นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา
เช้าวันที่สองมาเรียเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เช่นเคยวาสิตาไม่รู้จะขอบคุณสาวใช้อย่างไร
ให้สมกับความมีน้ำใจได้ช่วยเหลือเธอทุกอย่าง หญิงสาวเพลินมองการทำงานของมาเรีย พลันนึกขึ้นได้ว่าเธอไม่เห็นเจ้าของบ้านตั้งแต่เมื่อวาน มาเรียเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดให้เธอเสร็จพอดี
จึงเอ่ยถาม
"นายท่านของมาเรียไม่อยู่เหรอ"
"นายท่านงานเยอะมากค่ะ
เมื่อคืนก็กลับมาเกือบเที่ยงคืน แต่เขาแวะมาหาคุณทุกวัน" สาวใช้ร่างเล็กเว้นจังหวะเล็กน้อยขณะหันมาสบตา
"แต่คุณหลับ จึงไม่รู้ว่านายท่านมา”
"อย่างงั้นเอง แล้ววันนี้ล่ะ”
ความหมายของเธอคือ เขาจะแวะมาอีกไหม
"นายท่านออกไปแต่เช้า"
มาเรียตอบ พลางยิ้มเขิน "แต่คุณไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะมาเรียรายงานอาการไข้ของคุณให้นายท่านรู้ทุกวัน"
'เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะจ้ะ'
วาสิตาคิดในใจเพราะยังไงเธอก็ต้องอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา อย่างน้อยก็ในฐานะคนแปลกหน้ามาพักอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านของเขานี่นา
"ว่าแต่วันนี้
ฉันจะลงจากเตียงได้หรือยังมาเรีย” เธอโอดครวญ ก็เมื่อวานถูกบังคับให้กินแล้วก็นอน
กินแล้วก็นอน อยู่อย่างนั้นทั้งวัน ถ้าขืนวันนี้ทำแบบเดิมมีหวังเธอใจขาดตาย
"นายท่านบอกว่า
วันนี้ถ้าคุณอยากลุกเดินบ้างก็ทำได้แต่เดินภายในห้องนี้เท่านั้น
ห้ามลงไปเดินข้างล่างค่ะ"มาเรียถ่ายทอดคำสั่งของเจ้านาย
ที่ไม่เคยคลาดการติดตามอาการของเธอ
"ก็ยังดีเนอะ" เธอแอบขัดใจเล็กน้อย
เมื่ออยู่ดี ๆ ต้องกลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของชายหนุ่ม
ซึ่งตั้งท่าจะเป็นเจ้าชีวิตเธอตั้งแต่วินาทีแรกเลยเชียว
เสร็จจากอาหารมื้อเช้าวาสิตาเดินลงจากเตียง
หญิงสาวก้าวเท้าไปตามพื้นปูลาดด้วยพรมอ่อนนุ่มสีแดงสด
เธอปรารถนาจะออกไปชมวิวทิวทัศน์นอกระเบียง ได้แต่มองผ่านม่านสีขาวที่กรองแสงส่อง
จะได้เห็นภายนอกก็ต่อเมื่อมาเรียเปิดหน้าต่าง ต้อนรับสายลมพัดผ่านเข้ามาแล้วหอบเอาชายผ้าสะบัดพลิ้วขึ้นสูง
ถัดจากหน้าต่างคือประตูกระจกใสแบบบานเลื่อน เธอเลื่อนประตูกระจก
แล้วก้าวออกไปหยุดยืนตรงบริเวณผนังกั้นเป็นระเบียง ผนังปูนสลักรูปต่างๆสวยงามมาก
ทว่าไม่มีสิ่งใดจะกระตุ้นหัวใจเธอให้เต้นแรงได้เท่าทัศนียภาพที่เห็นตรงหน้าได้อีกแล้ว
"โอ้โห แม่น้ำไนล์!"
ดวงตากลมเบิกกว้างกับสายน้ำแห่งชีวิต วาสิตาแทบไม่อยากเชื่อว่าโชคชะตา
นำพาให้เธอได้มายืนเหนือแม่น้ำในความใฝ่ฝัน
"มาเรีย คฤหาสน์หลังนี้อยู่ตรงส่วนไหนของอียิปต์กันแน่
ทำไมถึงทำให้มองเห็นแม่น้ำไนล์ได้ใกล้และยาวไกลอย่างนี้" วาสิตาเอ่ยถามสาวใช้ด้วยความตื่นเต้น
ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างนอบน้อม
“คฤหาสน์ท่านฮาจารีตั้งอยู่ริมแม่น้ำไนล์
ใจกลางกรุงไคโรค่ะ"
วาสิตาสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงแห่งความภาคภูมิใจในถิ่นเกิดของมาเรีย
"มองจากตรงนี้
คฤหาสน์น่าจะกินพื้นที่ริมน้ำมากเลยนะ” วาสิตายังตั้งข้อสังเกต
"คฤหาสน์มีสามชั้นค่ะชั้นล่างเป็นโรงยิมฝึกการต่อสู้ของเหล่าอารักขา
ชั้นสองเป็นชั้นอาหารและสถานที่จัดงานเลี้ยง ส่วนชั้นบนสุดนี้เป็นห้องพัก
ตึกจะแบ่งเป็นสองฝั่ง แยกฝั่งหญิงและชายค่ะนายท่านอยู่ฝั่งขวา
ส่วนผู้หญิงของนายจะอยู่ฝั่งซ้าย สองตึกจะเชื่อมต่อกันในชั้นสองของห้องอาหารค่ะ"
"ผู้หญิงของเจ้านายมาเรีย แบบไหนเหรอ" วาสิตาตะขิดตะขวงใจกับคำถาม
เกิดจากความกังวลลึก ๆ ว่าสาวใช้อาหรับผู้นี้จะไม่เหมารวมเธอเป็นผู้หญิงของผู้เป็นนาย
"เป็นธรรมเนียมปกติของบุรุษผู้ร่ำรวยเงินทองและอำนาจจะมีนางในฮาเร็มค่ะ"
