วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทรายร้อนซ่อนเสน่หา : บทที่ 11 คัมภีร์มรณะ


นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา





ระหว่างหญิงสาวกำลังเพลิดเพลินกับงานตรงหน้า   ซูนัคเซนก็เดินถือชิ้นส่วนของเครื่องปั้นดินเผาที่หลงเหลือเพียงเศษซากเล็ก ๆ  มายื่นให้พิจารณา เธอรับมาตรวจสอบดูแล้วจึงวิเคราะห์มันออกมา
เศษเครื่องปั้นดินเผาชิ้นนี้ทำจากดินเหนียวสีแดงอ่อน มีลวดลายเป็นรูปแบบเครื่องปั้นดินเผาในยุคอียิปต์กลางตอนต้น”
ฉันตัดสินใจไม่ผิด ที่ให้เธอคอยบันทึกสิ่งของทุกอย่างที่เราขุดขึ้นมาได้” ซูนัคเซนเอ่ยชม
หญิงสาวยิ้มร่า ดีใจ ซูนัคเซนเป็นถึงนักอียิปต์ศาสตร์แห่งยุคปัจจุบัน ได้รับคำชมจากเขาแบบนี้เป็นเรื่องน่าภาคภูมิ “ฉันต้องขอบคุณในความกรุณาของคุณค่ะซูนัคเซน แรก ๆ ฉันกังวลมาก เกรงจะทำเรื่องยุ่งยากต่อคณะขุดของคุณ"
ฉันไม่เคยคิดว่าเธอทำเรื่องยุ่งยากเลย ตรงข้ามกลับมองเห็นความพิเศษในตัวเธอเสียอีก" ชายหนุ่มเอ่ย ก่อนหยุดชั่วอึดใจ เหมือนไม่แน่ใจกับสิ่งที่จะกล่าวต่อ แต่แล้วก็พูดขึ้น “วาสิตา ฉันยินดีให้การช่วยเหลือเธอทุกอย่าง ฉันหมายถึงว่าฮาจารีดูแลเธอเป็นอย่างดี ฉันก็อยากจะดูแลเธอให้ดี สมกับที่เขาไว้ใจให้เธอมาร่วมงานกับเรา"
"ขอบคุณค่ะ แต่เท่าที่คุณเอื้อเฟื้อก็ดีมากแล้ว ซึ่งคนธรรมดาอย่างฉันไม่รู้จะหาที่ไหนได้อีก"
"แต่มันก็ยังไม่ดีเท่าเขา"
ดวงตาดำคมของซูนัคเซน เหมือนจะอ่านทุกสิ่งทุกอย่างในแววตาของเธอ วาสิตาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร รู้แต่ว่าอึดอัดใจเหลือจะกล่าว
“เป็นเรื่องน่ายินดีนะคะ ที่อากาศและผืนทราย สามารถรักษาสิ่งล้ำค่าไว้ได้เป็นพัน ๆ ปี” เธอรีบเปลี่ยนเรื่อง เพราะไม่อยากถูกจับสังเกตจากอีกฝ่าย
ดวงตาของซูนัคเซนจ้องเหมือนจะค้นหาความจริงบางอย่าง แทนวัตถุล้ำค่าใต้ผืนทรายเสียอย่างนั้น มันทำให้เธอรู้สึกเยียบเย็นตั้งแต่หัวจรดเท้า
"เป็นเรื่องน่ายินดี" ซูนัคเซนไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่หญิงสาวพูดถึง แต่เขากำลังสนใจวัตถุห้อยอยู่บนคอระหง ต่อเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายจะระวังตัวแล้ว เขาจึงละสายตาและส่งยิ้มจาง ๆ ก่อนเดินออกไปตรวจดูการทำงานของคนงาน ปล่อยให้หญิงสาวก้มหน้าก้มตาลงบันทึกสิ่งของต่าง ๆ ที่เขาทยอยนำมาวางไว้บนโต๊ะต่อไป
ซูนัคเซนเดินออกไปคนงานชายคนหนึ่งก็เดินเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้ามา เขายืนทิ้งระยะห่างจากบริเวณโต๊ะทำงานของเธอพอสมควร วาสิตาจำได้ว่าเป็นบาลัคหัวหน้าคนงานมีพฤติกรรมแปลก ๆ แล้วก็ดูดุดันกว่าคนงานธรรมดา
จากสายตาจ้องมองมาโดยใบหน้ามีผ้าคลุมหน้าสีขาวขุ่นปกปิด เธอไม่รู้ว่าเขามองสำรวจเธอด้วยเหตุใด แต่ในส่วนลึกดูคล้ายเขาอยู่ในความนึกคิดบางอย่าง ซึ่งแน่นอนต้องเกี่ยวกับตัวเธอในด้านที่ไม่ค่อยดี
