นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา
วันต่อมาวาสิตาขอให้โอมานนำรถมาให้เธอขับสำรวจรอบบริเวณที่ตั้งเป็นแหล่งขุดค้นทางโบราณคดี เธอขอเป็นคนขับโดยมีเพื่อนชายคอยบอกระยะทางให้
“หยุดก่อน!”
เสียงสั่งให้หยุดรถของโอมานดังขึ้น ก่อนหยิบกล้องส่องทางไกล
ส่องดูเนินทรายเบื้องหน้า
“หยุดดูอะไรเหรอโอมาน?” วาสิตาร้องถามด้วยความสงสัย
“เนินทรายข้างหน้า
เราเกือบเข้าเขตต้องห้ามแล้ว” โอมานหันมาตอบ
ได้ฟังแล้วตกใจ หญิงสาวรับกล้องจากมือเพื่อนแล้วส่องดูบ้าง “ตรงนี้เองหรือเนี่ย” เธอเอ่ยรำพัน พลางคิดว่าเจ้าของพื้นที่คงมีเรื่องไม่พอใจอีกถ้าเธอกับเพื่อนรุกล้ำเข้าไป
เธอหันไปสบตาโอมาน เห็นเพื่อนชายสลัดศีรษะของตัวเองที่เปื้อนฝุ่นทราย ก่อนจะพูดเตือนด้วยท่าทางหวาดกลัว
“อย่าเข้าไปในดินแดนอาถรรพ์นั่นเลยนะ
ฉันกลัวคำร่ำลือเรื่องผู้บุกรุกถูกสูบลงใต้ผืนทราย”
“ไม่พาไปหรอกน่า พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้อยู่แล้ว”
เธอนึกถึงกลุ่มนักรบผู้มีหน้าที่คุ้มกันอาณาบริเวณ ซึ่งฮาจารีเล่าว่าบรรพบุรุษให้การปกป้องพื้นที่เข้มงวดมาก ทว่าพอคิดอีกทีก็น่าเสียดาย “มาใกล้ถึงขนาดนี้แล้ว เสียดายจัง”
“ถามจริง ท่านฮาจารีไม่เคยพาเธอมาบริเวณนั่นเลยหรือ” โอมานแปลกใจ เพราะรู้มาว่าเพื่อนสาวมาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอัล-ซาฮานก่อนหน้านั้นสองสามวันแล้ว
“ไม่เคย
และฉันก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอให้เขาพาไปไหน ๆ แค่ที่เขาให้การเอื้อเฟื้ออยู่ทุกวัน
ฉันก็ไม่รู้จะตอบแทนเขายังไงแล้ว”
“เอื้อเฟื้ออะไรกัน
นั่นน่ะเขาเรียกความอาทร” โอมานท้วงมาเป็นถ้อยคำแฝงความนัย คนฟังทำตาเขียวใส่
“ไม่ต้องมาเบี่ยงเบนประเด็นฉันเลย เอาล่ะเราพูดถึงเรื่องจะสำรวจรอบ ๆ บริเวณขุดใช่มั้ย
ถ้าข้างหน้าผ่านไม่ได้เราก็ถอยไปตั้งหลักใหม่แล้วกัน ซาฮาราออกกว้างต้องมีที่ทางให้เราเที่ยวเล่นล่ะน่า”
กลับมาถึงเต็นท์ซูนัคเซนกำลังนั่งรอ เขาเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้ โอมานได้ทีรีบรายงาน เรื่องหญิงสาวขับรถสำรวจเกือบข้ามเขตหวงห้าม
วาสิตาสังเกตว่าซูนัคเซนไม่ได้มีปฏิกิริยาเลย เขายืนนิ่ง ๆ ฟังโอมานสาธยายจนจบ ก่อนจะหยิบชิ้นส่วนวัตถุมาเทียบในสมุดจดบันทึกของเธอ ในวินาทีนั้นเธอนึกอยากจะถามเอาคำตอบบางอย่างจากเขา
วาสิตาสังเกตว่าซูนัคเซนไม่ได้มีปฏิกิริยาเลย เขายืนนิ่ง ๆ ฟังโอมานสาธยายจนจบ ก่อนจะหยิบชิ้นส่วนวัตถุมาเทียบในสมุดจดบันทึกของเธอ ในวินาทีนั้นเธอนึกอยากจะถามเอาคำตอบบางอย่างจากเขา
“ซูนัคเซนคะ คุณไม่บอกคนในคณะขุดค้นว่าดินแดนอาถรรพ์นั้นอยู่ตรงไหน
เพราะคุณก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนเหมือนกันใช่ไหม” หางตาซูนัคเซนกระตุกขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะวางวัตถุในมือแล้วหันมากล่าวชื่นชม
“เธอฉลาดมากสาวน้อย เหตุผลสำคัญที่ฉันไม่สามารถบอกได้อย่างหนึ่ง ก็เพราะทะเลทรายมีกระแสลมพัดผ่านตลอดเวลา บางครั้งเกิดเป็นคลื่นโถมขนาดใหญ่หอบทรายให้ทับถมกัน จนบางสถานที่ซึ่งเคยเป็นเมืองยังต้องจมอยู่ใต้ผืนทราย ฉันไม่อยากเห็นใครต้องจมลงไปเช่นนั้น อีกอย่างมีเรื่องเล่าดินทรายสูบคน เธอคงจะเคยได้ยิน”