มาเรียให้คำตอบ ด้วยเรื่องดังกล่าวธรรมดาสามัญสำหรับพวกตนมาก
วาสิตาจ้องจดแววตาซ่อนยิ้มของมาเรีย เธอเดาได้ทันทีว่าสาวใช้ร่างเล็กกำลังคิดอะไร
แต่เธอจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายคิดต่อเด็ดขาด ต้องรีบออกตัวปฏิเสธ
“มาเรีย
ฉันไม่ใช่ผู้หญิงของเจ้านายมาเรีย ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลย"
มาเรียส่งยิ้มหวานพร้อมตอบรับด้วยแววตาขบขัน “ค่ะ
มาเรียทราบ นายท่านบอกมาเรียว่าคุณมาพักรักษาตัว” หากสาวใช้นัยน์ตาพราวยังไม่หยุดแค่นั้น
ยังมีต่อ “แต่เท่าที่มาเรียอยู่รับใช้นายท่านมานายท่านไม่เคยสนใจใครเป็นพิเศษเหมือนอย่างที่มาเรียเห็นนายท่านแสดงออกเวลามองคุณ"
ฟังมาเรียพูดจบ วาสิตาถึงกลับเข่าอ่อน เอาล่ะสิ ถ้าเกิดนายอาหรับนั่นสนใจตัวเธอแล้วขัดขวางการเดินทางเธอจะทำยังไง
ไม่ได้การเธอจะต้องหาทางให้เขาพาเธอไปสถานฑูตไทยเพื่อดำเนินเรื่องเอกสารให้เร็วที่สุด
ผ่านไปสักพัก มาเรียเอ่ยเตือน
"มาเรียว่าคุณกลับเข้าไปข้างในดีกว่า
อากาศยามเช้ายังชื้นอยู่มาก คุณอาจมีไข้ขึ้นมาอีก"
"ฉันก็แข็งแรงขึ้นมากแล้ว"
วาสิตาแย้ง ทำท่าอิดออดยังไม่อยากคลาดสายตาจากสายน้ำ
แต่พอได้เห็นแววกังวลในแววตามาเรีย เธอก็ใจอ่อนยอมจำนนแต่โดยดี "เข้าก็ได้ เห็นแก่ความหวังดีของมาเรีย
ฉันจะเชื่อฟัง"
"ขอบคุณค่ะ คุณน่ารัก
ฉันชอบคุณไม่ต่างจากนายท่านที่ชอบคุณเลย"
คนกำลังยิ้มหวานได้ยินคำพูดของมาเรีย
รอยยิ้มก็หยุดชะงักค้างเสียอย่างนั้น
วาสิตาตื่นขึ้นมาอีกทีตอนสาย มาเรียไม่อยู่ เธอจึงถือโอกาสลุกเดินออกไปนอกระเบียง
หยุดยืนตรงที่เก่าอยากเห็นแม่น้ำไนล์อีก อยากยืนมองแม่น้ำสายนี้นาน ๆ
ให้สมกับความรู้สึกถวิลหามานาน
"เธอไม่ควรลุกออกมายืนตากลมแบบนี้”
ถ้อยคำติติงดังขึ้นเบื้องหลัง ร่างบอบบางกำลังเพลิดเพลินกับทิวทัศน์
ถึงกลับสะดุ้งหันขวับไปมอง ก็เห็นชายหนุ่มเคราดก กำลังส่งสายตาดุ ๆ เธอรีบท้วงขึ้น
"ฮาจารีคะ
ฉันนอนมาหลายชั่วโมงแล้วนะคะ
อยากออกมายืนยืดเส้นยืดสายบ้าง"
"ฉันเข้าใจ
แต่อาการบอบช้ำภายในยังต้องรอให้หมอตรวจเช็กดูอีกที ระหว่างนี้เธอจึงไม่ควรออกมายืนตากลมหรือเคลื่อนไหวไปไหนต่อไหนมากเกินไป
กลับเข้าไปพักผ่อนต่อเถอะ"
ท่าทางขึงขังของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่
เหมือนจะข่มให้เธอตัวลีบเล็กลงไปอีก จึงจำต้องก้มหน้าก้มตาเดินกลับเข้าไปนอนบนเตียงตามคำสั่ง
ซึ่งการขัดใจครานี้เธอก็ไม่วายบ่นกระปอดกระแปดให้อีกฝ่ายได้ยิน
"หายดีแล้ว
ฉันคงไม่พ้นจะเหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน"
"เมื่อเธอหายดี
ขาของเธอจะเดินได้ไกลกว่าที่คิดต่างหาก" ฮาจารียอกย้อน มุมปากจุดรอยยิ้ม
ในขณะจ้องมองหญิงสาวหัวใจของเขาหลากหลายความรู้สึก
"แล้วเมื่อไหร่ล่ะคะ
ฉันอยากจะไปสถานฑูตไทยเร็ว ๆ" วาสิตาเอ่ยเร่งเร้า
เนื่องจากรู้สึกไม่สบายใจเมื่อติดต่อกลับไปหากุลสินีแล้ว บอกเพื่อนสาวว่าเข้าพักโรงแรมเรียบร้อย
และบอกจะหายหน้าหายตาไปสักพักเพื่อหาข้อมูลทำโปรโจ็กต์ นั่นเพราะไม่อยากให้เพื่อนร้อนใจจึงต้องพูดโกหก
"เรื่องนั้นเธอไม่ต้องห่วง
ฉันรับรองว่าจะช่วยเหลือเธอเต็มที่แต่ตอนนี้ขอให้เธอเชื่อฟังฉันก่อน
รักษาตัวให้แข็งแรงเหมือนเดิม ต่อจากนั้นค่อยว่ากัน" ให้เหตุผลเสร็จ ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่องไปเสียดื้อ
ๆ "เมื่อกี้ฉันขอโทษที่พูดเตือนเธอกะทันหัน ทำให้เธอตกใจ"
"ไม่เป็นไรค่ะ เหมือนฉันเริ่มจะชินกับมาเรียแล้ว"หญิงสาวพูด
พลางนึกถึงมาเรียที่ปฏิบัติตามเจ้านาย ชนิดถอดแบบกันมาไม่ผิดเพี้ยน
"งั้นเหรอ.." ฮาจารีหัวเราะเบา ๆ
ก่อนซักถามถึงอาการป่วย "แล้วตอนนี้เธอรู้สึกยังไงบ้าง
เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า?"
