"หลังจากสิ้นชีวิตไปได้ไม่นานร่างของผู้จะถูกทำมัมมี่จะถูกนำไปที่'เพอเนเฟอร์'หรือบ้านแห่งความบริสุทธิ์เพื่อทำความสะอาดหลังจากนั้นก็จะถูกส่งไปยังห้องสำหรับทำมัมมี่ร่างจะถูกวางบนแท่นหินสมองจะถูกดึงออกทางช่องจมูกด้วยตะขอ
เครื่องใน ตับไต ไส้พุงถูกดึงออกมาจากการผ่าหน้าท้องด้านล่างทางฝั่งซ้ายและเอามาทำความสะอาดผสมกับน้ำมันหอมต่อเมื่อทุกส่วนแห้งดีแล้ว
สมองเครื่องใน ตับ ไต จะจัดเก็บไว้ในโถคาโนปิคสี่โถ"
"ร่างของมัมมี่จะถูกแช่อยู่ในนาตรอนเพื่อดูดน้ำตามร่างกายโพรงหน้าอกและท้องจะถูกล้างทำความสะอาดจากนั้นก็ทาด้วยเครื่องเทศและไวน์ทำจากปาล์มแล้วยัดด้วยนาตรอนเช่นกันเว้นหัวใจยังคงฝังอยู่ในร่างศพเพื่อที่ดวงวิญญาณผู้ตายใช้พิสูจน์ความจริงในโลกหลังความตายโดยมีองค์มหาเทพโอซิริสเป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตาชีวิตซึ่งหัวใจของดวงวิญญาณทุกดวงจะต้องไม่หนักหรือเบากว่าขนนกของเทพีมะอัตซึ่งเป็นเทพีแห่งความเที่ยงตรง"
หนังสือที่บรรจุข้อความดังกล่าวถูกกุลสินีวางแหมะลงบนที่นอนของตน
ก่อนเสียงบ่นอุบจะดังขึ้น
"ฉันอ่านไปนึกภาพไปขนลุกตามเลยยัยวา"
วาสิตามองเพื่อนสาวลูบแขนตนเองแล้วหัวเราะจากนั้นจึงวางแผ่นพับในมือลงบนเตียงนอนและลุกจากเตียงเดินไปหยิบบางสิ่งในลิ้นชักขณะคนขี้กลัวก็เดินลงจากเตียงตนเองมานอนเอกเขนกบนเตียงของเธอแล้วหยิบแผ่นพับที่เจ้าของวางไว้ขึ้นมาอ่าน
"โบวชัวร์อะไรเนี่ยยัยวาขีดวงเต็มไปหมด
แล้วนี่อะไรอีกแผนที่ขุมทรัพย์อียิปต์หรือไง"
"เออ..สนมั้ยล่ะ"
วาสิตาย้อนถาม "อาจขุดเจอทองคำก็ได้"
"เฮอะ
ซากแห้งมัมมี่นะสิไม่ว่า"
"ก็ดีกว่าฝังตัวเองอยู่ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษล่ะน่า"
"ยัยบ้าก็ฉันทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับอังกฤษฉันก็ต้องอยู่ในอังกฤษจะบินไปฝังตัวอยู่ในอียิปต์กับแกได้ยังไงแล้วอีกอย่างนะ
ประเทศนั่นมีแต่ตำนานลึกลับน่ากลัวบรื้อ" กุลสินีแห้วใส่เพื่อน
พร้อมทำท่าขนลุกขนพอง
"แกรู้ได้ยังไงว่าน่ากลัว
เผลอ ๆอาจจะน่าเที่ยวกว่าเมืองอื่นที่เคยไปก็ได้ แกไม่อยากไปเที่ยวบ้างเหรอ?" วาสิตาพยายามโน้มน้าว