วาสิตาขยับตัวเล็กน้อยขับไล่ความหวาดหวั่น แม้จะชินสายตาบุรุษแต่สายตาชายคนงานผู้นี้ต่างจากผู้อื่น มันให้รู้สึกถึงภัยอันตราย 
ร่างบอบบางพยายามซ่อนอาการหวาดกลัวให้ดูปกติที่สุด
ในขณะนั้น ซูนัคเซนเดินย้อนกลับมา เขายกมือตบบ่าคนงานชายเหมือนส่งสัญญาณให้เดินไปด้วยกัน และเมื่อทั้งสองเดินห่างออกไปแล้ว เธอก็นึกขอบคุณเขา ซึ่งท่าทางปกป้องของซูนัคเซนก็ทำให้เธอนึกถึงชายหนุ่มอีกคน
ฮาจารีให้ทั้งความอบอุ่นและความปลอดภัย ไม่มีใครเทียบเขาได้ ทว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนหนอ หรือว่าป่านนี้กำลังอยู่กับนางในฮาเร็มคนใดคนหนึ่ง
'เราคิดบ้าอะไรเนี่ย' วาสิตารีบดึงสติกลับ ก่อนหัวเราะให้กับความคิดไร้สาระของตัวเองเบา ๆ แล้วก้มหน้าก้มตาตรวจค้นข้อมูลและจดบันทึกอย่างตั้งใจ
"ท่านไม่ควรแสดงอะไรให้เธอรู้สึกหวาดระแวง!” ซูนัคเซนเปิดปากต่อว่าชาไฮน์ทันที เมื่อเดินห่างออกมาจากเต็นท์หญิงสาวมากแล้ว
เราเพียงต้องการสืบค้นบางสิ่งจากนัยน์ตาเธอเท่านั้น” หัวหน้าเผ่าแมกนาตอบอย่างไม่ยีหระต่ออีกฝ่าย
แล้วท่านเห็นอะไรบ้างล่ะ?” ซูนัคเซนเค้นเสียงต่ำ
ไม่มีเลย ว่างเปล่า” ชาไฮน์ยักไหล่
เป็นที่รู้กันว่าเผ่าแมกนาเป็นยอดในการอ่านแววตา เพราะแม้จะเป็นเผ่าอพยพเล็ก แต่ด้วยความสามารถพิเศษนี้ ทำให้สามารถขยายอาณาเขตของเผ่าได้กว้างขวาง
โล่งใจไปที งั้นเราไปดำเนินงานของเราต่อเถอะ” ซูนัคเซนคลายสีหน้าเคร่งเครียด อย่างน้อยชาไฮน์ก็ยังไม่คิดทำอะไรวาสิตา 
ท่านคงเสียดายสินะ นางเป็นคนต่างชาติที่มีเรือนร่างเป็นผู้หญิงเต็มตัว ท่านเห็นหรือไม่ว่านางมีทรวดทรงชวนมองแค่ไหน” ชาไฮน์นึกถึงเนื้อหนังอ่อนนุ่มของหญิงสาวต่างแดน เขาอยากจะได้สัมผัสด้วยมือตนเองสักครั้ง ผู้หญิงคนนี้ดูแล้วเพลินตา เธอช่างมีมนต์เสน่ห์จับใจชายยิ่งนัก
ไม่อย่างนั้นนางจะเป็นที่โปรดปรานของพี่ชายเราหรือ” ซูนัคเซนหัวเราะขึ้นเบา ๆ
เป็นธรรมดาของชนเผ่าต่าง ๆ หรือเศรษฐีอาหรับ จะมีนางในฮาเร็มไว้ปลดเปลื้องทางอารมณ์ แต่ก็มีไม่กี่คนสามารถเป็นหญิงสาวที่โปรดปรานของเจ้านายตน ทว่าหญิงต่างแดนผู้นี้ สามารถครอบครองดวงตาศักดิ์สิทธิ์ นางย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ซูนัคเซนย่นหน้าผากจนมีริ้วเล็ก ๆ เมื่อนึกถึงคำสัตย์สาบานของทวยเทพ จะปกปักลูกหลานตระกูลอัล-ซาฮานชั่วกาลปาวสาน ซึ่งหนึ่งในนั้นย่อมไม่ใช่ผู้มีสายเลือดต่างสีเช่นเขา
ซูนัคเซนมองตามสายตาชาไฮน์ที่ตวัดไปทางคนกลุ่มหนึ่งบนเนินผา เป้าหมายคือการเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับฮาจารีนอกจากปกป้องดินแดนแล้วยังเฝ้าห่วงใยหญิงสาว ซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการลงบัญชีวัตถุโบราณนั่นอีก
และเมื่อเขามองใบหน้าชาไฮน์ เขาก็นึกเดาได้ว่าหัวหน้าเผ่าแมกนากำลังคิดอะไรอยู่ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายกล่าวขึ้น