"แข็งแรงขึ้นมากค่ะ
ตอนนี้จะให้วิ่งรอบคฤหาสน์ก็ยังไหว" วาสิตาตอบประชด
ฮาจารีหัวเราะในลำคอ เขาไม่ถือสาเพราะสังเกตเห็นแต่แรกว่าภายใต้รูปลักษณ์อ่อนหวานของวาสิตา
คือหญิงสาวที่มีหัวใจเข้มแข็งกล้าหาญ
"ตื่นแล้วหรือคะท่านหญิง"
มาเรียใช้สรรพนามท่านหญิงแทนตัวผู้หญิงของเจ้านายทุกคน สาวใช้ร่างเล็กเดินมาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังร่างสูงใหญ่ของเจ้านายหนุ่ม
พร้อมเอ่ยถาม “รู้สึกดีขึ้นมั้ยคะ”
"ดีขึ้นมากจ้ะ" เธอเอ่ยบอกอีกฝ่าย
พร้อมมอบรอยยิ้มสดใส สองวันนี้สุขภาพของเธอแข็งแรงขึ้นมาก แทบจะกลับมาเป็นปกติดีก็ด้วยการดูแลของมาเรีย
หากจะพูดให้ถูกก็ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งเจ้านายอย่างเคร่งครัดของเจ้าหล่อนนั่นเอง
"มาเรียจะเข้ามาถามว่าคุณต้องการทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
นายท่านบอกว่ามื้อนี้คุณเลือกทานได้ค่ะ" มาเรียโค้งศีรษะเคารพคำสั่งจากผู้เป็นเจ้านายขณะบอกกล่าว
ซึ่งตอนนี้เขายืนฟังอยู่เงียบ ๆ
"อย่ายุ่งยากเลยมาเรีย
เตรียมตามสะดวกเถอะแค่นี้ฉันก็รู้สึกเกรงใจมาเรียมากแล้ว"วาสิตากล่าวอย่างนึกขอบคุณในความมีน้ำใจของสาวใช้หน้าตาแจ่มใส
"ถ้างั้นมาเรียจะเตรียมข้าวอบตับแกะให้คุณมื้อเที่ยงนะคะ"
สาวใช้ร่างเล็กกล่าว ก่อนถอยออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนฟังถึงกลับทำหน้าเหรอหรา
“ดีนะเป็นตับแกะ
ไม่ใช่ตับอูฐ”วาสิตารำพันออกมาเบา ๆ
พลางฝืนกลืนน้ำลายลงคอถ้าเนื้อแกะเธอเคยสั่งมากินบ้าง แต่เนื้ออูฐเธอทำใจกินมันไม่ลงเพราะรู้สึกสงสารที่ใช้งานบนหลังมันแล้วยังต้องแล่เนื้อมันมากินอีก
"มาเรียไม่รู้จักอาหารประเทศอื่น
รู้จักแต่อาหารพื้นเมืองอียิปต์" ฮาจารีอธิบาย พรางตีสีหน้าเฉยกลบเกลื่อนความขบขันกับถ้อยคำรำพันของหญิงสาว
วาสิตามองสบดวงตาสีเข้มวับวาวของเขา ให้รู้สึกขัดเขินจึงรีบเบนคำถามไปเรื่องอื่น
"แล้ววันนี้คุณไม่ทำงานหรือคะ"
"ทำสิ
แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาพักก็เลยแวะมาดูอาการของเธอ” หรืออีกนัยคือ
เขารีบกลับมาหาหญิงสาวเพราะมีบางอย่างจะให้หลังจากสั่งลูกน้องไปหามาได้ “จริง ๆ
แล้วฉันก็มาหาเธอบ่อย แต่เห็นหลับก็ไม่อยากรบกวน”
วาสิตาสังเกตเหมือนชายหนุ่มมีบางอย่างในใจ
จึงคาดเดาไปว่าเขามาหานี้อาจอยากได้ประวัติของเธอเพิ่มเติม “ฮาจารี คุณมีอะไรจะถามฉันอีกหรือเปล่าคะ?"
“มี” เขาตอบทันควัน
“แต่ไม่ใช่มีคำถามหรอกนะ ฉันมีสิ่งนี้มาให้เธอต่างหาก”เขาเอี้ยวตัวไปหยิบหนังสือบนโต๊ะข้างหัวเตียง
นำมาส่งให้ "หนังสือที่ทางพิพิธภัณฑ์อียิปต์จัดทำขึ้น เธอคงชอบ"
วาสิตารับหนังสือเล่มนั้นมาถือในมือ
เปิดปากยิ้มกว้างเมื่อเห็นชื่อหน้าปก หญิงสาวดันตัวขึ้นนั่งพิงพนักเตียง
แล้วเปิดหนังสือทีละหน้าเธอต้องชอบอยู่แล้ว
ก็หนังสือนี้ใช้เป็นแนวทางให้เธอได้รู้ข้อมูลอียิปต์มากขึ้น
"ขอบคุณค่ะฮาจารี โอ้โห
ภาพถ่ายชัดมากเลย ข้อมูลก็แน่นมากด้วย ขอบคุณนะคะ"
"เธอบอกว่ากำลังทำโปรเจ็กต์
ฉันจึงคิดว่าหนังสือเล่มนี้อาจมีประโยชน์กับเธอ"
"คุณใจดีจังเลย
ขอบคุณนะคะฮาจารี"
หญิงสาวเอ่ยขอบคุณเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกหนังสือแบบนี้มีกลาดเกลื่อนเสียที่ไหน หาซื้อได้มักได้เล่มที่มีข้อมูลเพียงผิวเผิน
เพราะทางอียิปต์ไม่ค่อยเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกมากนักอาจเพราะอยากให้ผู้ต้องการค้นคว้าข้อมูล
ได้เดินทางมาค้นหาด้วยตนเองมากกว่า
ฮาจารีสั่งให้คนของเขาเข้าไปคุยกับทางสำนักงานพิพิธภัณฑ์
เพื่อขอยืมหนังสือเล่มนี้ออกมา โดยมีกำหนดส่งคืนเมื่อการงานของหญิงสาวเสร็จสิ้น จากนั้นทางสำนักงานพิพิธภัณฑ์ก็จะได้รับเงินอุดหนุนก้อนใหญ่
ชายหนุ่มลงทุนถึงขนาดนี้เพราะกลัวว่าร่างกายของหญิงสาวหายเป็นปกติดีเมื่อไหร่จะต้องรบเร้าให้เขาพาไปทำเรื่องวีซ่าขอกลับอังกฤษ
ดังนั้นเขาจึงต้องสรรหาบางสิ่งบางอย่างเพื่อดึงรั้งอีกฝ่ายไว้ ให้ได้อยู่ต่อนาน ๆ ซึ่งคงไม่มีสิ่งใดดีไปกว่า
การเสนอตัวจะช่วยเหลือเรื่องการหาข้อมูลให้กับหญิงสาวแบบนี้
ตลอดช่วงบ่ายจรดค่ำ
วาสิตาใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือภาพสองภาษาที่ฮาจารีจัดหามาให้ กระทั่งเข็มนาฬิกาชี้บอกเวลาทุ่มครึ่งมาเรียก็เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารและยาเช่นเคย
วาสิตาแสร้งติดพันหนังสือแต่สาวใช้ร่างเล็กรู้ทัน เอ่ยขู่ว่าถ้าเธอดื้ออาหารและยานางจะไปรายงานต่อฮาจารี
“คุณควรพักกินอาหารกินยาและพักผ่อนได้แล้วนะคะ”
"แหมมาเรียยังต้องกินอีกเหรอ
ก็ฉันหายดีแล้วนี่นา นอนพักอีกคืนพรุ่งนี้ก็ออกวิ่งได้แล้ว"
วาสิตาบ่ายเบี่ยงเบื่อจะกินยาขม ๆ
อีกอย่างยังสนุกกับเนื้อหาในหนังสือยังไม่อยากจะวางมันลง
"ไม่ได้ค่ะ"
นอกจากจะไม่ฟังเหตุผลสาวใช้ร่างเล็กยังโค้งคำนับก่อนจะเดินมาหยิบหนังสือออกจากมือคนนอนอ่าน นำไปวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงตรงเก่า
"ใจร้าย" เธอแกล้งบ่นให้
ซึ่งมาเรียก็ยิ้มรับ
"มาเรียไม่ใจร้ายเท่านายท่านนะคะ
ถ้าเขารู้ว่าคุณดื้อไม่ยอมกินยา"
มาเรียเอ่ยขู่ด้วยสีหน้านิ่ง ๆ
ขณะมองเธอจัดการอาหารตรงหน้า พร้อมกินยาตามคำสั่ง
เสร็จแล้วเธอก็เอ่ยถามหยั่งเชิงสาวใช้
"มาเรียพรุ่งนี้นายของมาเรียอนุญาตให้ฉันเดินออกไปจากห้องนี้ได้หรือยัง?"