ซูนัคเซนหยุดถอนใจยาว ขณะมองอย่างไร้จุดหมายไปยังผืนทรายอยู่ไกลลิบ เขานึกในใจว่าหญิงสาวต่างแดนพูดผิดไปนิดหนึ่ง ตรงเขารู้ว่ามันเป็นดินแดนอาถรรพ์ที่ฝังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่ไม่รู้คือมันถูกฝังอยู่ตรงจุดไหนของผืนทราย
“เธอฉลาดมากสาวน้อย เหตุผลสำคัญที่ฉันไม่สามารถบอกได้อย่างหนึ่ง ก็เพราะทะเลทรายมีกระแสลมพัดผ่านตลอดเวลา บางครั้งเกิดเป็นคลื่นโถมขนาดใหญ่หอบทรายให้ทับถมกัน จนบางสถานที่ซึ่งเคยเป็นเมืองยังต้องจมอยู่ใต้ผืนทราย ฉันไม่อยากเห็นใครต้องจมลงไปเช่นนั้น อีกอย่างมีเรื่องเล่าดินทรายสูบคน เธอคงจะเคยได้ยิน”
ซูนัคเซนหยุดถอนใจยาว ขณะมองอย่างไร้จุดหมายไปยังผืนทรายอยู่ไกลลิบ เขานึกในใจว่าหญิงสาวต่างแดนพูดผิดไปนิดหนึ่ง ตรงเขารู้ว่ามันเป็นดินแดนอาถรรพ์ที่ฝังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ที่ไม่รู้คือมันถูกฝังอยู่ตรงจุดไหนของผืนทราย
“ดินแดนแห่งนั้นไม่มีใครย่างกรายเข้าใกล้ได้
อีกทั้งฮาจารีกีดกันไว้เป็นเขตหวงห้าม"
หวังว่า..เทพเจ้าจะประทานดวงตาให้เขาได้มองเห็นแม้เพียงทางเข้าอันน้อยนิด ประโยคสุดท้ายซูนัคเซนรำพึงภายในใจ เมื่อเห็นดวงอาทิตย์คล้อยตัวลงมากแล้ว
และเวลาของการออกตามหากำลังจะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
หลังจากซูนัคเซนเดินออกจากเต็นท์ ปล่อยให้หญิงสาวและเพื่อนชายทำงานร่วมกันตามลำพัง เธอก็ได้โอกาสพูดคุยกันเรื่องความเชื่อและความศรัทธาของชนเผ่า
“ฮาจารีเคยบอกว่า
ทั่วแผ่นดินอียิปต์เชื่อมั่นว่าเทพเจ้าจะนำผลผลิตอันอุดมสมบูรณ์มาสู่ชั่วลูกชั่วหลานอีกทั้งพลังศรัทธาจะนำความหวังและความตั้งใจไปสู่ความสำเร็จ
โอมานผู้ปกครองของนายศรัทธาและเชื่อมั่นในเทพเจ้า เหมือนคนในหมู่บ้านฮาจารีหรือเปล่า?”
“เธอหมายถึงอะไรล่ะ?”
“พลังศรัทธาจะนำความหวังและความตั้งใจไปสู่ความสำเร็จ”
คำถามของเพื่อนสาวทำให้โอมานหยุดนิ่งไปทันที
จริงสิ..! เขาได้ยินเสียงบทสวดจากห้องซูนัคเซนทุกค่ำคืน
แต่ที่น่าแปลกคือซูนัคเซนไม่เคยพูดถึงเลย
“เขาไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ฉันฟัง แม้บางครั้งฉันจะนึกสงสัยว่าเขากำลังทำอะไร แต่ฉันไม่กล้าถามเขาเรื่องนี้หรอก”
“นายกำลังบอกฉันว่านายสงสัยเขาหรือ
แล้วเรื่องอะไรล่ะ?”
“วาสิตา
ฉันว่าเราไม่ควรเข้าไปยุ่ง..” ชายหนุ่มเอ่ยห้าม แต่อีกฝ่ายรีบหยิบยกเหตุผล
“ฉันไม่ตั้งใจยุ่งเรื่องของเขา ฉันแค่รู้สึกว่าเขากำลังเชื่อมั่นกับอะไรบางอย่าง และความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขาสมหวังได้”
“วาสิตา
ไม่ว่าบ้านไหนเมืองไหนต่างมีความเชื่อเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ให้เรามีความหวังกับอะไรต่อมิอะไรทั้งนั้นแหละ”
โอมานให้เหตุผลย้อนกลับ
“นายกำลังจะบอกฉันว่า ความเชื่อทำให้เกิดสิ่งปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ?”