เพราะอยากให้เพื่อนสาวไปเที่ยวอียิปต์กับตน
"ไม่เอาด้วยหรอก
แกอย่ามาหว่านล้อมซะให้ยากโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ไฟกำลังลนก้นฉันกับแกอยู่อย่างนี้อย่าลืมสิยะ
งานชิ้นสุดท้ายเส้นตายเหลืออีกไม่ถึงเดือน"พูดจบกุลสินีก็หันไปคว้าเอกสารทางวิชาการวางอยู่บนตู้เตี้ยข้างหัวเตียงมาอ่านอย่างคร่ำเคร่งเพื่อเป็นข้อมูลในการร่างวิทยานิพนธ์ที่จะจัดทำเป็นงานชิ้นสุดท้ายในการเรียนปริญญาโทของตนจากนั้นก็จะได้กลับบ้านกันเสียที
วาสิตาอมยิ้มขณะมองเพื่อนสาวร่วมรุ่นที่ร่ำเรียนด้วยกันมาตั้งแต่เมืองไทย
ทำท่าคร่ำเคร่งกับงานของตนแม้เธอกับกุลสินีจะเป็นเพื่อนสนิทกันชอบอะไรหลาย ๆ
อย่างเหมือนกัน แต่ก็มีบางสิ่งที่ต่างกัน
กุลสินีสนใจประวัติศาสตร์ตะวันตกและประเทศอังกฤษอยู่ในความสนใจของเจ้าหล่อนที่สุดส่วนเธอไม่เพียงสนใจอารยธรรมอียิปต์แต่ประเทศอียิปต์ยังเป็นประเทศที่เธอใฝ่ฝันอยากไปเยือนสักครั้งให้ได้
กุลสินีเคยตั้งข้อสงสัยในความฝันของเธอว่าคงเป็นเพราะอ่านการ์ตูนคำสาปฟาโรห์มากเลยแอบหวังว่าคงจะได้เจอคู่รักในแดนไอยคุปต์เหมือนแม่สาวน้อยแครอลพบรักกับฟาโรห์หนุ่มรูปหล่อ
"ตกลงโปรเจ็กต์แกอียิปต์แน่เหรอ"
กุลสินีถามย้ำ หลังจากทำงานของตนไปได้สักพัก
"ฉันจะออกเดินทางพรุ่งนี้แล้วย่ะ"
วาสิตาตอบสวนทันควัน แล้วก็ปล่อยเสียงหัวเราะเบาๆ
เมื่อต้องสบดวงตาแป๋วแหว๋วของคนได้รับคำตอบ
"วา แกว่าไงนะ"
คนทำตาโตถลันตัวลุกนั่ง จนเอกสารหลุดจากมือแผ่กระจายไปบนเตียง
"..." แทนคำยืนยัน
วาสิตาชูสิ่งที่ถืออยู่ในมือพร้อมกับชี้ให้อีกฝ่ายดูสัมภาระกองอยู่ตรงมุมข้างตู้เสื้อผ้าเพื่อนของเธอมองตามนิ้วที่ชี้
ลักษณะหมุนคอหันไปมองช้า ๆ ชวนให้น่าขบขัน ก่อนอีกฝ่ายจะอ้าปาก หลุดคำอุทานออกมา
“อุ๊ แม่เจ้า
ไม่อยากเชื่อ”เพราะตอนแรกกุลสินีคิดว่า
เจ้าเป้แบบแบ็กแพ็กใบมหึมาที่วางอยู่ข้างตู้นั้นเป็นสัมภาระที่วาสิตาเก็บรวบรวมไว้เดินทางกลับเมืองไทยไม่คาดคิดเพื่อนสาวหน้าสวยรูปร่างบอบบางแต่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเย้ายวนใจชายจะใจกล้าบ้าบิ่นบินเดี่ยวไปเที่ยวตะลอนอียิปต์ตามลำพัง
"แกนี่ยอดไปเลยวา.."