"ฉันไม่แน่ใจค่ะ
ต้องรอให้นายท่านบอกมาอีกที" มาเรียตอบพลางใช้มือตบหมอนให้พองฟู
จากนั้นก็ค่อย ๆประคองเธอลงนอน ก่อนเอ่ยตบท้ายว่า "แต่ที่แน่
ๆคุณต้องนอนพักผ่อนต่ออีกหน่อยนะคะ"
วาสิตาตั้งใจจะหลับตาตามคำบอกของมาเรีย แต่ติดที่ใจมันอยากจะอ่านหนังสือต่อ
สายตาเธอตวัดไปมองหนังสือบนโต๊ะ จังหวะนั้นร่างบอบบางก็ยันตัวลุกพรวดขึ้นมากล่าว
"ยายังไม่ออกฤทธิ์ ถ้ายังไงขอฉันอ่านต่ออีกหน่อยละกัน"
มือที่กำลังเอื้อมหยิบหนังสือมาอ่านเป็นต้องหยุดชะงัก เมื่อได้ยินเสียงดุ
"ไม่ได้
เธออ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ตอนนี้ร่างกายของเธอควรพักผ่อน"
วาสิตามองตาค้าง เมื่อชายหนุ่มดึงหนังสือออกจากมือหน้าตาเฉย
เธอโอดคราญอย่างขัดใจ
"แต่ฉันยังไม่ง่วงนี่คะ"
"อีกซักพักเดี๋ยวก็ง่วง
แล้วพรุ่งนี้ค่อยลุกมาอ่านต่อ หนังสือเล่มนี้จะอยู่กับเธอตราบเท่าที่งานของเธอยังไม่เสร็จ"
สิ้นคำพูดของเขา วาสิตาหูผึ่งเปิดปากยิ้มกว้าง
ลืมไปเลยเรื่องถูกขัดใจ
"คุณจะให้ฉันใช้หนังสือเล่มนี้ประกอบโปรเจ็กต์ของฉันหรือคะ?"
"ไม่เพียงหนังสือที่เธอจะได้ใช้ประกอบรายงาน
แต่จะมีภาพถ่ายจากสถานที่จริง ซึ่งถ่ายด้วยมือของเธอเอง บวกกับข้อมูลต่าง ๆ ที่เธอจะได้รับ
ต่อเมื่อร่างกายของเธอพร้อมจะตะลุยไปหามัน"
ฮาจารีหมายมั่นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เขาสรรหานำมาเสนอ
จะสามารถยื้อใจหญิงสาวไว้ได้
"ดูเหมือนคุณกำลังพยายามให้ฉันไม่คิดกลับบ้านนะคะ?"
วาสิตาหรี่ตาพินิจแววตาซ่อนนัยของเขาอย่างรู้ทัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ลอยหน้าลอยตาทำไม่รู้ไม่ชี้ตอบหน้าตาเฉย
"ก็ไม่เชิง"
"มีเหตุผลอะไรคะ" วาสิตาย้อนถาม
นึกแปลกใจที่เห็นเขาไว้ใจให้คนแปลกหน้าเข้ามาอยู่ในบ้านตัวเองนาน ๆ
"เห็นเธอบอกว่าอยากมาอียิปต์สักครั้งก่อนกลับบ้านไม่ใช่หรือ
และฉันก็เห็นว่าการเดินทางมาอียิปต์ของเธอได้พบแต่เรื่องร้าย ๆ ฉันก็เลยไม่อยากเห็นเธอมีความทรงจำที่ไม่ดีกลับไป
อีกอย่างฉันสามารถทำให้เธอได้เรียนรู้อียิปต์โบราณ
อย่างที่เธอไม่จำเป็นต้องเสี่ยงภัยอันตรายตัวคนเดียว แล้วนี่ฉันให้เหตุผลพอที่เธอจะเชื่อใจฉันได้หรือยัง
วาสิตา"
นัยน์ตาดำสวยจ้องมองนัยน์ตาเข้มคมอย่างงงงัน ก่อนพยักหน้าตอบ
"ฉันเชื่อคุณค่ะ"
จากนั้นริมฝีปากอิ่มคลี่ยิ้มขำ ๆ กับคำอธิบายยาวเหยียดที่ผสมท่าทางประหม่า
‘จะว่าไปอีตาอาหรับนี่ก็น่ารักดีแม้หนวดเคราจะเยอะไปหน่อยก็ตาม’
"ยิ้มอะไร"
เสียงทุ้มดังคาดคั้น พร้อมโน้มใบหน้าหล่อเหลาเคราดกมาใกล้
ๆ หญิงสาวรีบยกมือเรียวยันหัวไหล่กว้างแทบไม่ทัน
"เปล่านี่คะ" เธอส่ายหน้าปฏิเสธ ส่วนหัวใจก็เต้นโครมคราม ยิ่งกวาดตาหามาเรียที่รู้งานอันตรธานหายไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้มือไม้ก็ยิ่งสั่นไปด้วย
"เปล่าอะไรก็เห็นอยู่"
ฮาจารีพูดเชิงเอาเรื่อง ก็สีหน้าซ่อนยิ้มนั่น มันทำให้เขาเหมือนเป็นหนุ่มน้อย
ที่ประหม่าขัดเขินต่อหน้าหญิงสาว
แค่ผู้ชายซึ่งเป็นถึงผู้นำเผ่า
