที่นี่ คงทำให้เธอหมดเรี่ยวแรง"
ชายหนุ่มส่งยิ้มอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลม ขณะร่างบอบบางซบอกกว้างของเขา
หญิงสาวเองก็รู้สึกได้ว่า อีกฝ่ายกำลังสูดกลิ่นเรือนผมของเธอ
ซึ่งสัมผัสของเขาให้ความอุ่นใจบางอย่าง และเธอก็เผลอสูดกลิ่นเสื้อผ้าหอมแดดของเขาบ้าง พลางสังเกตโธบสีเทาตัวยาวที่เขาสวม แห้งยิ่งกว่าทะเลทรายซาฮาราเสียอีก ไม่ได้เปียกชื้นปนเหงื่อเหมือนเสื้อเธอเลย และใบหน้าของเขาก็ช่างสงบเยือกเย็นดีแท้
เมื่อรู้สึกตัวว่าเผลอจ้องริมฝีปากที่หยักโค้งและเต็มอิ่มของเขา
เธอจึงรีบผละห่างและละสายตาไปทางอื่น
ออกห่างอ้อมอกของฮาจารีแล้ว หญิงสาวก็ใช้เวลาเดินสำรวจพีระมิดแค่ครึ่งชั่วโมง
พระอาทิตย์แผดเผาให้เหงื่อออกจนมวยผมของเธอเหนียวหนึบติดต้นคอ เสื้อผ้าซักรีดมาอย่างดีเปียกเหงื่อจนชุ่ม
หญิงสาวเสยปอยผมที่หลุดออกมาให้พ้นใบหน้า พลางบอกตัวเองว่า ‘เธอจะให้ฮาจารีรู้สึกกังวลกับตัวเธอไม่ได้
เธอต้องทำเหมือนว่าความร้อนไม่ส่งผลใดๆ ต่อตัวเธอเลย’
"วาสิตา เธอไหวหรือเปล่า
ถ้าไม่ไหวก็กลับกันก่อนเถอะ" ฮาจารีเอ่ยถามด้วยความอาทรร้อนใจ เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางอันไร้เรี่ยวแรงของหญิงสาว
"ให้ฉันเข้าไปดูใกล้อีกนิดเถอะค่ะ
การได้มาเห็นพื้นที่จริง ๆ ของพีระมิดอย่างนี้ เป็นโอกาสที่ดีของฉัน"
"แต่เธออาจจะไม่สบาย"
ชายหนุ่มเข้าใจในเหตุผล แต่ห่วงกังวลไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องฝืนร่างกาย
"ได้โปรดเถอะค่ะฮาจารี อย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองแย่ลงไปกว่านี้เลย
ฉันสบายดี ถ้าได้ดื่มน้ำซักนิดร่างกายก็จะสดชื่นขึ้น"
“ก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหวเธอต้องรีบบอกฉัน เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะฮาจารี”
วาสิตาใจชื้นขึ้นเมื่อเห็นว่าเขายอมโอนอ่อนผ่อนตาม
ถ้าไม่เช่นนั้นล่ะก็ เธอคงได้เดินทางกลับคฤหาสน์แบบที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะมีโอกาสได้มาดูสุสานอื่นๆ
อีก
คฤหาสน์ของฮาจารี..