จะกำจัดเขาให้พ้นทางคงเป็นเรื่องยาก เพราะตระกูลอัล-ซาฮานได้รับการคุ้มครองจากองค์มหาเทพ”
ซูนัคเซนยืนนิ่งฟังถ้อยคำของเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ ตัวเขาเองเชื่อในอำนาจทรงพลังของเทพเซธมากกว่า ที่สำคัญเขามี ‘คัมภีร์มรณะ’อยู่ในมือแล้ว เหลือเพียง ‘ศิลาศักดิ์สิทธิ์’ ซึ่งเป็นประตูแห่งการปลดปล่อยเพียงอย่างเดียว เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมาดมั่น
ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป ถ้าเราค้นพบศิลาทาลาทัต” 
“พบแล้ว หินศักดิ์สิทธิ์นั่นจะทำให้เราได้ปกครองเผ่าอัล-ซาฮานใช่หรือไม่ แต่เราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะหาสิ่งนั้นพบ กลัวมันจะจับผิดเราได้ซะก่อนนะสิ” ชาไฮน์ลากเสียงต่ำ ก้มดูตัวเองที่ปลอมตัวเป็นคนงานขุดอย่างหงุดหงิด
ใจเย็น ๆ ไว้ เราคิดว่าอีกไม่นาน” ซูนัคเซนมองคู่สนทนาด้วยสายตาเย็นชา
ชาไฮน์ชำเลืองมองเพื่อนร่วมขบวนการ พลางคิดว่าคณะขุดค้นในนามซูนัคเซนนักอียิปต์ศาสตร์แห่งกรุงไคโร มีคนงานขุดจากชนเผ่าไคเซอร์บายัน ชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายมาตั้งแต่โบราณด้วยค่าจ้างแพงลิบ ซึ่งแน่นอนว่าชาไฮน์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเป็นส่วนใหญ่ เขายอมสูญเสียเงินทองมาร่วมอุดมการณ์ ก็เพื่อค้นหาบางสิ่งบางอย่างที่ซูนัคเซนบอกกับเขาว่าสามารถทำให้เขามีอำนาจมหาศาล
ทว่าด้วยความสามารถพิเศษในการอ่านแววตา ทำให้ชาไฮน์รู้เจตนาภายในใจของเพื่อนร่วมแผนการผู้นี้ดี ชาไฮน์ทั้งชิงชังและรังเกียจ เพราะซูนัคเซนเป็นเพียงก้อนเลือดนอกคอกของเผ่าอัล-ซาฮาน หวังพึ่งคาถานอกรีตเพื่อลบล้างคาถาคุ้มครองของเทพฮอรัส ซูนัคเซนต้องการอำนาจแห่งเซธในการกำชัยชนะและความเป็นอมตะ ซึ่งอำนาจแห่งเซธเป็นสิ่งที่ทุกคนมุ่งหวังครอบครอง และเมื่อวันนั้นมาถึง ชาไฮน์ก็รู้ว่าซูนัคเซนคงไม่ยอมสละอำนาจให้เขาง่าย ๆ แน่ ซึ่งเขาก็ไม่ยอมละชีวิตอีกฝ่ายเช่นกัน
ตลอดการทำงาน วาสิตากับซูนัคเซนเข้าใกล้กันด้วยท่าทางสุภาพอย่างเคารพนับถือ เธอค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น และคอยซักถามอย่างเจาะจงเกี่ยวกับโบราณคดีและสถานที่ขุดค้น ซึ่งซูนัคเซนมีความพอใจจะเปิดเผยอดีตอียิปต์ให้ฟัง นั่นเพราะซูนัคเซนพยายามทำให้หญิงสาวเชื่อใจ 
หมดเวลาเร็วจัง” วาสิตาบ่นอย่างนึกเสียดาย หญิงสาวมองวัตถุโบราณจัดวางเรียงรายรอการบันทึก ดุจอาหารจานเด็ด
ระยะทางมายังพื้นที่ขุดค้นนั้นไกลเอาการ เธอไม่คุ้นเคยกับการขี่ม้าแต่ก็ยังสามารถเดินทางมาได้” ซูนัคเซนมองชื่นชม หญิงสาวตรงหน้ามีเสน่ห์ มีความฉลาด และมีอารมณ์ขัน ทำให้เขารู้สึกสนุกที่ได้สนทนาเกี่ยวกับวัตถุโบราณร่วมกัน อีกทั้งสลายความว้าเหว่ที่เกาะกินใจซูนัคเซนมาเป็นเวลานานให้เบาบางลง