มาหลงรักหญิงสาวอายุน้อยกว่าหลายปีนี่ก็น่าอายจะแย่อยู่แล้ว เจ้าตัวยังมาทำให้เขารู้สึกตกประหม่าด้วยท่าทางเหมือนรู้ทันนั่นอีก
"เอาล่ะๆ ฉันขอโทษค่ะ
ถ้าเผลอทำอะไรให้คุณไม่พอใจ"
วาสิตาพยายามคิดเค้นหาวิธีหยุดการรุกรานของชายหนุ่มไว้ไม่ให้ขยับใกล้เข้ามาอีก
เพราะขืนใกล้กันมากกว่านี้เขาคงได้ยินเสียงหัวใจเต้นระทึกราวกลองศึกของเธอแน่
"อืมม์..สงสัยยาเริ่มออกฤทธิ์ ฉันรู้สึกง่วงแล้วค่ะฮาจารี"
"ก็นอนซะสิ” เอ่ยจบ ฮาจารีตัดใจถอยออกห่างร่างหอมติดจมูก
ยืดตัวตรง ลอบมองใบหน้าหญิงสาวแวบหนึ่ง
ให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะไม่แอบยิ้มขำเขาอีก “พรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้เธอไปเดินเล่นข้างนอกได้”
" ขอบคุณนะคะอุ๊ย!ง่วงจัง"
วาสิตารีบจบบทสนทนา แล้วดึงผ้าห่มคลุมถึงอก หลับตาสนิท
ฮาจารียิ้มขำ แต่ก่อนจะไปเขาขอแกล้งคืนอีกฝ่ายสักนิด
โดยโน้มใบหน้าลงมา จรดปลายจมูกใกล้นวลแก้ว เอ่ยกระซิบเบา ๆ ว่า
"ฉันรู้ว่าเธอยังไม่หลับง่าย
ๆแต่ถ้าหลับเมื่อไหร่ฉันก็ขอให้เธอหลับฝันดีนะ สาวน้อย"
ฮาจารีก้มมองแก้มแดงของอีกฝ่ายเนิ่นนาน ก่อนค่อย
ๆยืดตัวตรงและหันหลังเดินจากไปโดยไม่วายยิ้มขันกับลมหายใจของหญิงสาวที่ปล่อยผ่อนคลายออกมาซะเสียงดัง
เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรอฟังเสียงฝีเท้าของตน
ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกโล่งอกที่สามารถยืดระยะเวลาการอยู่ของหญิงสาวได้สำเร็จ
เช้าวันต่อมา
เปลือกตาของวาสิตาค่อย ๆ
เปิดขึ้นเมื่อแสงสีทองของวันใหม่ส่องผ่านม่านหน้าต่างสีขาวเข้ามากระทบผิวหน้า เธอยังไม่ทันจะลุกนั่งมาเรียเดินเข้ามาพอดี
"ตื่นแล้วหรือคะท่านหญิง นายท่านให้คุณร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยค่ะ"
"ดีจัง..ได้ออกไปกินข้าวนอกห้องนี้ซะที"
เธอบอก พลางลุกขึ้นจากเตียง "แล้วฉันจะอาบน้ำแต่งตัวใหม่ได้ที่ไหนล่ะ?"
"ฉันเตรียมไว้พร้อมแล้วค่ะ
เชิญคุณทางนี้" มาเรียกล่าวจบก็หมุนตัวเดินนำออกไป
โดยระหว่างเดินไปห้องอาบน้ำวาสิตามองสำรวจไปรอบบริเวณคฤหาสน์หลังนี้ใหญ่โตและกว้างขวางมาก
ห้องนอนและห้องน้ำแยกส่วนต่างหาก ระหว่างทางมีแจกันปักดอกไม้
กุหลาบสีแดงส่งกลิ่นหอม ผ้าม่านสีขาวสะอาดตากับหน้าต่างทุกบานปิดสนิท
เมื่อเข้ามายืนภายในห้องอาบน้ำ เธอถึงกลับเบิกตากว้าง
ก็ห้องน้ำน่าจะเรียกว่าห้องโถงซะมากกว่ากับความกว้างและความหรูหรา มันบ่งบอกถึงฐานะผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี
อ่างอาบน้ำกลางห้องนั้นเธอคิดว่าถ้าได้นั่งอาบน้ำคนเดียวคงจินตนาการได้ไม่ยาก ว่ากำลังอยู่ท่ามกลางอุทยานดอกไม้เพราะรายล้อมไปด้วยดอกกุหลาบสีขาวและสีชมพูอ่อนหวาน
"ห้องพักใหญ่โต
ยังจะห้องอาบน้ำหรูหราขนาดนี้ นายท่านของมาเรียอยู่คนเดียวหรือ”
"ค่ะ
นายท่านอยู่คนเดียว" มาเรียตอบ ขณะมือง่วนจัดเตรียมเครื่องอาบให้หญิงสาว
วาสิตาถอดชุดที่มาเรียหามาเปลี่ยนให้ทุกวัน
มาพันกายด้วยผ้าขนหนูสีขาว จากนั้นเธอก็นั่งรอให้มาเรียออกไปก่อน
แล้วเธอค่อยลงแช่น้ำ
"คฤหาสน์แบ่งเป็นสองฝั่ง
ฝั่งนี้จะเป็นส่วนของผู้หญิง..."