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์
วาสิตาก็ยอมให้มาเรียพาไปอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ชุดที่มาเรียเตรียมไว้ให้เป็นชุดยาว
เนื้อผ้าใยบัวบางใสสีชมพูอ่อน เนื้อผ้าบางเสียจนเธอเหลือบมองชุดนั้นคราใดใจสั่นทุกที
จึงไม่พ้นบ่นอุบ
"บางมาก ฉันมองผ่านเห็นมาเรียชัดแจ๋วเลย"
วาสิตาชูชุดขึ้นและมองสาวใช้ผ่านเนื้อผ้าบางใส มาเรียสวมชุดให้แล้วไล่สายตาตลอดเรือนร่างของเธอไปจรดชายผ้าคลุมข้อเท้า
จากนั้นเดินหายไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาพร้อมกับเสื้อคลุมสีขาวนวล ที่เมื่อสวมทับมันสามารถคลุมปิดทรวงอกอิ่มของเธอได้ดี
เธอยิ้มแทนคำขอบคุณ จากนั้นปล่อยให้มาเรียจูงมือออกจากห้องแต่งตัว
และพาไปห้องอาหาร ในเวลานี้ชายหนุ่มเจ้าของคฤหาสน์นั่งคอยอยู่แล้ว
ฮาจารีสวมชุดเรียบง่ายด้วยกางเกงผ้าฝ้ายทรงหลวม
สวมเสื้อคลุมสีดำตัวยาวทับ เธอเห็นแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความพึงพอใจในความหล่อเหลาบาดตาบาดใจของเขา
จนรู้สึกได้ว่าเลือดสูบฉีดพวงแก้ม จากนั้นฝืนยิ้มให้เขาก่อนจะเห็นว่ามือนุ่มของมาเรียบีบมือเธอเบา
ๆ
หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณสาวใช้
มาเรียเดินออกไปแล้วเธอจึงเดินช้า ๆ ไปยืนตรงเก้าอี้ประจำ เสียงฮาจารีเอ่ยเชื้อเชิญ
“นั่งสิ” ฮาจารีกล่าว พลางอดใจไม่ไหวที่จะมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาเสน่หา
“ตามสบายเถอะวาสิตา”
"ขอบคุณค่ะ"
วาสิตาขอบคุณเขาเบา ๆ และหย่อนก้นลงนั่ง ในเวลานี้เธอและเขาอยู่กันตามลำพัง
เพื่อกลบเกลื่อนความประหม่า เธอจึงเสมองอาหารบนโต๊ะ มีทั้งอาหารและผลไม้หลากหลายชนิดตั้งเรียงราย
ดวงตาเข้มคมลอบมองเสี้ยวหน้าสวยหวาน
ที่กำลังให้ความสนใจอาหาร สายตาไล่ต้อนจากแก้มนวลเนียนไปจรดริมฝีปากบางทว่าอิ่มเต็ม
ก่อนกลับขึ้นมาสบดวงตาสวยเปล่งประกายความหวานซึ้ง พลางคิดว่าแค่เรื่องบังเอิญที่หญิงสาววิ่งมาชนรถของเขา
และทำให้เขาได้ดูแลใกล้ชิด จะทำให้เขาตกหลุมรักอีกฝ่ายชนิดถอนตัวไม่ขึ้นเช่นนี้
ความรักช่างทำให้หัวใจกระพือปีกเริงร่าเบิกบาน แต่เมื่อคิดถึงวันที่หญิงสาวจะต้องเดินทางจากไป ปีกแห่งความสุขก็กลับหุบลง
ความรักช่างทำให้หัวใจกระพือปีกเริงร่าเบิกบาน แต่เมื่อคิดถึงวันที่หญิงสาวจะต้องเดินทางจากไป ปีกแห่งความสุขก็กลับหุบลง
"วาสิตา ฉันอยากจะบอกอย่างหนึ่ง
เธอจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ แต่ฉันอยากจะบอกว่าครั้งแรกที่ฉันพบเธอ
ฉันรู้สึกเหมือนมีความผูกพันกับเธอมานานแสนนาน”
ฮาจารีกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบที่รายล้อม
จากนั้นดวงตาคมจ้องมองปฏิกิริยาจากเธอไม่วาง
วาสิตาไม่อาจปฏิเสธ ว่าเธอก็สัมผัสความรู้สึกเช่นเดียวกับเขา ดวงตากลมโตเผยความกังวลใจออกมาให้เห็น ในขณะกล่าวออกไปว่า
"สักวันหนึ่งจะต้องมีผู้หญิงสักคนที่มีความรู้สึกเดียวกับคุณค่ะ
และผู้หญิงคนนั้นก็ต้องเหมาะสมกับคุณมาก" พูดออกไปแล้ว ใจตัวเองก็เจ็บแปลบ เมื่อคิดว่าจะมีผู้หญิงคนอื่นมาอยู่เคียงข้างเขา
"หึ เหมาะสมหรือ
ตำแหน่งอย่างฉันต้องมองความเหมาะสมก่อนสินะ เธอคิดอย่างนั้นใช่ไหม"