ผมจะให้ความสะดวกสบายต่อคุณ และจะปกป้องคุณด้วยชีวิต” เสียงโอมานดังมาก่อนตัว ก่อนจะโดนซูนัคเซนแกล้งใช้เสียงดุ
เจ้าพูดมากไปแล้วโอมาน”
วาสิตาถลึงตาใส่เพื่อนเหมือนกัน โอมานจึงฉีกยิ้มทะเล้นให้เธอ แล้วเอ่ยด้วยอารมณ์ขันอีก
ผมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นผู้คุ้มครองท่านหญิงกลับสู่วัง”
ไปขึ้นรถได้แล้ว” วาสิตาหัวเราะ เธอเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนชายหนัก ๆ โทษฐานหยอกล้อตนตลอด ซึ่งเจ้าตัวก็หัวเราะชอบใจ ก่อนหันไปถามชายผู้มีพระคุณต่อเขา
ท่านซูนัคเซน จะให้ผมไปส่งที่แคมป์ก่อนหรือเปล่าครับ” 
เจ้าส่งวาสิตาเถอะ แล้วเจ้าก็กลับแคมป์ไปซะ เรายังมีเรื่องอื่นต้องทำต่อ” แววตาซูนัคเซนดูเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนทั้งสองจะทันได้สังเกต เขาก็กล่าวทีเล่นทีจริงกับหญิงสาวว่า
วาสิตา..เธอต้องคอยเตือนโอมานเรื่องระยะทางให้มาก ๆ เพราะเขามักจะคุยเพลิน แล้วเผลอขับทะยานออกนอกเส้นทาง”
ชายหนุ่มผู้ถูกเท้าความถึงความผิดพลาดแต่หนหลัง ร้องโวย
โธ่ ท่านซูนัคเซน มันก็แค่ครั้งเดียวนะท่าน”
วาสิตาหัวเราะเมื่อเห็นเพื่อนชายหน้าเสีย นี่คงสำแดงความผิดพลาดบางอย่าง จนกระทั่งซูนัคเซนเก็บเอามาเผาได้อายไม่รู้จบ หญิงสาวจึงนึกสนุกจะหยอกล้ออีกฝ่ายกลับบ้าง
“โอมานจ๋า ไม่คิดจะเล่าให้ฉันฟังมั่งเหรอ” 
ขึ้นรถเถอะน่า เพราะถ้าผู้ปกครองของเธอรอนานกว่านี้ เธอนั่นล่ะจะเป็นผู้หลุดจากวงจรขุดค้นนี่” โอมานได้ที ขึ้นเสียงขู่ ซึ่งก็ได้ผล
แหม ไปก็ไปสิ ไม่เห็นต้องเอาเขามาขู่กันเลย” เธอค้อนเพื่อน ก่อนจะหันไปกล่าวลาซูนัคเซน “ฉันไปนะคะซูนัคเซน” วาสิตาค้อนเพื่อนอีกครั้ง เดินไปขึ้นรถนั่งข้างคนขับอย่างอารมณ์ดี เฮ้อ..ในที่สุดวันแรกของการทำงานขุดค้นของเธอก็ผ่านไปได้ด้วยดี

            ร่างสูงสง่าของฮาจารีในชุดคลุมยาวสีดำ ศีรษะโพกด้วยผ้าสีน้ำเงินเข้มเคลื่อนม้าตรงมายังจุดนัดพบ รถจิ๊บจอดสนิทและทั้งสองก้าวลงมา เขาเอ่ยถามขึ้นทันที
การทำงานวันนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
น้ำเสียงถามแกมประชดนั้น สร้างความสับสนงุนงงให้กับวาสิตา ทว่าโอมานกลับทำหน้าซ่อนยิ้ม ก่อนกล่าวลาฮาจารีด้วยการโค้งศีรษะ และกลับขึ้นรถขับห่างออกไป
เรียบร้อยดีค่ะ” เธอตอบอย่างซื่อ ๆ 
สนุกและมีความสุข” เขายังไม่เลิกประชด 
ค่ะ” วาสิตาตอบสั้น ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเรื่องอะไรอีก
ก็ดี” ฮาจารีอดไม่ได้ที่จะหึงหวง แต่ก็ทำได้แค่มองดูอย่างขัดใจ 
ฉันทำให้คุณไม่สบายใจอีกแล้ว คราวนี้เรื่องอะไรคะ บอกหน่อยได้มั้ยวาสิตายืนนิ่งสบตากับเขา
ไม่มี กลับกันเถอะ” ชายหนุ่มหัวหน้าเผ่าพยายามผ่อนคลายตัวเอง เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันตึงเกินไป มือแข็งแรงคว้าช่วงเอวหญิงสาวพาพยุงขึ้นนั่งบนหลังม้าตัวเล็ก เสร็จแล้วกระโดดขึ้นหลังม้าตัวเอง