มาเรียบอกเล่ารายละเอียดภายในคฤหาสน์ให้ฟังอีก
"ถ้าฮาจารีแต่งงาน
ภรรยาของเขาก็คงจะอยู่ฝั่งนี้สินะ" วาสิตาหลุดปากพูดออกไป
แต่มาเรียก็บอกเล่ากลับมาแบบธรรมดาไม่ได้ติดใจ
"ไม่เสมอไปค่ะ
ถ้านายจัดให้นายหญิงอยู่กับนาย
ฝั่งนี้จะเป็นส่วนของผู้หญิงที่นายให้การเลี้ยงดู"
"ฮาเร็ม”ความหมายที่มาเรียพูด
น่าจะหมายถึงสิ่งนี้ บอกไม่ถูกว่าทำไมเรื่องราวของฮาจารีจึงอยู่ในความสนใจของเธอ
"จะเรียกอย่างนั้นก็ได้ค่ะ
แต่นายยังไม่เลี้ยงดูใครสักคน ส่วนใหญ่นายจะให้เกียรติพวกเธอได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ"
"นายของมาเรียยังเรียกใช้พวกเธออยู่"
"นาน ๆ ครั้งค่ะ
นายท่านมีงานมาก จะมาอยู่คฤหาสน์เฉพาะเรื่องธุรกิจ
เสร็จแล้วนายท่านก็กลับเข้าหมู่บ้าน"
"หมู่บ้าน?" วาสิตาอยากจะซักถามเรื่องราวของฮาจารีมากกว่านี้จากมาเรีย แต่สาวใช้ร่างเล็กก็โค้งศีรษะเป็นการเคารพและผายมือบ่งบอกให้เธอมานั่งบนเก้าอี้ข้างอ่างอาบน้ำกว้างขวางน่านอนแช่ตัวอยู่ในน้ำอุ่นนาน
ๆนั่น
"มาเรีย อย่าบอกนะว่าจะอยู่กับฉันในห้องน้ำนี้"
วาสิตาเลิกคิ้วถาม เมื่อไม่เห็นทีท่าสาวใช้จะออกไปเสียที
"ฉันจะดูแลคุณจนกระทั่งถึงห้องอาหาร
มันเป็นหน้าที่ของฉันค่ะท่านหญิง"
"ฉันอาบเองดีกว่า
มาเรียออกไปนั่งรอที่ห้องก่อนก็ได้ เสร็จแล้วฉันจะตามไป" วาสิตาทำหน้าเหวอ
เธอรึจะกล้าแก้ผ้าอาบน้ำต่อหน้าคนอื่น
"ไม่ได้ค่ะ
มันเป็นหน้าที่ของมาเรีย และถ้ามาเรียไม่อยู่ดูแลคุณ มาเรียจะถูกนายท่านลงโทษ"
“จริงหรือนี่” แย่จัง
เธอเองก็ไม่อยากเห็นสาวใช้ถูกลงโทษเพราะตน จึงถอนใจก่อนพูดปลง ๆ ไปว่า “ก็ได้”
เพราะถึงอย่างไรมาเรียก็หวังดีจะดูแล อีกอย่างเป็นหน้าที่ของสาวใช้อย่างมาเรียถ้าเธอยังขืนให้มาเรียละเลยหน้าที่ของตัวเองเธออาจทำให้มาเรียต้องลำบาก
"แต่ฉันไม่ค่อยชินเท่าไหร่เลย
ฉันต้องถอดผ้านี่หรือเปล่า?" วาสิตาถามเสียงอ่อย
"ถอดค่ะ"
สีหน้ามาเรียเรียบนิ่ง ไม่ได้แสดงอาการใด ๆ ต่อความกระดากอายของเธอเลย สาวใช้คนนี้คงเคยชินกับการปรนนิบัติผู้หญิงของฮาจารี
มาเรียเริ่มต้นปรนนิบัติด้วยการรวบผมของเธอไว้ในมือแล้วลูบน้ำมันมะกอกกลิ่นหอมจรุงใจ
เสร็จแล้วล้างด้วยน้ำอุ่น จากนั้นห่อผมเธอด้วยผ้าสีขาวจนแน่น
"น้ำอุ่นดีจัง" วาสิตาเอ่ยเบา
ๆ หวังคลายความประหม่าอาย ยามนี้เธอนั่งเปลือยกายต่อหน้ามาเรีย แม้จะนั่งหันหลังอยู่ในอ่างที่มีน้ำปริ่มระดับอกยังไม่วายรู้สึกเคอะเขินต่ออีกฝ่ายอยู่ดี
"น้ำอุ่นจะทำให้คุณผ่อนคลาย
ขยับมาอีกนิดเถอะค่ะท่านหญิงมาเรียจะถูหลังให้คุณ"
เธอเชื่อฟัง
ขยับร่างไปใกล้มือสาวใช้ได้ชโลมผิวกายของเธอด้วยสบู่เหลวกลิ่นกุหลาบจากนั้นลงน้ำมันหอม
อาจเพราะอียิปต์ขึ้นชื่อเรื่องการผลิตหัวน้ำหอม ทุกอย่างจึงมีกลิ่นน้ำหอมไปเสียทั้งหมด
เมื่อเสร็จจากการอาบน้ำ
มาเรียดูแลการแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จสรรพ ตลอดจนนำพาเธอมาสู่ห้องอาหารซึ่งอยู่ชั้นสอง
โดยก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าสู่ห้องรับประทานอาหาร หญิงสาวสังเกตเห็นทางตรงเชื่อมต่อไปอีกฟากคงเป็นทางไปที่พักในส่วนของฮาจารีและผู้อารักขาของเขา
เธออดที่จะส่ายสายตาสำรวจ ด้วยทึ่งการรังสรรค์ปั้นแต่งมุมที่พักอาศัยของคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ได้
โดยเฉพาะขอบหน้าต่างและขอบประตูทรงโค้งที่ไล่ระดับสีขาวให้ดูสงบร่มรื่นดีจริง
ฮาจารีนั่งรอเธออยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะอาหารซึ่งตั้งทอดยาวหันไปทางหน้าระเบียง
ที่ยามนี้บานกระจกถูกเปิดออกกว้างรับลมเย็นพัดพามาจากผิวน้ำ ภายนอกระเบียงทำเป็นสวนหย่อมมีดอกไม้สีสวยให้ความเพลินตากับผู้ที่นั่งรับประทานอาหาร
วาสิตาเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับเขาส่วนมาเรียนั้นได้ขอตัวกลับไปทำงานของตนต่อ
"ทำตัวตามสบายเถอะวาสิตา
ฉันคิดว่าเธอคงทำความคุ้นเคยกับที่นี่ได้ไม่ยาก" เสียงฮาจารีกล่าว
เขามองเธอไม่วางตา ดวงตาเข้มคมทำให้หัวใจเธอสั่นไหวอย่างประหลาด
แต่เธอคิดว่าอาจเป็นเพราะชุดที่สวมทำให้รู้สึกประหม่า ก็ชุดกระโปรงที่ยาวถึงเข่า แต่ทว่าเนื้อผ้าก็บางเบาเสียจนแนบเนื้อเวลาถูกลมพัด
มาเรียบอกว่าชุดพวกนี้เป็นชุดที่ฮาจารีสั่งให้มาเรียจัดหามาไว้ให้ระหว่างที่เธอนอนหลับใหลไม่ได้สติในวันแรก
"ขอบคุณในความมีน้ำใจของคุณค่ะ
ฮาจารี"
ในขณะนั้นอาหารถูกทยอยออกมาวางบนโต๊ะ โดยพนักงานชายสามคนแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวทรงกระบอก
คอปิดสีขาวทั้งชุดและสวมหมวกสีเดียวกัน พวกเขาดูเหมือนพนักงานโรงแรม
ความสงสัยทำให้เธอเอ่ยถาม
"คุณสั่งอาหารของโรงแรมหรือคะ?"