เสียงทุ้มห้าวกล่าวประชด พร้อมกับสายตาคมจ้องจด
"อ้าว
มันเป็นประเพณีของคุณไม่ใช่หรือคะ แล้วอีกอย่าง คุณก็ไม่ใช่บุคคลธรรมดาซักหน่อย"
เธอพูดจบก็รีบหลบตา ไม่อยากให้เขาเห็นความจริงในนั้น
"พูดแล้ว
ก็อย่าหลบตาฉันสิสาวน้อย" ฮาจารีเอ่ยบังคับกลาย ๆ "มองตาฉัน
เวลาที่เธอพยายามพูดปฏิเสธความจริงใจของฉันออกมา"
วาสิตาข่มกลั้นความรู้สึกนั้นให้ลึกไว้ และมองสบตาเขาด้วยความว่างเปล่า ก่อนเอ่ย
"ตลอดเวลาที่ฉันอยู่กับคุณ ฉันมีความสุขค่ะฮาจารี
แต่สำหรับฉันแล้วมันเป็นช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น มันเหมือนฉันได้หลุดเข้ามาอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ฉันเคยปรารถนาจะได้อยู่กับชายในฝันในห้วงเวลาเช่นนี้
และเมื่อเวลาเหล่านั้นหมดลง ฉันต้องกลับสู่โลกความเป็นจริงค่ะ"
เอ่ยจบ หญิงสาวก็คิดว่าเธอจะต้องสู้กับความเจ็บปวดที่กำลังเกาะกุมหัวใจให้ได้
เพราะไม่ว่าตัวเธอจะรู้สึกอย่างไรกับเขา มันก็จะไม่มีวันเป็นจริงได้แน่นอน
"ทุกอย่างตรงหน้าเธอ ตอนนี้อยู่ในโลกความเป็นจริงไม่ใช่โลกความฝัน
ถ้ามันเป็นแค่โลกความฝัน ฉันคงไม่ต้องห่วงหาอาทรเธอตลอดเวลา ยิ่งตอนเห็นเธอนิ่งเงียบเหมือนดวงจิตหลุดลอยออกจากร่างที่กิซา ยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบสลาย"
คำพูดของชายหนุ่ม สะกิดใจเธอทันที จนเผลอพูดโพล่งออกมา
"จริงสิ! ฉันมักทำให้คุณเป็นห่วงเรื่องนั้นบ่อย
ๆแต่ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงมีอาการแบบนั้น"
ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่มักปรากฏทับซ้อนขึ้นมาตามสถานที่ไปเยือน
ทำให้วาสิตานึกสนใจใคร่รู้คำตอบ จนมองผ่านความรู้สึกที่ฮาจารีกำลังสารภาพกับตน
ฮาจารีลอบถอนใจ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อ ๆ เขาสู้อุตส่าห์ปรึกษาชาระมาเป็นอย่างดี
เพื่อสร้างบรรยากาศในค่ำคืนนี้ หวังสารภาพความในใจของตนแท้ ๆ
แต่เอาเถอะยังพอมีเวลา ขืนเร่งรัดเกินไปอาจจะทำให้หญิงสาวอึดอัดใจไปเปล่า
ๆ อีกอย่างเมื่อพูดถึงอาการประหลาดที่เกิดขึ้น เขาก็นึกเป็นห่วงหญิงสาวขึ้นมาเหมือนกัน
"เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการถูกทำร้ายหรือเปล่า?" เขานึกเดาว่าสิ่งที่วาสิตาเผชิญ อาจจะเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ได้พบเจอเมื่อครั้งเดินทางมาถึงอียิปต์วันแรก
"ไม่ใช่ค่ะ
แต่เป็นความรู้สึกโหยหา คิดถึง และ...ผูกพัน"วาสิตาเล่าให้ฟังถึงภาพชายนักรบที่สวมผ้าคลุมหน้าสีน้ำเงิน
เขาขี่ม้าตรงมาหาเธอตอนแรกเธอคิดว่าเขาจะเข้ามาทำร้าย แต่กลายเป็นว่าเขาเข้ามาช่วยฉุดเธอขึ้นจากหลุมทราย
"คงเป็นตำนานรักที่เกิดขึ้นกับเธอแล้วล่ะ"ลึก
ๆฮาจารีอยากให้ชายในตำนานนั้นเป็นเขาเสียจริง แต่ก็ถูกหญิงสาวสวยตรงหน้าค้อนขวับเข้าให้
"ฮาจารีคะ
ถึงฉันจะสนใจตำนานโบราณ
แต่ฉันก็ไม่เก็บมาคิดเป็นตุเป็นตะ หวังสร้างตำนานรักให้กับตัวเองหรอกนะคะ"
"โอ๊ะ! วาสิตา เปล่าเลย
ฉันคิดว่าเป็นตัวฉันเองต่างหาก ฉันคิดอยากเป็นชายในตำนานของเธอ" ฮาจารีได้โอกาสรีบพูดสานต่อความในใจออกไป
แต่ก็ถูกหญิงสาวมองค้อน
"นี่คุณ
ตกลงคุณจะฟังฉันเล่าต่อหรือเปล่าคะ?"