พักนี้ฉันเหมือนทำอะไรผิดให้คุณไม่พอใจหลายอย่าง” วาสิตาพูดตัดพ้อออกไป เมื่อควบม้าเยาะ ๆ คู่กันมาสักระยะ
ฮาจารีไม่ได้ท้วงหรือออกความคิดเห็น สายตาเมินเพียงมองมาแล้วหันกลับไป หญิงสาวไม่มีโอกาสล่วงรู้หรอกว่า หัวใจชายหนุ่มปั่นป่วนเพียงไรที่ได้เห็นความสนิทสนมระหว่างหญิงสาวกับโอมาน ขนาดเขาพยายามใกล้ชิดอย่างไรยังไม่เคยมีโอกาสได้สัมผัสความร่าเริงเบิกบานอย่างนั้นเลย
ฮาจารีคะ มองเห็นอยู่นั่นเป็นอีกด้านของดินแดนอาถรรพ์ใช่มั้ยคะ” วาสิตารู้อยู่ว่าเขาอารมณ์ไม่ดี แต่ภาพก้อนหินวางต่อกันดูราวผาหินใหญ่ มันช่างเรียกร้องความอยากรู้อยากเห็นขึ้นในใจเหลือเกิน
“เคยเป็นวิหารสักการะ บรรพบุรุษเราสร้างแยกออกมาจากเมืองบาวิตี” เขาเอ่ยตอบแบบแกน ๆ 
เป็นวิหารสักการะหรือนี่” หญิงสาวหลุดน้ำเสียงพึมพำแผ่วเบา พลางคิดในใจว่ากาลเวลาคงฝังกลบทุกอย่างไว้ใต้ผืนทรายหมด ถึงได้เห็นแต่ก้อนหินใหญ่ตั้งตระหง่านลำพังอย่างนี้
วาสิตาเก็บความสนใจไว้ภายในเงียบ ๆ เมื่อมองเห็นชายหนุ่มไม่ใคร่อยากจะสนทนามากนัก เขาคงมีเรื่องให้คิดเยอะ เขาเป็นถึงหัวหน้าเผ่า ไหนจะกิจการโรงแรม สิ่งต่าง ๆ ล้วนอยู่ในความรับผิดชอบของฮาจารี ไม่แปลกถ้าภาระหนักอึ้งเหล่านี้จะหล่อหลอมให้เขากลายเป็นชายหนุ่มเงียบขรึมเก็บตัว
พรุ่งนี้ฉันมาได้อีกใช่ไหมคะฮาจารีหญิงสาวถามเพื่อความแน่ใจ ว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจกะทันหัน ในเมื่อวันนี้เธอทำให้เขาอารมณ์ไม่ดี
จนกว่าเธอจะพอใจนั่นล่ะ งานยังไม่เสร็จไม่ใช่หรือ”  ชายหนุ่มพูดโดยไม่หันมาสักนิด วาสิตาจึงแอบค่อนขอดในใจว่า เขาคนนี้แม้ภายนอกดูเคร่งขรึมราวนักรบ แต่ในบางครั้งเขาก็ยังเหมือนเป็นเด็ก ๆ ไม่รู้จะงอนอะไรกันนักหนา
ฉันเห็นคุณไม่สบายใจ ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าคุณจะคิดยังไงฉันก็ขอยืนยันว่าฉันจะเชื่อฟังคุณ ถ้าคุณอนุญาตฉันก็จะมา และถ้าคุณไม่อนุญาต ฉันก็จะไม่ขัดใจคุณค่ะ”
เธอน่ารักเหลือเกินที่เชื่อฟังฉัน เอาล่ะ..ฉันบอกตามตรงก็ได้ ฉันงอน” ฮาจารียอมสารภาพ เมื่อได้ยินคำพูดถูกใจจากหญิงสาว ใบหน้าเคร่งขรึมหันมาส่งยิ้มซึ่งก็ทำให้เขาดูเบิกบานขึ้น 
“งอนเรื่องอะไร บอกฉันได้มั้ยคะ
เห็นเธอสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น”
หึ ๆๆอุ๊บ..!” วาสิตาเผลอปล่อยเสียงหัวเราะ ก่อนจะรีบกลืนความรู้สึกขบขันต่ออาการหึงหวงของชายหนุ่มลงคอไป “ชายหนุ่มที่คุณว่าน่ะ โอมานเพื่อนของฉันนะคะ”
นัยน์ตาเขาไม่ได้บ่งบอกว่าคิดกับเธอแค่เพียงเพื่อน” มือเขากระตุกเชือกให้ม้าหยุดเดิน
ฮาจารีคะ คุณคิดมากไปหรือเปล่า”
ฉันผ่านโลกมาก่อนเธอหลายปี ไม่มีอะไรพ้นตาฉันหรอก ฉันดูออกว่าเขาแอบชอบเธอมานาน เพียงแต่ฉันไม่รู้ว่าเธอคิดกับเขายังไง”