"เป็นอาหารของที่นี่แหละแต่เป็นเมนูเดียวกับโรงแรมของฉัน
พ่อครัวที่เห็น เป็นพ่อครัวประจำอยู่ที่นี่ เมื่อเวลาฉันไม่อยู่ พ่อครัวเหล่านี้จะกลับไปทำงานที่โรงแรม
อาหารที่นั่นจะปรุงแต่งด้วยกุ๊กฝีมือดีมีทั้งตะวันออกและยุโรป"
'อ๋อ..เขามีกิจการโรงแรมนี่เอง'
"เฉพาะมื้อเช้าหรือเนี่ย"
วาสิตาพึมพำเบา ๆพลางมองอาหารที่จัดวางลงเป็นชุด ๆ
บนโต๊ะด้วยความรู้สึกแปลกใจเพียงมื้อเช้าทำไมถึงมากมายอย่างนี้ นี่กระมังความต่างของคนชนชั้นอียิปต์ที่คนจนอาศัยขนมปังแผ่นเดียวบิกินกันทั้งบ้านส่วนคนรวยก็กินอย่างราชา
"เมนูอะไรคะ?"
"อุมมะอาลี เป็นพุดดิ้งขนมปัง
มีมะพร้าว ลูกเกด ถั่วและครีม" ฮาจารีหยุดให้ความสนใจดวงตากลมโต ก่อนอธิบายต่ออย่างละเอียด
"อาหารเช้าที่นี่จะเป็นพาย ทำจากแป้งข้างในเป็นไส้เนื้อแกะ
คนอียิปต์มักบริโภคเนื้อแกะและเราจะดื่มน้ำผลไม้หรือกาแฟกันเป็นลำดับสุดท้าย"
วาสิตาฟังเขาสาธยายถึงรายการอาหารจนเพลินแล้ว ยังลอบสำรวจรูปลักษณ์ของเขาอย่างเผลอตัว
กระทั่งคนถูกจ้องมีถ้อยคำท้วงมา
"การจ้องมองของเธอมีผลกับฉันนะ
วาสิตา"
เสียงทุ้มดัง จนคนฟังสะดุ้ง
หญิงสาวรีบตั้งสติและก่นว่าตัวเองไม่ควรเผลอจ้องมองเขาแบบนั้นเลย
"เออ ขอโทษค่ะฮาจารี ฉันเสียมารยาทจริง
ๆ สงสัยฟังคุณพูดถึงอาหารจนเพลินไปหน่อย"
ริมฝีปากหนาเผยยิ้มน้อย
ๆ เงียบไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น
"ฉันมีเรื่องหนึ่งจะบอกเธอ
เรื่องทำวีซ่าที่สถานฑูตเธอไม่ต้องห่วงฉันให้ชาระไปจัดการให้เธอเรียบร้อยแล้ว
รู้สึกว่าประวัติของเธอจะหาไม่ยาก อาจเป็นเพราะครอบครัวของเธอเป็นที่รู้จักกันดีในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์"
"ขอบคุณค่ะฮาจารี
คุณมีบุญคุณกับฉันมาก ฉันจะไม่ลืมความเมตตาที่ได้รับจากคุณในครั้งนี้เลยและถ้าฉันมีโอกาสตอบแทน.."
"อย่าพูดถึงเรื่องตอบแทนอะไรเลยเอาเป็นว่าถ้าเธอหายดีแล้วเราจะเดินทางไปสถานฑูตไทยด้วยกัน
อีกอย่างที่ฉันอยากจะ..ขอร้อง"
“ขอร้องอะไรคะ”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อ
"ขอให้เธอคิดว่า คฤหาสน์แห่งนี้เป็นบ้านของเธอ"
"ฉันไม่กล้าคิดอย่างนั้นหรอกค่ะฮาจารี
แค่คุณให้ฉันพักอาศัยรักษาตัวก็เกรงใจมากแล้ว" วาสิตากล่าวอย่างเกรงใจ และรู้สึกขอบคุณในความใจดีของเขา
"ที่ฉันขอแบบนั้น เพียงต้องการให้เธอได้อยู่ที่นี่อย่างสบายใจ
อาหารก็เหมือนกันแม้เธอจะยังไม่ชิน แต่ฉันก็ขอให้เธอพยายามกินมันเพื่อที่ร่างกายจะได้กลับมาแข็งแรงเร็ววัน"
เมื่อเขาพูดขอร้องพร้อมอธิบายเหตุผลมาอย่างนั้น เธอจึงไม่รู้จะพูดต่ออย่างไรดี
ได้แต่บอกความรู้สึกออกไปตรง ๆ
"คิดว่าวันนี้คงทานไม่ลงเท่าไหร่ค่ะ
เพราะฉันไม่รู้สึกหิวเลย"
"เหลวไหล!"
ฮาจารีเอ็ดหญิงสาวราวเป็นเด็กไม่ประสา
"อาหารเป็นสิ่งจำเป็นแล้วเธอก็เพิ่งจะฟื้นไข้ เธอควรรับอาหารให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการ"
"ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้วค่ะฮาจารี"
วาสิตาไม่อยากทำตัวเป็นคนอ่อนแอที่คอยให้คนอื่นมาเป็นกังวล
"อย่าเถียงฉันเลย
เชื่อเถอะอาหารจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น"
ฮาจารีพูดตัดบท จากนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ได้แต่เหลือบมองเธอเป็นระยะพร้อมตักอาหารใส่ปาก ผ่านไปไม่นานเขาก็เริ่มแนะนำเมนูอาหารเช้าอย่างรื่นรมย์อีก
วาสิตาฟังแล้วก็ได้แต่แอบยิ้มอยู่คนเดียว
"ไส้เนื้อแกะจะหั่นเป็นชิ้นเล็ก
ๆ ผสมกับเครื่องเทศอื่น..."