“งั้นสิ เออนี่ หมดเวลางานนานแล้ว เธอเตรียมเดินทางกลับกันเถอะ
ถ้าผู้ปกครองของเธอเกิดไม่พอใจที่ฉันไปส่งเธอช้า
เธออาจไม่ได้มาร่วมงานกับเราอีกนะ” โอมานตัดบทด้วยการชี้ให้เห็นว่าเลยเวลานัดหมายแล้ว แต่นั่นไม่ทำให้เธอนึกเคืองอีกฝ่ายเท่าเรื่องบุคคลที่เขาหยิบยกมาขู่อยู่เรื่อย ๆ
“เลิกถามก็ได้
นายก็เลิกขู่ฉันเรื่องฮาจารีเสียที ว่าแต่นายเถอะไม่คิดถึงเธอที่บ้านนายบ้างหรือไง”
“อ้อ
เรื่องนี้ฉันต้องขอโทษเธอด้วย” สีหน้าโอมานเจื่อนลงนิดหน่อย บ่งบอกถึงความสำนึกผิด
“ขอโทษฉัน หมายความว่ายังไง” วาสิตาเลิกคิ้วฉงน
“ก็ที่ฉันเคยบอกเธอว่า ฉันมีภรรยาแล้ว จริง ๆ ฉันยังไม่มีใคร ที่ต้องบอกเธอไปอย่างนั้นเพราะอยากให้เธอคบฉันอย่างสบายใจ
อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องกังวลว่าฉันจะทำให้เธออกหักหรือเปล่า”
ประโยคท้ายถึงกลับทำให้เธอมองค้อน ได้ทีประชดแบบขำ ๆ “แหม..โกหกจนฉันเชื่อเลยนะเนี่ย”
แถมท้ายเธอยังลากเสียงต่ำ เอ่ยถามเขาอย่างจับผิด “หวังว่านายจะไม่โกหกฉันเรื่องอื่นด้วยนะ นายโอมาน"
“ไม่มีเรื่องอื่นเลย และที่โกหกก็เพราะอยากเป็นเพื่อนกับเธอจริง ๆ ไม่มีเจตนาอื่น”
โอมานสารภาพด้วยความจริงใจ
รถจิ๊บหรือคนอียิปต์เรียกรถเดินทะเลทรายเคลื่อนตัวออกจากบริเวณเต็นท์งาน จังหวะนั้นวาสิตาเหลือบไปเห็นท้ายรถจิ๊บอีกคันของซูนัคเซนแล่นไปอีกทิศทางหนึ่ง เธอเอ่ยถามโอมาน
“ผู้ปกครองของนายจะไปไหนเหรอ?”
“เขาจะไปหมู่บ้านอัลฮาจิด
เพื่อประสานงานขุดค้นกับคนงานที่นั่น
และจะต้องเดินเรื่องติดต่อกับทางรัฐบาลอียิปต์ เพื่อขอใบอนุญาตขยายพื้นที่การขุดค้นใกล้เขตหวงห้ามของหมู่บ้านตระกูลอัล-ซาฮาน เขาคิดว่าจะทำเรื่องขอสำรวจซากเมืองโบราณที่อยู่บริเวณนั้น
การทำงานเอกสารในอียิปต์ลำบากและเสียเวลามาก
ส่วนใหญ่คณะขุดค้นจะเริ่มลงมือทำงานกันเลยระหว่างรอใบอนุญาต”
วาสิตาพยักหน้าตอบรับคำบอกเล่าของชายหนุ่ม ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับภาพทะเลทรายเบื้องหน้า
ในค่ำคืนพระจันทร์สีเหลืองนวลงามเด่นท่ามกลางผืนฟ้าสีดำสนิท ม้านับสิบตัวพร้อมกลุ่มคนนั่งอยู่บนหลังของมันกำลังย่ำไปตามผืนทรายอาณาบริเวณพื้นที่อาถรรพ์ อากาศเยี่ยบเย็นเหน็บหนาว
แม้คนชนเผ่าพื้นเมืองอย่างกลุ่มคนนี้ยังรู้สึกหนาวสะท้าน
ซูนัคเซนและชาไฮน์ต่างใช้ช่วงเวลายามค่ำคืนในการค้นหาทางเข้าสุสานศักดิ์สิทธิ์
ต่างคนต่างวนเวียนขุดค้นแต่ทว่าไม่พบสิ่งใดอีกตามเคย
จนชาไฮน์ปกติเป็นคนอึดอดทน ก็ยังไม่พ้นจะบันดาลโทสะ
“มันซ่อนไว้ใต้ผืนทราย
แต่ไม่รู้จะหามันตรงไหน นี่เราแฝงตัวเข้ามาร่วมกันหาก็ปาเข้าไปหลายวันแล้วก็ยังหมดปัญญา หึ ไอ้พวกอัล-ซาฮานมันคงเชื่อมั่นในอาถรรพ์ ถึงกลับวางใจไม่ตั้งเวรยามสักคน ”
คำกล่าวของชาไฮน์ส่งผลให้ลูกน้องอีกหลายคน หันมองตากันเลิ่กลั่ก ด้วยความเกรงกลัวอำนาจอาถรรพ์สูบวิญญาณที่ร่ำลือกันมาแสนนาน
“ท่านก็อย่าได้คิดท้อเลย
ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ยากเย็นแสนเข็นก็คงมีคนค้นพบไปก่อนหน้าเราแล้ว”
แม้ซูนัคเซนจะรู้สึกเหยียดหยันความไม่เอาไหนของชาไฮน์ แต่เขาก็จำต้องตีสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้
“มันหลายวันแล้วนะท่าน
แล้วเราก็ต้องมาอยู่ในคราบคนงาน มันไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ท่านจะไม่ให้เราคิดได้อย่างไร เราไม่ใช่คนไร้ซึ่งสกุลเช่นท่านนะ”
ชาไฮน์ตะเบ็งเสียงใส่เพื่อนร่วมขบวนการ
ที่ถือเป็นสหายเฉพาะกิจอย่างไม่ทันฉุกคิด ต่อเมื่อแลเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่าย