กุลสินีหมุนคอกลับมาช้า ๆ และโบกมืออวยพรให้เพื่อนสาวใจถึง
"โชคดีว่ะเพื่อน"
วันต่อมา..ประโยคสุดท้ายของแม่เพื่อนสาวซี้ปึกจะเป็นคำอวยพรหรือสั่งลาเธอก็ไม่รู้แน่
แต่แน่นอนคือตอนนี้เธอได้ขึ้นมานั่งบนเครื่องบินเรียบร้อยแล้วและแม่เพื่อนสุดน่ารักที่พอส่งเธอขึ้นเครื่องเสร็จ
ก็คงกลับไปนอนฝันหวานถึงหนุ่มอิตาลีอีกตามเคย
วาสิตาอมยิ้มกับพฤติกรรมน่ารัก ๆ ของเพื่อน
ก่อนจะหยิบแผนที่การเดินทางขึ้นมาดูอีกครั้งในกระดาษแผ่นนี้เธอได้รวบรวมจุดสำคัญ ๆ
ไว้หลายที่เป็นข้อมูลโรงแรมและระยะการเดินทางไปตามสถานที่ต่าง
ๆเธอคิดว่าท่องมันจนขึ้นใจและถ้าเกิดหายเธอก็สามารถวาดใหม่ได้อีก
ว่าไปแล้ว
ลูกสาวนักธุรกิจอย่างเธอจะมากับทัวร์ของอังกฤษก็ได้แต่ลูกทัวร์มักถูกจำกัดเวลาในการเข้าชมสถานที่แต่ละแห่งเธอจึงเลือกเดินทางมาเองดีกว่า
ทริปเดี่ยวของเธอคราวนี้ก็ไม่ใช่เป็นเพียงการท่องเที่ยวหาความหรรษาแต่เป็นการหาข้อมูลเพื่อทำงานส่งอาจารย์ด้วย
ซึ่งสิ่งล้ำค่าผ่านกาลเวลามานับพัน ๆปีของอียิปต์ ก็คือวิทยานิพนธ์เล่มสุดท้าย
เธอตั้งใจจัดทำขึ้นก่อนโบกมือลามหาวิทยาลัยลอนดอนเพื่อกลับเมืองไทย
จุดเริ่มต้นของสาวนักลุยคือกรุงไคโร
เมืองหลวงของอียิปต์เธอวางแผนว่าจะจัดการเรื่องห้องพักให้เรียบร้อยจึงค่อยเดินทางไปตามสถานที่ที่วงกลมเน้นไว้เพื่อเก็บข้อมูลตำนานอียิปต์ให้มากที่สุด
ซึ่งคิดแล้วก็ให้รู้สึกตื่นเต้น
เพราะแม้การเดินทางอย่างโดดเดี่ยวคราวนี้เธอจะดูใจกล้าแต่ลึก ๆแล้วเธอก็รู้สึกกลัวอยู่เหมือนกัน
หลังเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ไม่นานพนักงานบริการบนเครื่องนำอาหารว่างมาเสิร์ฟวาสิตาส่งยิ้มเป็นการขอบคุณก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าจนเกลี้ยงสักพักก็เอนตัวลงนอนและหลับไป
'เนเฟอฮามุนผู้งดงามของข้า
น้องสาวของข้า เจ้ามาหาข้า เจ้ากลับมาหาข้า' เสียงนั้นดังมาจากที่ห่างไกลแต่ดูเหมือนใกล้แค่ไรผมของเธอมันเป็นเสียงชายหนุ่มผู้รอคอยใครสักคนแต่เอ๊ะ!เขาเรียกหาน้องสาวงั้นหรือ?
ใครกันและมีใครได้ยินเหมือนที่เธอได้ยินหรือเปล่าหรือว่าตอนนี้เธอกำลังหลับและฝันไปเท่านั้น
เผ่าอัล-ซาฮาน
ในช่วงเวลาย่ำรุ่งที่ฟ้ายังสลัว
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ในชุดประจำชาติอาหรับหยุดยืนบริเวณหินก้อนใหญ่บริเวณอันเป็นสถานสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีร่างบรรพบุรุษของตระกูลถูกฝังอยู่ที่นี่เขาจ้องมองหินก้อนนั้นเงียบ
ๆ ตามลำพังไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเขาถึงหวงแหนพื้นที่แห่งนี้นักแม้แต่ซูนัคเซนผู้เป็นน้องชายเพียงคนเดียว
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบริเวณด้านหน้าของก้อนหินใหญ่จากนั้นวางมือบนตักและหลับตา
ท่องคาถาเป็นภาษาอียิปต์โบราณเป็นถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์เพื่อบูชาเทพเจ้าประจำเผ่าเขาจะมาทำสมาธิทุกครั้งก่อนเดินทางออกจากเผ่าการกระทำสมาธิด้วยพิธีโบราณนี้
ทำให้เขาค้นพบความสบายใจในวิถีทางดั้งเดิมหลังจากต้องผจญความสูญเสียบิดามารดา
ร่างสูงลุกขึ้นยืนโค้งศีรษะคำนับด้วยจิตสงบกระทั่งเสียงกระพือปีกของอะไรบางอย่างดังท่ามกลางความเงียบครั้นเงยหน้าจึงได้เห็นนกพิราบขาวบินอยู่เหนือศีรษะ
'เทพีไอซิสจะบอกสิ่งใดกับเขาหรือ..?'