เอาล่ะค่ะ ไม่ว่าคุณจะคิดยังไง ฉันขอบอกเลยว่าฉันกับโอมานเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน” วาสิตากล่าวย้ำเสียงหนักแน่น
แล้วกับฉันล่ะ วาสิตา เธอคิดกับฉันยังไงกันแน่ บอกฉันหน่อยได้ไหม
ทั้งน้ำเสียงและแววตาของฮาจารี เหมือนคนกำลังร้องขอคำตอบให้กับหัวใจที่เฝ้ารอความหวัง แต่เธอก็ไม่อาจให้คำตอบนั้นต่อเขาได้ 
ใกล้ค่ำแล้วนะคะฮาจารี เรารีบกลับหมู่บ้านกันเถอะค่ะ ป่านนี้ป้าเฮลย่าชะเง้อคอคอยเราแย่แล้ว” เอ่ยจบ เธอก็กระตุ้นลูกม้าเดินนำหน้าไปก่อน เพื่อหลบซ่อนความรู้สึกยากจะอธิบาย  
ส่วนฮาจารีมองตามหลังหญิงสาวไป เขารู้ว่าระหว่างวาสิตาและเขาสามารถสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ ถ้าเพียงอีกฝ่ายยอมเปิดใจให้กับเขาบ้าง

ฮาจารีไม่ยอมไปห้องนั่งเล่นเหมือนอย่างทุกคืน ไม่แม้แต่จะเรียกหาเธอ ดูเหมือนการได้พบพานเพื่อนเก่าส่งผลเลวร้ายเกินไปหรือเปล่า ไหนจะเรื่องขอคำตอบจากเธอวันนี้อีก แต่เธอก็ใช้ความเงียบเลี่ยงหลบเสีย
บ่อยครั้งการแสดงออกมันมักจะตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ในใจ วาสิตาก็เช่นกัน หญิงสาวยืนหลบมุมตรงประตูเข้าห้องทำงานของหนุ่มเจ้าของบ้าน พลางครุ่นคิดในใจว่า ทำไมตอนนี้เธอถึงได้รู้สึกอ้างว้างและหดหู่ 
คุณยืนตรงนี้นานแล้วนะท่านหญิง” ทาธิยาเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวเฝ้ามองนายหนุ่มตั้งชั่วโมงแล้ว
วาสิตาถอนหายใจเมื่อได้ยินสาวใช้ร่างสูงเอ่ยทัก เธอพยายามคิดหาเหตุผลดีพอจะเป็นข้ออ้างได้ มือเล็ก ๆ ฉวยมือสาวใช้ จูงให้เดินตามเข้ามาภายในห้องด้วยกัน จากนั้นทำทีชวนพูดคุย
ทาธิยา หลายคืนที่ฉันอยู่ที่นี่ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าทะเลทรายเงียบอย่างวันนี้เลย”
ทาธิยาชำเลืองมองนายสาวที่บีบมือเธอเบาๆ จนเมื่อเข้าใจความนัยนั้นแล้ว จึงเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ทะเลทรายก็เงียบทุกวันแหละค่ะท่านหญิง”
จริงหรือจ้ะ.” วาสิตาเลิกคิ้วขึ้นสูง “อืม..หรือว่าฉันรู้สึกไปเองว่าคนแถวนี้เงียบเหมือนทะเลทราย น่าสงสารตัวเอง ช่างดูโดดเดี่ยวเดียวดาย”
เธอชำเลืองมองเห็นเขายังนั่งหน้าเคร่งอยู่ ไม่มีทีท่าจะเงยหน้าขึ้นจากงานบนโต๊ะ แม้จะอยู่ในอาณาเขตมีบรรยากาศสบาย ๆ แต่เขาไม่เคยละทิ้งงาน ยังเฝ้าดูแลและติดตามความเป็นไปทุกอย่างในสาขางานของตน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่มีทั้งเกียรติยศ อำนาจ และเงินตรามากมายจะมีเบื้องหลังอ้างว้างอย่างนี้
เอาล่ะ ทาธิยาเราไปนั่งคุยกันในห้องนั่งเล่นดีกว่า คืนนี้พระจันทร์สวย ทาธิยาอยู่เป็นเพื่อนฉันนะ”
ค่ะ” ทาธิยาพยักหน้ารับคำหญิงสาว แต่ยังไม่ทันคนทั้งสองจะเดินออกไปจากบริเวณนั้น ฮาจารีก็ก้มลงกุมท้องทำท่าเจ็บปวด พร้อมร้องโอดครวญ
โอย..เจ็บ”
ฮาจารี!” “นายท่าน!” วาสิตาและทาธิยา ต่างถลันตรงดิ่งไปที่ร่างเจ้าของเสียง