"ฟังสิ..ฉันก็อยากจะรู้อยู่เหมือนกัน
ว่าเรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับเธอตอนไหนบ้าง" ร่างสูงบอกยิ้ม ๆ
แล้วปรับสีหน้าจริงจังขึ้น
วาสิตาใจชื้น และมองเห็นว่าเรื่องราวประหลาด อยู่ในความสนใจของเขาเช่นกัน
"เรื่องนี้มันเกิดกับฉัน.."
หญิงสาวทำท่านึกลำดับเหตุการณ์ ก่อนจะเริ่มเล่า "ครั้งแรกตอนฉันอยู่บนเครื่องบินชั่วขณะนั้นฉันได้ยินแต่เสียงใครก็ไม่รู้
เรียกหาน้องสาว เสียงเรียกอยู่ใกล้หูมาก จนฉันรู้สึกว่าน้องสาวที่เขาเรียกหาคือตัวฉันเอง"
"น้องสาว เป็นคำเรียกหญิงคนรักของชนอียิปต์โบราณ"
ฮาจารีอธิบาย จากนั้นก็ปล่อยให้หญิงสาวเล่าต่อ
"ครั้งที่สอง ตอนฉันยืนอยู่หน้าผนังอักษรภาพในพิพิธภัณฑ์อียิปต์ ฉันเห็นภาพผู้คนมากมายกำลังขนหินมาปิดทางเข้าสุสาน
สุสานอยู่บริเวณผืนทรายกว้างใหญ่
ฉันไม่เคยเห็นที่นั่นมาก่อน แต่ก็รู้สึกว่า..เป็นตัวฉันเองที่ยืนสั่งการคนพวกนั้น ให้ทำงานขนหินสร้างสุสาน"
วาสิตาหยุดคิดอึดใจ ก่อนจะเล่าต่ออีก
"ครั้งสุดท้ายนี้ที่กิซา ตอนที่คุณคิดว่าดวงจิตฉันหลุดลอยออกจากร่างนั่น
ก็อย่างที่ฉันบอกล่ะค่ะ ฉันเห็นภาพชายคนหนึ่งแต่งตัวคล้ายนักรบโบราณ เขาโพกผ้าปิดหน้า เวลานั้นฉันรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่มันกำลังจะดูดกลืนฉันลงไป
แต่เขาก็มาช่วยฉุดฉันขึ้น จากนั้นฉันก็เห็นดวงตาของชายคนนั้น ดวงตานั้นเหมือนคุณค่ะ
ฮาจารี"
วาสิตาหยุดเรื่องไว้
ไม่ได้เล่าต่อถึงตอนที่ชายผู้นั้นสวมสิ่งใดลงบนคอของเธอ จากแววตาของเขาเหมือนจะปรารถนาใช้วัตถุที่ห้อยมากับสร้อยปกป้องเธอจากผองภัย
ก่อนที่เขาจะควบม้าจากไป
"แล้วเธอรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์เหล่านี้หรือเปล่า"ฮาจารีถามด้วยกังวลว่า
ถ้าหญิงสาวกลัวกับเหตุการณ์ประหลาด ๆ
เหล่านี้มาก อาจเปลี่ยนใจไม่อยู่ต่อ แล้วเดินทางกลับเมืองไทย
"ไม่ค่ะ"
เธอส่ายหน้าปฏิเสธ "ฉันแค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น
เอ่อ..แล้วก็มีเรื่องหนึ่ง ฉันอยากจะถามคุณค่ะ"
"เรื่องอะไรล่ะ"
"ตำนานเหรียญสุริยะ
ฉันสนใจขึ้นมา เพราะเคยได้ยินตำนานเรื่องนี้ในนิตยสาร แต่พวกเขาก็ไม่ได้ลงรายละเอียดชัดเจน"
ฮาจารีอึ้งไปสักพักกับชื่อเหรียญ ซึ่งเป็นเครื่องรางประจำตัวของเขา เครื่องรางศักดิ์สิทธิ์ลูกหลานจะได้รับสืบทอดกันมายาวนานจากบรรพบุรุษ