ฮาจารีประหลาดใจที่เห็นนกขนขาวผ่องตัวนั้นบินหายไปทางตัวเมืองไคโร
กลิ่นหอมจาง ๆ
เขาไม่เคยได้กลิ่นอย่างนี้มาก่อนกลิ่นหอมนั้นลอยมากับสายลม..หรือจากนกสีขาวตัวนั้นกันแน่!
วาสิตานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่บนเครื่องบินนานจนนับชั่วโมงไม่ถูกการเดินทางของเธอก็ถึงจุดหมาย
สนานบินกรุงไคโรค่อนข้างเก่าอากาศที่นี่ร้อนอบอ้าว
อาจเป็นเพราะหญิงสาวมาจากเมืองหนาวพอมาสัมผัสดินแดนทะเลทรายจึงรู้สึกอากาศต่างกันสุดขั้ว
เธอเดินไปตามทางพร้อมผู้โดยสารคนอื่น ๆ ท้องฟ้ายังมืดสลัว
ดียังมีแสงไฟจากอาคารด้านหน้าให้ความสว่าง ไม่เช่นนั้นทางเดินคงมืดไปหมด
สาวชาวไทยอดคิดไม่ได้ว่าอียิปต์ช่างประหยัดไฟเสียจริงเทียบไม่ได้กับเมืองไทยเปิดไฟสว่างไสวทุกหัวมุมเมือง
วาสิตายกประเป๋าใบใหญ่ของตนออกจากสายพานรับกระเป๋าแม้จะมีใบเดียวแต่ก็หนักเอาการ
เธอแบกมันไว้ข้างหลังส่วนเป้ใบเล็กหญิงสาวก็นำมันห้อยคอไว้ เธอไม่ลืมขอพรจากเทพเจ้าฮอรัสเทพเจ้ายอดนักสู้แห่งปฐพีอียิปต์เสร็จแล้วสูดหายใจรับพลังความกล้าก่อนก้าวเข้าไปในตัวอาคารที่เชื่อมต่อกับสถานีผู้โดยสาร
ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองแล้วเธอก็แลกเปลี่ยนเงินตราเตรียมไว้ใช้จ่ายภายในประเทศ
โดยในอาคารมีเคาน์เตอร์ของธนาคารรับแลกเปลี่ยนเงินตรา
ซึ่งทุกข้อความไม่ว่าจะเป็นป้ายประกาศหรือเอกสารต่าง
ๆจะมีภาษาอังกฤษควบคู่ไปกับภาษาอารบิกมีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้นักท่องเที่ยววาสิตารู้สึกว่าตัวเองออกจะโชคดีอยู่หน่อยในเรื่องภาษาท้องถิ่นเพราะเธอเคยฝึกพูดกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน
ซึ่งเป็นชนชาวอาหรับ
แลกเงินเรียบร้อยแล้ว
วาสิตานำพาเจ้ากระเป๋าคู่ใจก้าวออกมาจากตัวอาคารดวงตากลมเบิกกว้างอย่างตะลึง
ด้วยบรรดารถแท็กซี่จอดรอรับผู้โดยสาร
เรียงคันกันยาวเหยียดสารถีประจำรถแท็กซี่คันแรกนิ่วหน้าแสดงความผิดหวัง
ต่อเมื่อเธอเดินผ่านรถบุโรทั่งของตนเธอส่ายหน้าเหนื่อยหน่ายกับแสงไฟหน้ารถคันอื่น
ๆ สาดส่องเรียกร้องความสนใจไม่ลดละ
วาสิตาคิดว่าเธอมีแผนการเดินทางที่แน่นอนจึงแวะมองหาของกินใส่ท้องแก้หิวดีกว่า