เสียงทุ้มนุ่มนวลน่าฟังสาธยายรสชาติอาหารอาหรับไม่ขาดปาก
เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จแล้ว
พนักงานชายคนหนึ่งเดินเข็นรถที่มีถ้วยกาแฟดำสองที่บนถาด เมื่อวางถ้วยกาแฟแล้วเขาก็ถอยรถออกไปอย่างเงียบ
ๆ ทำให้นึกฉงนว่าพนักงานชายเหล่านี้ไม่ได้รับอนุญาตให้แม้แต่มองสบตาแขกหรืออย่างไร
ช่างเคร่งครัดกันจริง
หญิงสาวสลัดความสงสัยนั้นออกไป
เมื่อได้ยินเสียงฮาจารีติงเรื่องปริมาณอาหารของเธออีก
"เธอกินน้อยเหลือเกินสาวน้อย"
สีหน้าพ่อเคราดกไม่ค่อยพอใจเมื่อเห็นว่าอาหารในจานของเธอไม่พร่องลงสักเท่าไร
"ฉันอาจจะยังไม่ชินกับอาหารอียิปต์อย่างคุณว่า
อีกหน่อยพอคุ้นเคยก็คงจะทานได้เยอะเองค่ะ"
"ฉันก็หวังให้เป็นอย่างนั้น
เพราะฉันชอบที่จะให้เธอมีเนื้อมีหนัง ไม่ใช่มีแต่หนังหุ้มกระดูก"
อึ๋ย..เขาจะเลี้ยงดูปูเสื่อเธอเพื่อสิ่งใดกัน
"ฉันชอบไว้หุ่นผอม ๆ
แบบนี้ล่ะค่ะ" วาสิตาภาวนาอย่าให้เขาสนใจผู้หญิงผอมโซแบบเธอเลย
“ถ้าฉันจะมีผู้หญิงไว้ในฮาเร็มสักคน
คงต้องขุนให้เนื้อหนังอวบอ้วนน่ากิน"
ฮาจารีพูดราวรู้ทันพร้อมกับหัวเราะเบา
ๆขณะจับจ้องใบหน้าเจื่อนสีของเธอ ซึ่งเธอก็เผลอร้องเสียงหลง
"ฮาจารี! คุณ!"
ฮาจารีปล่อยเสียงหัวเราะรื่นรมย์
แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที "ล้อเล่นน่าเอาล่ะ..เมื่อกี๊ฉันบอกกับเธอว่า
เมื่อหายดีแล้วจะพาไปสถานฑูตใช่มั้ยฉันลืมบอกอีกอย่าง นอกจากสถานฑูตแล้ว
ฉันอาจมีรายการพาเธอไปที่อื่น ๆที่น่าสนใจ"
คนฟังถึงกลับทำตาโต
ลืมเรื่องล้อเล่นเมื่อสักครู่สนิท
"ที่อื่นๆ
ที่น่าสนใจเหรอ..พิพิธภัณฑ์?" ถามแล้วก็ใจจดจ่อรอคำตอบ ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ
"ใช่ พิพิธภัณฑ์"
"พีระมิดกีซา?" เธอยังนึกเดาต่ออีก
ซึ่งคำตอบก็เป็นดังที่คาดไว้
"ใช่ พีระมิดกีซา"
ริมฝีปากอิ่มสวยยกยิ้มนิด ๆ พลางมองว่าฮาจารีกำลังเอาขนมหลอกล่อเด็กแต่เด็กอย่างเธอก็พร้อมจะถูกหลอกล่อ
ในเมื่อขนมชิ้นนั้นเป็นชิ้นที่เธอปรารถนา
"และไม่ใช่แค่พิพิธภัณฑ์อียิปต์กับพีระมิดกีซา
เพราะในไคโรยังมีที่ที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกเยอะ และฉันจะพาเธอไปสัมผัสมัน"
"จริงหรือคะฮาจารี
คุณใจดีจัง" วาสิตาแทบเก็บอาการตื่นเต้นไม่อยู่ ถ้าไม่คิดถึงความอับอายต่อหน้าเขาละก็
เธอลุกกระโดดโลดเต้นให้สมใจอยากแล้ว
"แต่มีข้อแม้นะ.."
"ข้อแม้..ข้อแม้อะไรหรือคะ?"
ซึ่งข้อแม้ของเขา ก็ทำให้เธอหยุดลิงโลดไปชั่วขณะ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะยื่นข้อเสนออะไร
ได้แต่หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่จะเก็บเธอไว้ในฮาเร็มเป็นคอลเลคชั่นส่วนตัว
“เธอจะต้องกินอาหารที่คนของฉันจัดหามาให้
และทำให้ร่างกายของเธอแข็งแรงให้เร็วที่สุด"
'เฮ้ย..โล่ง นึกว่าเรื่องนั้นซะอีก'
วาสิตาถอนหายใจโล่งอก
ก่อนพยักหน้าหงึกหงักขณะตอบรับ "ค่ะ ต่อไปฉันจะกินทุกอย่างที่ขวางหน้า
พอใจหรือยังคะนายท่าน"
"ดี
และฉันก็ขอให้เป็นแบบนั้นตลอดไป สาวน้อย"
เขาพูดจบ เธอก็ลอบกลอกตาด้วยความขบขันในความคิดของตนเอง
'นึกว่าจะให้เป็นนางในฮาเร็ม เอ..หรือว่าฉันคิดไกลไปเองล่ะเนี่ย..'
หลังจากอาหารมื้อเช้านี้
วาสิตาก็ได้รับประทานอาหารกับฮาจารีในมื้อถัดๆ ไปอีก
จนกระทั่งเธอมีความรู้สึกว่าได้รู้จักกับเขามากขึ้น และเริ่มที่จะไว้ใจพอที่จะพูดคุยกับเขาในเรื่องต่าง
ๆได้อย่างเป็นกันเองมากขึ้น
ที่สำคัญร่างกายของเธอได้รับการพักฟื้นและหายเป็นปกติออกจะแข็งแรงมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ยังไม่รวมถึงการมีน้ำมีนวลทันตาถ้ากุลสินีเพื่อนซื้มาเห็นเธอในตอนที่มีแก้มนวลปลั่งขนาดนี้
เจ้าหล่อนคงคิดหาเรื่องกิ๊กมาจิกกัดเธอให้คันหัวใจเป็นแน่
ระหว่างที่อยู่ในคฤหาสน์วาสิตาได้รับอนุญาตให้สำรวจสถานที่ได้ตามอำเภอใจ
ทว่าหญิงสาวไทยไม่อาจทำเช่นนั้นได้ด้วยคิดอยู่เสมอถึงการวางตัวในการเป็นผู้อยู่อาศัย
ไม่อยากให้เขาตำหนิในเรื่องความอยากรู้อยากเห็นของเธอมากนัก ส่วนใหญ่ถ้าเธออยากรู้ข้อมูลอะไรก็จะถามจากมาเรีย
ซึ่งอยู่เป็นผู้ดูแลเธออย่างกับเงาตามตัวไม่ว่าเธอจะอยู่ตรงส่วนไหนของอาคารหรือต้องการอะไร
มาเรียจะโผล่มาได้ทุกที่ทุกเวลา ราวกับแม่สาวใช้แอบติดเรดาร์ไว้กับตัวเธอ
ราคาปก 249 บาท
ทำมือขาย: 180 + 40 = 220 บาท
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ราคาเช่า : เช่าเหมา 7 วัน ราคา 10%ของราคาปก คิดค่าส่ง 40 (พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ตัวอย่างเช่น
นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้
จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว
จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
สรุปยอดโอนลูกค้า 200 + 40 = 240 บาท หลังจากร้านได้รับหนังสือคืนแล้วจะโอนคืนให้ในยอด 200-20= 180 บาท
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น