พลางคิดในใจว่าไม่มีใครรู้ว่าเขามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ไว้กับตัว
แต่หญิงสาวกลับเอ่ยถาม
ฮาจารีไม่รู้ว่าวาสิตารู้เรื่องนี้มาจากนิตยสาร หรือเห็นจากในนิมิต
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยอมเอ่ยปากเล่าตำนานเครื่องรางประจำตระกูลชิ้นนี้ให้ฟัง
"เหรียญสุริยะ ดวงตาแห่งเทพ
ตาข้างขวาเป็นดวงอาทิตย์ส่วนตาซ้ายเป็นดวงจันทร์ เธอเคยได้ข้อมูลมาเช่นนี้ใช่ไหม ตอนนี้เหรียญสุริยะเป็นตำนานที่ผู้คนต่างพยายามค้นหา แต่ไม่มีใครค้นพบความเป็นจริงได้ เพราะอำนาจแห่งเหรียญกำหนดให้ผู้สืบทอดเรื่องราว คือคนที่องค์มหาเทพเลือกแล้วเท่านั้น"
"ถ้าเป็นอย่างนั้น ตำนานความเป็นมาของเหรียญสุริยะตอนนี้ ก็ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงสักคนสิคะ?"
เธอยังคงสนใจใคร่รู้ อีกนัยหนึ่งก็รู้สึกถึงความเกี่ยวพันระหว่างนิมิตกับเหรียญสุริยเทพ
ฮาจารีพยักหน้าให้คำตอบ
ก่อนจะเอ่ยต่อ
"และเมื่อผู้ใดเห็นนิมิตแห่งเหรียญ นั่นย่อมหมายถึง คนผู้นั้นคือคนที่องค์มหาเทพได้เลือกแล้ว"
"และเมื่อผู้ใดเห็นนิมิตแห่งเหรียญ นั่นย่อมหมายถึง คนผู้นั้นคือคนที่องค์มหาเทพได้เลือกแล้ว"
'หา..เห็นนิมิตแห่งเหรียญ!'
วาสิตาอุทานในใจ เธอนิ่งอึ้งไปพักใหญ่
ๆ ก่อนเอ่ยถามอีก "แต่ว่าฉันเคยเห็นรูปที่พวกเขาลงไว้เป็นตาขวาดวงอาทิตย์
แล้วอีกดวงตาหนึ่งหายไปไหนล่ะคะ?"
"เหรียญแห่งจันทรา
ไม่มีใครเคยเห็นด้านหนึ่งของเหรียญที่คู่กันนี้เลย หลังจากพระนางเนเฟอฮามุนจากไป เหรียญจะกลับไปอยู่กับพระนางไอซิส
และพระนางจะเป็นผู้เลือกผู้ที่เหมาะสม จะครอบครองเหรียญแห่งจันทราอีกครั้ง ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง
ผู้ครอบครองจะรู้ด้วยตัวของเขาเอง"
ฮาจารีบอกเล่าถึงสิ่งที่เขาได้รับรู้สืบต่อจากบรรพบุรุษ
แต่เขาไม่ใช่ผู้ที่มีหน้าที่จะบอกกล่าวตำนานแห่งเหรียญสุริยะ มีเพียงองค์มหาเทพเท่านั้น จะถ่ายทอดให้กับบุคคลที่พระองค์ทรงเลือก
เมื่อได้พูดคุยกันถึงตำนานลี้ลับสักพัก
ทั้งสองก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารกันเงียบ ๆ โดยที่ฮาจารีไม่ได้สาธยายถึงส่วนประกอบอาหารอียิปต์ในมื้อนี้
ซึ่งปกติเขาจะแสดงเจตนารมณ์ให้เธอเห็น ว่าเขารื่นรมย์เพียงใดที่เห็นเธอชอบอกชอบใจฟังคำบรรยายถึงอาหารประจำชาติของเขา
ซึ่งเธอก็ไม่มีกระจิตกระใจจะฟังอะไรแล้ว ด้วยตกอยู่ในห้วงคำนึงถึงเหรียญจันทรานั่นเอง