จะรีบร้อนไปทำไมในเมื่อห้องพักเธอก็จองเอาไว้แล้ว
หญิงสาวเลือกเดินเข้าไปในร้านไก่ทอดชื่อดังสัญชาติอเมริกันเพราะอย่างน้อยก็เป็นเมนูสากล
ไม่ต้องลุ้นอาหารพื้นเมืองที่เธอไม่คุ้นชินการตกแต่งร้านก็ไม่ต่างอะไรกับสาขาในประเทศอื่น
ๆจะต่างกันก็เรื่องแถวของลูกค้า ชายหญิงห้ามเข้าแถวปนกัน
กระเป๋าใบโตบนหลังสร้างความลำบากในการต่อแถวเข้าคิวของหญิงสาวเป็นอย่างมากแถวรึก็ยาวเหยียด
จำนวนแถวแบ่งเพศก็ยังมาสร้างความช้ำใจเข้าไปอีกมีผู้ชายอยู่นิดเดียวแต่ให้สิทธิ์ถึงสามแถวผู้หญิงจำนวนเยอะกว่ากลับให้ยืนต่อกันได้แถวเดียวสองมาตรฐานชะมัด'เฮ้อ!'เสียงถอนใจของหญิงสาวที่มาจากดินแดนเสมอภาคคิดแล้วก็ให้น้อยใจแทนสตรีอียิปต์
วาสิตาทนหิวจนไส้กิ่วกว่าจะถึงคิวได้สั่งอาหารกับเขาซื้ออาหารเสร็จยังต้องลำบากในการมองหาที่นั่งกินอีกจะมีโต๊ะตรงไหนว่างพอวางสัมภาระใบมหึมานี้ได้อย่างปลอดภัยไหมหนอ
'อ้อ เจอพอดี'ร่างบอบบางยิ้มออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นว่าทางด้านขวามือมีโต๊ะเล็กว่างอยู่ตัวหนึ่งมีเก้าอี้หนึ่งตัวเหมาะกับผู้มาคนเดียวอย่างเธอพอดีแต่เพราะที่นั่งอยู่ชิดผนังหญิงสาวจึงวางกระเป๋าเดินทางเอาไว้ด้านนอก
ส่วนกระเป๋าใบจิ๋วห้อยคออยู่นั้น
คงไม่เป็นการดีถ้าเธอจะห้อยมันเป็นเป้าสายตาพวกมิจฉาชีพ
เธอจึงปลดมันออกจากคอแล้วยัดมันลงในช่องใส่ของด้านหน้ากระเป๋าใบใหญ่รูดซิปแล้วก็หันมาจัดการกับอาหารตรงหน้า
อาจเพราะเธอเป็นผู้หญิงแปลกตาเพียงคนเดียวในร้านจึงตกเป็นเป้าสายตาลูกค้าท้องถิ่น
แม้พยายามไม่สนใจแต่ก็ห้ามอาการประหม่าไม่ได้
กินอาหารเสร็จก็ลุกพรวดไปยังจุดบริการอ่างล้างมือ ไม่นานก็เดินกลับมา
นั่งย่อยอาหารผ่อนคลายตนเองสักพัก เตรียมกายพร้อมการเดินทาง
มองออกไปภายนอกบรรยากาศยังสลัว ๆ
ไม่สว่างดีนักทว่าได้เวลาไปโรงแรมที่จองห้องพักไว้แล้ว
"ได้เวลาตะลุยไคโรแล้วนะ
วาสิตา" หญิงสาวรำพันบอกตัวเองราวตื่นเต้นกับการผจญภัย
ลุกขึ้นลากเป้ใบใหญ่มาใกล้ตัว รูดซิปเปิดช่องใส่ของด้านหน้าจะหยิบกระเป๋าใบเล็ก
ทว่าเมื่อควานมือลงไปก็ถึงกับหน้าซีดมือสั่น เพราะพบแต่ความว่างเปล่า
กระเป๋าใบเล็กของเธอหายไป!
“บ้าเอ๊ย! มันหายไปไหน?"