เขาจึงต้องรีบปรับเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ เพราะถ้าซูนัคเซนโกรธและล้มเลิกความตั้งใจจะค้นหาศิลาศักดิ์สิทธิ์
อำนาจที่เขาเพิ่งปรารถนาก็อาจถึงขั้นสูญสลาย
“ขออภัยเถอะท่าน เราไม่ทันระวังปาก
หวังว่าท่านคงไม่ถือสา”
“ไม่เป็นอะไรหรอกท่านชาไฮน์
เราเข้าใจความรุ่มร้อนในใจของท่านดี ซึ่งเราก็รู้สึกไม่ต่างกัน แต่ขอให้ท่านรู้ไว้
ว่าเราพยายามแล้วเท่านั้น”
ซูนัคเซนพยายามเชื่อมไมตรีเฉพาะกิจนี้ไว้ อาจจะไม่สมัครสมานหากก็สามารถใช้มันให้เกิดประโยชน์อีกต่อไปได้
ในขณะนั้นม้าพาหนะของทุกคน
เริ่มออกอาการกระสับกระส่ายบ่งบอกความผิดปกติ
เหล่าลูกน้องของชาไฮน์เริ่มกระวนกระวาย
เพราะพวกเขารู้ดีว่าอะไรกำลังจะมาเยือน
ซูนัคเซนและหัวหน้าเผ่าแมกนาต่างแหงนหน้ามองท้องฟ้าเบื้องบน บัดนี้มีสิ่งผิดปกติปรากฏอยู่บนนั้น
เมฆสีดำทะมึนซึ่งอยู่บนขอบฟ้ากำลังพุ่งลอยละลิ่วมายังทิศทางของกลุ่ม พร้อมกับม่านแดงปรากฏตัวขึ้นมาทันที
ดอนทรายตรงหน้าที่เคยเวิ้งว้างเมื่อครู่บัดนี้เริ่มฟุ้งกระจาย
เพราะเม็ดทรายกำลังพุ่งเข้าหาสิ่งมีชีวิตที่มารวมกลุ่มรบกวนความสงบอยู่บนผืนทรายแห่งนี้
“เราหาที่หลบก่อนเถอะท่าน”
ซูนัคเซนเอ่ยบอก หลังจากเขาเริ่มสังเกตอะไร ๆ รอบตัวจนเป็นที่แน่ใจแล้ว
“พายุทราย หาที่กำบังเร็ว” ชาไฮน์ตะโกนสั่งการลูกน้อง เสียงของเขาต้องฝ่าสายลมพัดกระหน่ำแทบฟังไม่ได้สรรพ
เหล่าลูกน้องต่างเร่งฝีเท้าม้าตามผู้เป็นหัวหน้าอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาผ่านไปไม่นานต่อเมื่อพวกเขาตะบึงออกมาพ้นอาณาเขตนั้น ก็ได้สังเกตเห็นว่าพายุทรายได้พาดผ่านไปยังทิศทางอื่นแล้ว
“นี่เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความอาถรรพ์”
ซูนัคเซนกล่าว ถึงอำนาจในการขับไล่ผู้บุกรุกของผืนทรายแห่งนี้
“เราเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้คนถึงได้เกรงกลัวบริเวณนี้นัก" ชาไฮน์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำร่ำลือ ก่อนออกคำสั่งลูกน้อง "กลับกันเถอะ พรุ่งนี้ยังมีอะไรให้เราต้องทำอีกมาก”
ทว่าแม้ชาไฮน์จะยอมรับอาถรรพ์ในพื้นที่ตามความเชื่อของผู้คน แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนใจในการค้นหาศิลาศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้
ภายในห้องนั่งเล่นคืนนี้ฮาจารีก็มานั่งสนทนากับหญิงสาวเช่นเคย นาทีนี้เขากำลังนึกไปถึงเมื่อครั้งที่วาสิตาเคยบอกเขาว่าเพื่อนชายของเธอมีภรรยาแล้ว แต่ในความเป็นจริงชายหนุ่มผู้นั้นยังคงโสดสนิทและที่สำคัญแอบมีใจเสน่หาเธออยู่ลึก ๆ
ฮาจารีเข้าใจว่าโอมานคงไม่กล้าเผยความรู้สึกที่แท้จริงกับวาสิตา เพราะกลัวการปฏิเสธนั่นเอง
จึงคิดใช้ความเป็นเพื่อนเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับหญิงสาว จะว่าไปเจ้าหนุ่มนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับเขา จะต่างก็แต่เขาแสดงความจริงใจเสมอมาว่าคิดกับอีกฝ่ายเช่นไร
“ฮาจารีคะ วันนี้ฉันขับรถสำรวจรอบบริเวณขุดกับโอมาน เกือบเผลอเข้าเขตแดนอาถรรพ์ค่ะ” วาสิตาตัดสินใจบอกเขาเรื่องเธอกับโอมาน เกือบขับรถเข้าไปในเขตหวงห้ามของเขา
“ฮาจารีคะ วันนี้ฉันขับรถสำรวจรอบบริเวณขุดกับโอมาน เกือบเผลอเข้าเขตแดนอาถรรพ์ค่ะ” วาสิตาตัดสินใจบอกเขาเรื่องเธอกับโอมาน เกือบขับรถเข้าไปในเขตหวงห้ามของเขา
“พบกับอาถรรพ์อะไรบ้างล่ะ”
เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนชายของเธอมีท่าทีอย่างไรต่อพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
ชายหนุ่มผู้นั้นจะมีความปรารถนาเดียวกันกับผู้ปกครองของเขาหรือไม่
“ไม่พบอะไรหรอกค่ะ
เพราะฉันเกิดรู้สึกกลัวขึ้นมาก่อน”
“รู้สึกกลัว..?”