ซึ่งเธอก็ไม่มีกระจิตกระใจจะฟังอะไรแล้ว ด้วยตกอยู่ในห้วงคำนึงถึงเหรียญจันทรานั่นเอง
ดึกมากแล้ว
แต่วาสิตายังนอนกระสับกระส่ายต่อเรื่องราวที่วนเวียนอยู่ในหัว
เธอกำลังคิดถึงคำพูดของฮาจารี'เมื่อผู้ใดเห็นนิมิตแห่งเหรียญ
นั่นย่อมหมายความว่าคนผู้นั้น องค์มหาเทพได้เลือกแล้ว'
ชายนักรบโบราณผู้นั้น ได้สวมสร้อยคอที่มีเหรียญสุริยะห้อยติดอยู่ลงบนคอของเธอ
และการที่เธอเห็นเหรียญในนิมิตเช่นนี้ จะถือว่าองค์มหาเทพเลือกเธอแล้วหรือเปล่าหนอ..แล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเธอได้เป็นผู้หนึ่งที่ครอบครองเหรียญศักดิ์สิทธิ์
ยิ่งไม่มีใครรู้ที่มาของเหรียญ
ฮาจารีก็ออกตัวว่าเขาไม่อาจบอกสิ่งใดกับเธอได้ เพราะทุกอย่างต้องเป็นไปตามคำบัญชาขององค์มหาเทพที่พวกเขานับถือกันมาแต่โบราณ
“ตกลงงานฉันจะเสร็จมั้ยเนี่ย”
หญิงสาวสบถออกมา เนื่องด้วยโปรเจ็กต์ยังไม่คืบหน้าถึงไหน เพราะมัววุ่นวายใจกับเรื่องราวแปลก
ๆ
นี่ถ้าติดต่อกุลสินีได้ เธอคงขอร้องให้เพื่อนช่วยเธออีกแรง
แต่เธอดันส่งข่าวบอกกุลสินีว่าเธอสบายดี และจะขาดการติดต่อไปช่วงเวลาหนึ่ง ก็เพราะไม่อยากให้เพื่อนสาวไม่สบายใจที่เห็นเธอเงียบหายไปแบบนี้
อีกอย่าง เธอได้ให้คำสัญญากับฮาจารีไว้แล้ว และเธอก็ยึดมั่นในคำสัญญา..
เวลาล่วงเลยมาจนถึงเที่ยงคืน..วาสิตาจึงหลับลงได้
และในห้วงความฝันเธอก็เห็นภาพนิมิตอีกครั้ง
'เนเฟอฮามุน'
เรือนร่างบอบบางที่กำลังหลับใหล ค่อย
ๆ ปรือเปลือกตาขึ้น เมื่อได้ยินเสียงกังวานใสจากผู้หญิงที่มีใบหน้างดงาม นางแต่งกายเหมือนสตรีสูงศักดิ์ในยุคอียิปต์โบราณ
บนศีรษะของนางสวมมงกุฎราชินีอียิปต์ด้วย
'พระนางไอซิส!' วาสิตาอุทาน เมื่อมองใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นได้ชัดเจน
เนื่องจากเห็นภาพเทวีอียิปต์องค์นี้ในนิตยสารอยู่บ่อย ๆ
'เนเฟอฮามุน
เหรียญจันทราจะนำพาเจ้า เจ้าเท่านั้น จะเป็นผู้เปิดประตูปลดปล่อยอิสรภาพ'
'ประตูปลดปล่อยอิสรภาพอะไรกัน..?
ใครจะเป็นผู้ปลดปล่อย..?'
"เดี๋ยว! อย่าเพิ่งไป
พระนางไอซิส บอกฉันหน่อยสิ พระนางพูดถึงอะไรกลับมาก่อน ได้โปรด กลับมาบอกฉันอีกสักนิด
ฉันไปเกี่ยวอะไรกับเหรียญศักดิ์สิทธิ์ ช่วยบอกฉันที ได้โปรด อย่าเพิ่งไป!"
เสียงเรียกร้องของเธอก้องอยู่แต่ในห้วงแห่งความฝัน
และไม่ได้ทำให้ร่างที่จางหายไปกับความทึมเทาแห่งรัตติกาล หวนกลับมาแต่อย่างใด
สนุกมากชอบค่ะ
ตอบลบได้กำลังใจ ขอบคุณมากๆค่ะ
ลบ