ทาธิยา ไปตามป้าเฮลย่ามาเดี๋ยวนี้” เขาเงยหน้าขึ้นมาออกคำสั่ง จังหวะนั้นเองทาธิยาสังเกตนัยตาคมกริบของผู้เป็นนายบ่งบอกความนัยบางอย่าง สาวใช้เข้าใจทันที 
ค่ะนายท่าน” ทาธิยาไม่รอช้ารีบถอยตัวเองออกไป เพื่อปล่อยให้เจ้านายทั้งสองได้อยู่กันตามลำพัง
วาสิตาเข้าประคองแขนที่ค้ำโต๊ะของเขา เธอรู้สึกห่วงใยเขาจริง ๆ
ฮาจารีคุณเป็นอะไร เจ็บปวดตรงไหน” หญิงสาวไม่กล้าเขย่าแขนเขาแรงเพราะกลัวจะสะเทือนจุดเจ็บ เธอหันไปมองประตูบ่อยครั้งก็ยังไม่มีใครเข้ามาช่วยเขาเสียที
“ทำไมทาธิยาไปนานจัง เดี๋ยวฉันไปดูเองดีกว่า”
เครียดลงกระเพาะเพราะโมโหคนเท่านั้นล่ะ เดี๋ยวก็หาย” น้ำเสียงทุ้มเจือความน้อยใจดังขึ้น ก่อนข้อมือบางจะถูกฉวยแล้วถูกดึงให้ร่างบอบบางลงมานั่งบนตัก
นี่คุณเล่นอะไรของคุณ คนเค้าเป็นห่วงจริง ๆ นะ” เธอหันไปเสียงเขียวใส่เขา ที่แท้ก็เป็นอาการป่วยป่วนของเขาแค่นั้นเอง “ปล่อยฉันนะคะฮาจารี ทาธิยากำลังตามคนมาที่นี่” หญิงสาวพยายามแกะมือติดหนึบของเขา และดันตัวออกห่างอกกว้างอบอุ่น
“จะไม่มีใครมาทั้งนั้น และทาธิยาคงอยากกลับไปพักผ่อนเต็มทีแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ เธอจึงหยุดชะงักก่อนจะหันไปเผชิญกับอีกฝ่าย คำพูดและแววตาของเขาบ่งบอกเป็นอย่างดี ว่าจะไม่มีใครเข้ามาในห้องนี้จริง ๆ 
เสียรู้จนได้..
น่าจะเป็นนักแสดงได้เลยนะคะ รับต่อบทกันดีอย่างนี้”  วาสิตานึกฉุน เจ้าเล่ห์กันทั้งเจ้านายทั้งลูกน้อง
อืมส์...แต่เธอเป็นคนเขียนบทขึ้นก่อนไม่ใช่หรือ
คนเจ้าเล่ห์อย่างเขาไม่พูดแต่ปาก แต่ยังใช้ปลายจมูกซุกซนดุนใบหูของเธออีก วาสิตาห่อตัวเข้าหากันเมื่อมือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนมากระชับเอวให้แนบกับแผ่นอกของเขามากขึ้น อีกทั้งยังซุกซนแถว ๆ ท้องน้อย ปลายนิ้วร้อน ๆ ลูบไล้แผ่ว ๆ ทำเอาขนแขนลุกเกรียว จนได้หลุดถ้อยคำห้ามปรามด้วยความวูบวาบและหวั่นไหว
“อย่าซนนะคะ”
ทีฉันต้องนั่งอยู่บนหลังม้าครึ่งค่อนวันเพราะความเป็นห่วงเธอ ยังไม่บ่นสักคำ” มือคนซนเพียงข้างเดียวสร้างความสั่นสะท้านไปทั่ว เธอต้องร้องขัดใจออกมา
ก็เรามีจุดนัดพบกันอยู่แล้ว คุณไปกินไปนอนอยู่บนหลังม้าทำไมกันเล่า”
พูดอย่างนี้ เธอไม่นึกสงสารฉันเลยใช่ไหม”
อ๋อ ทำเงียบอย่างกับอ่าวเวิ้งว้างที่แท้ก็เรียกร้องความสนใจ คุณเป็นถึงหัวหน้าเผ่านักรบนะคะ ไม่ใช่เด็กซะหน่อย” หญิงสาวเอ่ยค่อนขอด ฮาจารีจึงเถียงกลับ
ทำไมล่ะ นักรบเผ่าอัล-ซาฮานจะอ้อนผู้หญิงของเขาบ้างไม่ได้หรือ”
อ้อนแบบเด็ก ๆ นี่นะหรือคะ” เธอบ่นอุบก่อนเผยยิ้มปริ่มสุข โดยลืมไปว่าขณะนี้เธอนั่งอยู่บนตักของเขา “อีกอย่างผู้หญิงของคุณอยู่ด้านหลังโน้นค่ะ ไม่ใช่ฉัน”
ด้านหลังนั้นไม่มีใครแล้ว”
คุณหมายความว่ายังไงคะ?” ใบหน้าสวยปรากฏความฉงน
ฉันให้พวกนางกลับไปอยู่กับครอบครัวของตัวเองหมดแล้ว พวกนางจะได้แต่งงานกับชายหนุ่มที่พร้อมจะรักและดูแลต่อไป”