วาสิตาบ่นพึมพำพลางรีบลากเจ้ากระเป๋าใบใหญ่มาใกล้ตัวที่สุดพยายามล้วงมือลงไปควานหาเจ้ากระเป๋าใบจิ๋วอีกครั้งอากัปกิริยาร้อนรนของคนใบหน้าซีดเซียวคงผิดสังเกตผู้คนรอบข้างจึงต่างจ้องเธอเป็นจุดเดียว
'ให้ตายสิ ฉันจะทำยังไงดี
มันหายไปจริง ๆ ด้วย'
หญิงสาวรื้อค้นจนแน่ใจว่ามันได้อันตรธานไปจริงๆ
ร่างบอบบางทิ้งตัวลงนั่งอย่างเหนื่อยอ่อน พลางคร่ำครวญในใจเธอจะทำอย่างไรล่ะทีนี้
กระเป๋าสตางค์ วีซ่าทุกสิ่งทุกอย่างของเธอหายไปพร้อมกับมัน!
วาสิตาลุกเดินไปขอความช่วยเหลือจากพนักงานภายในร้านอย่างน้อยอาจจะมีใครสักคนในร้านเห็นรูปร่างหน้าตาเจ้าหัวขโมยบ้างแต่เมื่อเห็นทุกคนส่ายหน้าเป็นคำตอบ
เธอยิ่งใจเสียค่าโรงแรมห้องพักเธอชำระค่าจองไว้เท่านั้นแล้วยังไม่มีหลักฐานยืนยันการจอง
ทางโรงแรมคงไม่ยอมให้เข้าพักแน่ ๆ
คนในร้านเริ่มจับกลุ่มคุยกันล้งเล้งเป็นภาษาอารบิกมองเห็นปากคนนั้นคนนี้ขยับไม่หยุด
ยิ่งเครียดจัดความรู้สึกของเธอตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมูที่ถูกจับใส่สายพานเลื่อน..เลื่อนไปเรื่อยๆจนไปสู่จุดจะถูกชำแหละเป็นชิ้น
ๆ
ยังไม่ทันเรียกสติกลับคืนมาก็มีมือใครคนหนึ่งคว้าต้นแขนเธอลากออกมายืนภายนอกร้านด้วยกันเขาคนนั้น
เป็นหนุ่มอาหรับอายุน่าจะย่างเลขสาม ผิวคล้ำจัดหน้าตาดีแต่งกายสุภาพ
เขาดูใจดีโดยเฉพาะสีหน้าของเขาแสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ ในความโชคร้ายของเธอ
"ผมคิดว่าคุณควรไปโรงพัก
เพื่อขอความช่วยเหลือจากตำรวจนะครับ"เขาใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้คล่องเลยทีเดียว
วาสิตายิ้มขอบคุณ
แต่เธอเพิ่งจะเหยียบย่างมาอียิปต์เป็นครั้งแรกจะให้เธอรู้จักทางไปโรงพักที่ไหนล่ะ
"เอ่อ..พอดีฉันเพิ่งมาอียิปต์เป็นครั้งแรกค่ะ"
เขาเลิกคิ้ว "คุณเพิ่งเคยมาที่นี่งั้นหรือ?" เขาถามย้ำ พึมพำบางอย่าง แล้วออกตัวจะช่วยเหลือ "งั้นไม่เป็นไร
ผมจะพาคุณไปเอง"
"ขอบคุณมากค่ะ
คุณช่างเหมือนเทพมาโปรดจริง ๆ"วาสิตายิ้มกว้าง
เธอมืดแปดด้านเกินกว่าจะพินิจสิ่งใด
หญิงสาวขอตัวกลับเข้าไปในร้านเอากระเป๋าใบใหญ่
และกลับออกมาเดินตามเขาต้อย ๆ ไปขึ้นรถเก๋งค่อนข้างเก่าจอดไกลจากร้านอาหารเล็กน้อย
ต่อเมื่อนั่งรถมากับเขาได้สักระยะหญิงสาวก็รู้สึกแปลก
ๆ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร หัวใจเธอก็มีแต่ความอึดอัด
ด้วยพฤติกรรมของเขาชอบลอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่พอเธอสบตาเขาก็ตีหน้าขรึม
‘เทพโอซิริส ช่วยลูกด้วย’
วาสิตาภาวนาขอพลังเทพเจ้าโอซิริสช่วยปกป้อง แต่ดูเหมือนเธอจะลืมชีวประวัติ'เทพอานูบิส' ผู้นำพาดวงวิญญาณไปสู่ดินแดนแห่งความตายเสียสิ้น
ระหว่างนั้นสายตาพลันสะดุดป้ายเขียนเป็นภาษาอารบิกตัวใหญ่มีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้านล่าง
'สถานีตำรวจ' ดวงตาหญิงสาวถึงกับเบิกกว้างดีใจกับสถานที่ที่จะทำให้เธอได้รับความช่วยเหลือแต่สารถีหนุ่มเจ้าถิ่นกลับทำเป็นไม่เห็นหมุนพวงมาลัยหักเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนอีกด้านซึ่งเป็นคนละทาง!