“กลัวคำสั่งของคุณไงคะ”
หญิงสาวตอบเน้นคำ คนฟังแค่นเสียงหัวเราะ
“หึ กลัวคำสั่งฉัน แล้วไม่กลัวความอาถรรพ์ที่จะเกิดกับผู้บุกรุกหรือ”
“ฉันไม่รู้สึกกลัวเลยค่ะ ถ้าไม่ติดเกรงคุณจะโกรธ ขอสารภาพค่ะว่าฉันอยากเข้าไปที่นั่นมาก จะมีก็โอมานนั่นแหละ ปกติเขาเป็นคนชอบผจญภัย แต่ดินแดนแห่งนั้นทำให้เขากลัว เขาตะโกนให้ฉันหยุดรถทนทีที่เฉียดเข้าใกล้ ท่าทางเขากลัวอาถรรพ์ในพื้นที่มากค่ะ"
“งั้นหรือ
เขาคงรู้จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาผ่านเข้าไปในเขตนั้น”
ฮาจารีรู้แล้วว่าซูนัคเซนไม่ได้บอกสิ่งใดแก่เด็กในปกครองนั่น คงเพราะอยากจะเก็บเรื่องราวไว้เป็นแผนการส่วนตัว หรือจะมีคนรู้อีกคนก็น่าจะเป็นเจ้าชาไฮน์
“เขาจะถูกลงโทษยังไงคะ ถ้าเผอิญเขาเผลอเข้าไป”
หญิงสาวถามหยั่งเชิง
“จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาถ้าเพียงเขาเผลอ ไม่ตั้งใจ เพราะบทลงโทษจากอาถรรพ์ดินแดนศักดิ์สิทธิ์จะมีให้กับผู้หมายมุ่งไปบุกทำลายเท่านั้น ซึ่งก็คือความตาย” ชายหนุ่มตอบน้ำเสียงต่ำเจือความแข็งกร้าว
วาสิตาเกิดอาการขนลุก เธอร้องถาม “ต้องตายเชียวหรือคะ?” หญิงสาวนึกเป็นห่วงเพื่อนชาย ภาวนาอย่าให้เขาเผลอขับรถผ่านเข้าไปเลย
หัวหน้าเผ่าอัล-ซาฮานพูดย้ำ
“ผืนทรายจะคร่าชีวิตผู้บุกรุกที่มีเจตนาไปรบกวนสุสานบรรพบุรุษ เพื่อนของเธอเล่าเรื่องอาถรรพ์ทรายสูบวิญญาณให้ฟังหรือเปล่า"
“ผืนทรายจะคร่าชีวิตผู้บุกรุกที่มีเจตนาไปรบกวนสุสานบรรพบุรุษ เพื่อนของเธอเล่าเรื่องอาถรรพ์ทรายสูบวิญญาณให้ฟังหรือเปล่า"
“ค่ะ เขายังเตือนให้อย่าเข้าใกล้ แต่ฉันคงต้องเตือนเขาด้วยเหมือนกัน"
“ดูเธอเป็นห่วงเขามาก”
ฮาจารีหรี่ตาจับสังเกต
“เขาเป็นเพื่อนของฉันนี่คะ
อีกอย่างถ้าไม่ได้เขาฉันก็คงใช้ภาษาสื่อสารกับคนของคุณยากขึ้น”
“แล้วมีอะไรอีกที่เกี่ยวกับโอมาน
ที่เธอไม่ได้บอกฉัน” เขาลากเสียงถาม ราวคาดคั้นเอาคำตอบบางอย่าง
“ไม่รู้สิคะ ฉันบอกคุณไปตั้งเยอะ"
“เขาไม่มีภรรยา” ชายหนุ่มพูดเท้าความเป็นนัยถึงสิ่งที่หญิงสาวเคยบอกไว้
“อ๋อ เรื่องนี้..”