แต่พวกนางหวังเข้ามารับใช้คุณนะคะ”
ความหวังของพวกนางหมดไป ตั้งแต่ฉันพาเธอมาที่นี่” ฮาจารีตอบตามตรง
เป็นเพราะคุณไม่แก้ไขความเข้าใจของพวกเขาเสียใหม่ คุณทำแบบนี้ก็เหมือนมัดมือชกกับฉันนะคะ”
ฉันพยายามที่จะมัดใจเธอต่างหาก แต่เธอก็พยายามดิ้นหนีฉันอยู่เรื่อย วาสิตา อยู่นิ่ง ๆ แล้วหันมามองหัวใจของฉันบ้างได้ไหม”
แล้วคุณไม่เห็นใจฉันบ้าง ฉันก็มีครอบครัวนะคะ”
แต่เธอก็ต้องมีครอบครัวของเธอเองในวันหนึ่ง”
ค่ะ แต่ต้องไม่ใช่ต่างกันสุดขั้วแบบนี้” พูดออกไปแล้วก็เหมือนเธอได้รานน้ำใจของเขาอย่างโหดร้าย แต่จะทำอย่างไรได้ ขนบธรรมเนียมประเพณีระหว่างเขากับเธอต่างกันสิ้นเชิง เธอไม่รู้ว่าตัวเธอจะนำความยุ่งยากมาสู่วงศ์วานว่านเครือของเขามากน้อยแค่ไหน ร้ายกว่านั้นคือลูกเกิดจากเธอจะต้องเป็นเลือดต่างสีที่ชนเผ่าไม่ให้การยอมรับ เหมือนซูนัคเซน
วาสิตาไม่อาจปล่อยให้ลูกน้อยถูกพรหมลิขิตชีวิตให้พบกับความทุกข์ทนเยี่ยงนั้นได้ อีกทั้งเธอรักฮาจารีเกินกว่าจะทำให้เขาต้องมาดูแลเธอไปชั่วชีวิต
ในเมื่อคู่อื่น ๆ มีความแตกต่างกันในหลายด้าน ทำไมเขาถึงหาจุดมาพบกันได้ ทำไมเราจะหามันไม่พบบ้างเชียวหรือ วาสิตา” ฮาจารีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
คุณพบแล้วค่ะ แต่คุณมองข้ามไป คนที่เหมาะสมกับคุณก็มีอยู่แล้ว คุณควรหันกลับไปเอาใจใส่เธอนะคะ” หญิงสาวเอ่ยเตือนเขาเสียงเรียบ
เพราะอะไรเธอจึงผลักไสหัวใจของฉันให้กับหญิงคนอื่น”
เพราะพวกเธอเป็นคนในครอบครัวของคุณนะสิคะ เป็นมาชั่วอายุคนแล้วด้วย ฉันเสียอีกเป็นเพียงคนนอกคนหนึ่งที่ได้มาอาศัยพึ่งพาประโยชน์ให้กับตัวเองเท่านั้น”
ฮาจารีรู้สึกเศร้าใจ หญิงสาวผู้นี้ช่างแล้งน้ำใจกับเขา  “จะอย่างไร ฉันก็จะรอวันที่เธอเปลี่ยนใจไม่ไปจากฉัน วาสิตา”
ถ้าพรุ่งนี้คุณยังอนุญาตให้ฉันได้ร่วมงานขุดค้น คืนนี้ฉันคงต้องรีบพักผ่อน ขอบคุณนะคะฮาจารีที่อนุญาตให้ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันชอบ  และคุณก็ควรพักผ่อนได้แล้วนะคะ” 
ร่างบอบบางเอ่ยแล้วดันตัวลงจากตักของเขา เธอไม่อยากจะเหลียวไปมองเขาตรง ๆ กลัวว่าเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เธอได้พูดออกไปนั้นไม่ตรงกับใจเลยสักนิด เธอต้องใจแข็งเอาไว้เพื่อรักษาจารีตประเพณีดีงามของเขา
วาสิตาก้าวเดินจากเขามาด้วยความหดหู่ใจ ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกอะไรกับเขาซะเมื่อไหร่ เพราะยิ่งนานวันเธอก็ยิ่งผูกพันกับเขามากขึ้น แล้วการปฏิเสธหัวใจของเขาก็ใช่ตัวเธอเองจะไม่เจ็บปวด
เมื่อหญิงสาวออกไปแล้ว ฮาจารีก็ได้แต่กำมือทั้งสองไว้แน่น เขาเคยอดทนกับการรอคอยมานานหลายปี แต่เหตุใดเมื่อได้พบกับคนที่รอคอย เขาจึงไม่สมหวังดั่งใจปรารถนา
องค์มหาเทพได้โปรดประทานคำตอบให้ความกระจ่างกับเขาด้วยเถิด...’
 

 




 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น