วาสิตาหันขวับจ้องเขาเขม็ง
แต่ดูเหมือนเขาจะไม่ยินดียินร้ายสายตาของเธอแล้วยังจะตั้งหน้าตั้งตาขับตะบึงไปเรื่อยเหมือนไม่อยากให้ความตั้งใจบางอย่างหยุดชะงักสักนาที
'เอาเข้าแล้วมั้ยล่ะวาสิตา
โดนแขกหลอกพาไปไหนล่ะเนี่ย' หัวใจของเธอเต้นระทึก
หวาดกลัวต่อการกระทำของเขา
"นี่จะไปไหนของคุณ
สถานีตำรวจอยู่ทางโน้นนะ!"
แม้จะใช้เสียงพูดกับเขาดังเพียงใดเขาก็ยังนิ่งเฉยมีเพียงแววตาเยียบเย็น
บ่งบอกให้เธอรู้ว่าชายผู้นี้เป็นมิจฉาชีพอย่างแน่นอน
‘ทำไงดี’
วาสิตาคิดหาวิธีออกจากรถเร็วเท่าความคิดเธอใช้จังหวะรถชะลอความเร็วเพื่อหักเลี้ยวเข้าสู่ทางเล็กแคบ
ผลักบานประตูที่ไม่ค่อยแข็งแรงนักด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด
ประตูเปิดออกก็พุ่งตัวไปนอนบนพื้นร่างบอบบางล้มลุกคลุกคลาน
ตั้งสติได้ก็กระเสือกกระสนลุกวิ่งอย่างทุลักทุเลความกลัวทำให้ไม่รู้สึกรู้สาความเจ็บปวดของร่างกาย
รู้แต่ว่าทุกวินาทีต้องเร่งฝีเท้าให้เร็ว
หลับหูหลับตาวิ่งชนิดไม่คิดเหลียวหลังยิ่งได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งไล่ล่าตามหลังยิ่งทวีความกลัวจนเสียขวัญ
หญิงสาวเสียสติสุดขีดขณะวิ่งออกสู่ถนนใหญ่แล้วไม่ทันเห็นรถยนต์คันหนึ่งที่แล่นตรงมาพอดีโครม!
รถคันนั้นไม่ได้ขับเร็วนัก
แต่ก็ปะทะร่างบอบบางล้มลงไปกลิ้งบนพื้นวาสิตาชาวูบไปหมดทั้งตัว
ไม่นานสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับลงจนกระทั่ง
"ลืมตาสิ
น้องสาวของข้า.."