วาสิตานึกขึ้นได้ แต่ก็ประหลาดใจที่เขาพูดออกมาก่อน “แต่เอ๊ะ! แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าโอมานไม่มีภรรยา
เพราะฉันก็เพิ่งรู้ว่าเขาโกหกวันนี้เอง”
“ฉันรู้ทุกอย่างที่ต้องการจะรู้”
“คุณสืบประวัติทุกคนที่เข้าใกล้เขตพื้นที่หรือคะ”
“เข้าใกล้เธอต่างหาก”
“ฮาจารี”
ถ้อยคำแสดงความหึงหวง วาสิตาฟังแล้วใจเต้นระส่ำ เขาสนใจเธอถึงขนาดเช็คประวัติบริวารเธอเลยหรือ..
“เอาล่ะ
ไม่ว่าใครจะมีความสัมพันธ์เก่าก่อนกับเธอ แต่ตอนนี้เธออยู่ข้างกายฉัน
ฉะนั้นสิ่งที่ฉันทำได้คือกีดกันคนเหล่านั้นให้ห่างออกไป”
ฮาจารีประกาศความมาดมั่นของตัวเองออกนอกหน้าแบบนั้น
ทำเอาวาสิตาถึงกลับต้องกลั้นยิ้ม
บางครั้งพ่อหนุ่มเคราดกของเธอก็เหมือนเด็กหวงของ หวงมาก
จนไม่อยากให้ใครได้เข้าใกล้ หัวใจเธอไม่คิดปฏิเสธเพราะมันให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ กับเขา
ในขณะนั้นร่างบอบบางขยับตัวลุกขึ้น
ตั้งใจจะเดินไปที่หน้าต่างเพื่อดูพระจันทร์ดวงกลมโต
แต่เขากลับเข้าใจผิดคิดว่าเธอเลี่ยงจะหนี น้ำเสียงจึงกล่าวดังรั้งไว้
“เธอก็เลี่ยงหนีฉันอีกตามเคย”
เธอหันมายิ้มให้กับความขี้น้อยใจของเขา ก่อนกล่าวอย่างอ่อนใจ “ฮาจารีคะ ใจคอคุณจะไม่ปล่อยให้ฉันกระดิกกระเดี้ยไปไหนเลยหรือไง” พูดจบ เธอก็ยืนหันหลังให้ พร้อมทอดสายตาไปบนท้องฟ้า ไม่ทันได้คิดว่าเขาจะลุกขึ้นมายืนซ้อนแล้วโอบแขนรอบเอวเธอ แผ่นหลังของเธอแนบแผงอกกว้างแกร่งของเขา จมูกซุกซนนั่นก็ไม่พ้นโฉบลงมาสูดกลิ่นหอมบริเวณไรผมใกล้ใบหู กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ทาธิยาหมั่นชโลมมาบนผิวกายของเธอ
“เธอหอมเหลือเกินสาวน้อย”
น้ำเสียงเขาแหบพร่าปนความรัญจวน
วาสิตาไม่คิดหลีกหนีจากอ้อมแขนของเขา แต่ก็ต้องเตือนถึงขอบเขตที่พอจะให้เขาสัมผัสได้
วาสิตาไม่คิดหลีกหนีจากอ้อมแขนของเขา แต่ก็ต้องเตือนถึงขอบเขตที่พอจะให้เขาสัมผัสได้
“ให้หอมแค่นี้นะคะ ห้ามเลยเถิด”
“แค่นี้ฉันก็สุขใจเกินพอแล้ว แม้ว่าหัวใจของฉันมันจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา”
เขากระซิบสารภาพออกมาตรง ๆ อ้อมกอดของเขาทำให้หญิงสาวมีปฏิกิริยาบางอย่าง ซึ่งเขารู้ดีว่ามันต้องเกิดขึ้นแน่ ถ้าร่างกายรุ่มร้อนใกล้ชิดกันเช่นนี้
วาสิตาสัมผัสได้ถึงริมฝีปากขยับและลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดอยู่
วาสิตาสัมผัสได้ถึงริมฝีปากขยับและลมหายใจอุ่น ๆ ที่เป่ารดอยู่
เรื่องบังคับใจไม่ให้รู้สึกกับรสสัมผัสของฮาจารี มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอเสียแล้ว ทุกครั้งที่ได้ใกล้เขาหัวใจเธอจะเต้นแรง และเมื่อใดที่เขาถูกเนื้อต้องตัว กายเธอจะสะท้านหวั่นไหวไปหมด
ทว่าเธอจะปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้ มาทำลายความตั้งใจของเธอไม่ได้เด็ดขาด
ทว่าเธอจะปล่อยให้ความรู้สึกเหล่านี้ มาทำลายความตั้งใจของเธอไม่ได้เด็ดขาด
“ดึกมากแล้ว
ฉันคงต้องไปพักผ่อนค่ะ”
วาสิตาพยายามสูดหายใจเข้าลึกเก็บความรู้สึกผิด ที่ทำลายน้ำใจของเขา
ฮาจารีถอนหายใจ พลางมองว่าหญิงสาวมักหาเหตุผลเพื่อให้ได้หนีห่างจากเขา แต่โดยเหตุผลแล้วเขาก็ควรสานสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป
ฮาจารีถอนหายใจ พลางมองว่าหญิงสาวมักหาเหตุผลเพื่อให้ได้หนีห่างจากเขา แต่โดยเหตุผลแล้วเขาก็ควรสานสัมพันธ์แบบค่อยเป็นค่อยไป
“ก็ได้ ฉันจะปล่อยเธอ
แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน” ถึงจะพูดเป็นงานเป็นการ แต่ดวงตาดำคมกลับเป็นประกายพราว ร่างบอบบางในอ้อมแขนค่อย ๆ หันกลับมามองสบตาของเขา
วาสิตามองดวงตาดำคมที่จ้องลึกเข้ามาถึงหัวใจของเธอ จากนั้นก็เห็นความมาดมั่นบางสิ่งบางอย่างในดวงตานั้น
วาสิตามองดวงตาดำคมที่จ้องลึกเข้ามาถึงหัวใจของเธอ จากนั้นก็เห็นความมาดมั่นบางสิ่งบางอย่างในดวงตานั้น
“แลกเปลี่ยนอะไรล่ะคะ”
“ฉันจะปล่อยเธอกลับไปนอนตามที่เธอยกเหตุผลมาอ้าง
แต่เธอต้องจูบลาฉันภายใต้แสงจันทร์นี้”
“อะไรนะคะ!