'ใคร..เสียงใคร?' วาสิตาร้องถามในใจเมื่อได้ยินเสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นในมโนสำนึกเธอพยายามจะเปิดเปลือกตาแต่มันไม่ขยับและเธอไร้เรี่ยวแรงเหลือเกินชั่วขณะหญิงสาวได้ยินเสียงหายใจแรงของใครคนหนึ่ง
เขากำลังขยับเข้ามาใกล้ใบหน้าของเธอจากนั้นก็ได้ยินเขาพูดสื่อสารกับอีกคนด้วยภาษาท้องถิ่น
"เธอคงฝันร้าย"
ฮาจารีก้มมองใบหน้าหญิงสาวที่กำลังนอนหมดสติ
หญิงสาวสลบไปหลังจากวิ่งมาปะทะรถของเขาวงหน้ารูปไข่สวยใสเกลี้ยงเกลา
คิ้วดำเรียวขนตางอนงามเรียงเป็นแพริมฝีปากล่างอวบอิ่มริมฝีปากบนบางหยักคล้ายรูปหัวใจผมดำยาวเหยียดตรงเกือบถึงบั้นเอว
ผู้หญิงคนนี้สวยถูกใจเขาจริง ๆ
"พาเธอไปกับเรา ชาระ"
ชายหนุ่มออกคำสั่งกับผู้เป็นลูกน้องซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำสั่งนั้นก่อนที่วาสิตาจะได้ยินเสียงฝีเท้าของชายคนดังกล่าวเดินห่างออกไปตามด้วยเสียงเปิดประตูรถพร้อมกับสัมผัสที่แสดงถึงความอ่อนโยนจากท่อนแขนของชายผู้อุ้มเธอขึ้นและเมื่อเธอถูกนำมาร่วมขบวนเดินทาง
พวกเขาก็เริ่มสนทนากัน
"เราต้องพาเธอกลับไปด้วยเหรอครับ"
ชาระถามย้ำ
"คงต้องเป็นแบบนั้น
ผู้หญิงคนนี้กำลังได้รับบาดเจ็บ จำเป็นต้องนำเธอไปรักษาตัว ไปกันเถอะ"
ฮาจารีเอ่ยตอบเสียงเรียบ
"ครับ..นายท่าน" ชาระ
ลูกน้องคนสนิทซึ่งทำหน้าที่สารถีรับคำสั่งจากนั้นสตาร์ทรถ
รถเคลื่อนตัวด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก
'ฉันจะถูกพาไปไหนอีก' วาสิตารู้ซึ้งว่าพวกเขากำลังช่วยเหลือแต่ถ้าถึงขนาดต้องพาเธอไปไหนด้วยไม่ดีเลยได้โปรดรอให้เธอฟื้นตัวก่อนได้ไหม
แล้วเธอจะดูแลตัวเองลืมตาได้ก็อยากจะบอกพวกเขาแบบนี้ แต่ความอ่อนเพลียนี่สิ
มันทำลายเรี่ยวแรงของเธอจนไม่เหลือหลอ
“..”หญิงสาวสะดุ้งตื่นจากอาการหลับใหลก่อนจะคิดด้วยความสงสัยว่าตอนนี้เธออยู่ทีไหนกัน
ทำไมมันจึงมืดไปหมดเธอกำลังวิ่งหนีคนใจร้ายที่หลอกเธอขึ้นรถไปอยู่ไม่ใช่หรือแล้วเหตุใดเธอจึงมานอนอยู่ตรงนี้
ดวงตากลมโตปรับแสงได้แล้วก็มองกวาดไปรอบบริเวณมันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กอับชื้นและไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดและความว่างเปล่าที่สร้างบรรยากาศให้แสนหดหู่
ทันใดนั้น ประตูห้องค่อย ๆ แง้มออก
มีแสงเล็ดลอดเข้ามาพร้อมร่างเงาของใครคนหนึ่ง
เขายืนตระหง่านอยู่หน้าประตูเธอเงยหน้าขึ้นสบดวงตา
แล้วก็เห็นว่าดวงตาคู่นั้นมองตอบกลับมาด้วยความเมตตาปรานี
ความรู้สึกกำลังหวาดกลัวจึงกลับกลายเป็นความรู้สึกปีติยินดี
ซึ่งไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม
เธอรู้สึกขอบคุณถ้าเขามาเพื่อช่วยเหลือทว่าแววตาแห่งความปรานีก็กลับเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน
จากอ่อนโยนกลายเป็นมีสีแดงวาวน่าหวาดกลัว และเมื่อมือของเขาขยับ
ขวับ ! ขวับ ! ขวับ !
แส้ยาวตวัดลงพื้นเพื่อข่มขวัญมันอยู่ในมือของเขา..เรือนร่างบอบบางลนลานสั่นเทารู้ในทันทีว่าตนกำลังจะได้รับความเจ็บปวดจากเงื้อมมือชายคนนั้น
"อย่านะ! อย่า!
ช่วยด้วยค่ะ..ช่วยด้วย!"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น