ฉันไม่เอาหรอกข้อแลกเปลี่ยนแบบนั้น” หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ ใบหน้าร้อนผ่าวและนวลแก้มก็คงจะแดงก่ำ อันเกิดจากอาการเขินอาย
คนบ้า จู่ ๆ ใครจะกล้าจูบ ตั้งแต่โตเป็นสาวก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ลึกซึ้งเช่นนั้นกับชายหนุ่มสักคน
"เธอรังเกียจฉันหรือ" ฮาจารีพูดด้วยสีหน้าเศร้า ๆ จนคนฟังใจอ่อน
"เปล่ารังเกียจค่ะ แต่..ฉันยังไม่เคยจูบกับใครเลย”
คนบ้า จู่ ๆ ใครจะกล้าจูบ ตั้งแต่โตเป็นสาวก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์ลึกซึ้งเช่นนั้นกับชายหนุ่มสักคน
"เธอรังเกียจฉันหรือ" ฮาจารีพูดด้วยสีหน้าเศร้า ๆ จนคนฟังใจอ่อน
"เปล่ารังเกียจค่ะ แต่..ฉันยังไม่เคยจูบกับใครเลย”
“นั่นยิ่งเป็นสิ่งล้ำค่าต่อฉัน เพราะด้วยอำนาจของดวงจันทร์
จะทำให้เธอคิดถึงจูบแรกจากผู้ชายที่รักเธออย่างจริงใจ เวลาที่เราอยู่ห่างไกล”
“ฮาจารี”
วาสิตารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
เมื่อเขายกคำอ้างจากเคยได้รับฟังถึงตำนานความเชื่อเรื่องอำนาจของดวงจันทร์ จะทำให้เราสื่อสารถึงกันได้เสมอไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่แห่งหนใด
เธอมองสบตาเขาเห็นความปรารถนาอย่างจริงใจไม่ได้มีความเอารัดเอาเปรียบอิสตรีแอบแฝง
เธอจึงยอมผ่อนปรนเพราะนึกถึงเหตุผลว่าวันหนึ่งถ้าเธอและเขาต้องจากกันไกลแสนไกล การมอบจูบแรกให้กับเขาในวันนี้ คงเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีและล้ำค่าสำหรับเธอเช่นกัน
“ก็ได้ค่ะ แต่คุณต้องหลับตานะ
ห้ามลืมตามาดูด้วย”
“ได้สิ
เพราะฉันจะจำรสสัมผัสของเธอด้วยหัวใจของฉันเอง”
คำพูดของเขาช่างเติมความหวานให้กับหัวใจของเธอนัก
แต่เธอนี่สิจะทำอย่างไรให้ร่างกายเลิกสั่นเทา
และมีสติพอที่จะคิดได้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี
ชั่วขณะนั้น ท่ามกลางเสียงหายใจที่หอบน้อย ๆ
ของชายที่กำลังหลับตา
เขารั้งร่างเธอเข้ามาพร้อมกับริมฝีปากประกบทาบเข้าหาริมฝีปากบางอย่างหนักหน่วง
เหมือนคนที่เฝ้ารอเวลานี้อย่างใจจดใจจ่อ
วาสิตาไม่พร้อมจะแยกแยะวิเคราะห์ความรู้สึกมีอานุภาพรุนแรงที่เกิดกับใจตนเองกระทันหันแบบนี้
พอจูบดูดดื่มฝากฝังยาวนานต่อกันแล้ว ต่างก็จ้องมองตา ปราศจากคำพูด
มีเพียงความเข้าใจและความต้องการที่สื่อสารถึงกันเท่านั้น
และค่ำคืนนี้ก็จะเป็นบทพิสูจน์ตำนานอำนาจของดวงจันทร์ที่เธอและเขาจะเฝ้ารอดูต่อไป....
ช่วงสายของวันใหม่
พระอาทิตย์ลอยตัวสูงก่อให้เกิดความร้อน จนระอุไปทั่วบริเวณเหล่าคนงานต่างทยอยนำวัตถุสิ่งของที่ขุดค้นได้มากองไว้หน้าเต็นท์เพื่อให้วาสิตาได้จดบันทึก
แม้ว่าหญิงสาวจะใช้ความพยายามควบคุมสมาธิตนเองกับงานที่ได้รับอย่างยิ่งยวด
แต่บางครั้งภาพการขุดเอาเป็นเอาตายของกลุ่มคนงานนั้น
ก็สอดแทรกเข้ามาให้เธอได้ขบคิดอยู่เรื่อย ๆ
กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ
ซูนัคเซนก็เดินเข้ามา เขาหยุดยืนอยู่ใกล้ ๆ ครั้นพอเห็นเธอก้มหน้าก้มตาทำงานเ เขาก็เอ่ยน้ำเสียงแสดงความห่วงใย
“เธอคงเหนื่อยมากสินะ”
“เหนื่อยแต่ก็คุ้มกับโอกาสที่ฉันได้รับค่ะ”
“เธอมีความสุขกับมันหรือ?”
“ค่ะ” เธอพยักหน้าและยิ้มตอบ
ซูนัคเซนกวาดตามองไปรอบด้าน เหล่าคนงานกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น
กรวดหินดินทรายล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่าอภิรมย์สำหรับคนทั่วไป
อีกทั้งแสงแดดที่พร้อมจะแผดเผาสิ่งมีชีวิตบนโลกให้ไหม้เป็นผุยผง แล้วเอ่ยถามเธอว่า
"ไหนบอกฉันซิว่ามันให้ความสุขอะไรกับเธอบ้าง"
“ความสุขที่ได้มีโอกาสมาสำรวจสถานที่จริง และได้ลงมือสัมผัสกับมันจริง ๆ ทำให้ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากอดีตมากมาย ซึ่งความรู้สึกอย่างนี้หาไม่ได้ด้วยตำราเล่มใด ๆ เลย” หญิงสาวอธิบายพลางคลี่ยิ้ม
"ไหนบอกฉันซิว่ามันให้ความสุขอะไรกับเธอบ้าง"
“ความสุขที่ได้มีโอกาสมาสำรวจสถานที่จริง และได้ลงมือสัมผัสกับมันจริง ๆ ทำให้ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากอดีตมากมาย ซึ่งความรู้สึกอย่างนี้หาไม่ได้ด้วยตำราเล่มใด ๆ เลย” หญิงสาวอธิบายพลางคลี่ยิ้ม
“อืม..บางทีฮาจารีอาจจะพูดถูกก็ได้ เธอกระหายในการเรียนรู้อดีตของเขา”
วาสิตาจับน้ำเสียงเหน็บแนมของเขาได้
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมซูนัคเซนต้องพูดถึงพี่ชายเขาแบบนั้น
ขณะเดียวกันก็นึกกระดากอายกับการที่เขาตีความหมายในการชอบศึกษาอดีตอียิปต์ของเธอ
“มันไม่ได้เป็นอย่างที่ฮาจารีพูดเสียทั้งหมด
แต่คงจะเป็นความจริงที่ตัวฉันเท่านั้นที่รู้” เธอลดเสียงลงขณะพยายามเก็บความจริงบางส่วนไว้
“....” นักอียปต์ศาสตร์หนุ่มไม่ได้พูดอะไรอีก
ท่าทางเคร่งเครียดครุ่นคิดของเขา
ทำให้เธอนึกถึงท่าทางของยอดนักสืบที่ต้องเก็บรายละเอียดต่างๆ ไว้ภายใต้แววตานิ่งสงบ
ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าสองสามนาทีข้างหน้าเขาคิดจะทำอะไร
เงียบไปสักพักเขาก็ถามขึ้นมาอีก
เงียบไปสักพักเขาก็ถามขึ้นมาอีก
“ทำไมเธอถึงอยากรู้เรื่องราวทางโบราณคดีของอียิปต์”
“ที่จริงเรื่องการศึกษาทางโบราณคดีมันเกิดจากฉันได้ใกล้ชิดกับอา
เห็นการทำงานของอา เห็นข้อมูลที่น่าสนใจที่อาค้นคว้ามาได้แม้เพียงเศษวัตถุชิ้นเล็ก
ๆ”
“อาของเธอสนใจวัตถุโบราณอียิปต์หรือ”
ชายหนุ่มถามเสียงเรียบ
“สนใจค่ะ แต่ท่านสนใจประวัติศาสตร์ประเทศไทยมากกว่า”
“แต่เธอสนใจอียิปต์”
“ค่ะ ฉันสนใจประวัติศาสตร์อียิปต์”
“ทำไม?”
“คงเพราะอียิปต์มีพีระมิดสูงเสียดฟ้ามั้งคะ”
เธอพูดติดตลก หวังให้คนถามคลายสีหน้าจริงจังลงบ้าง ซึ่งซูนัคเซนก็เหมือนจะให้ความร่วมมือดี เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ซึ่งก็ทำให้บรรยากาศรอบด้านโล่งขึ้น
“ฉันขอโทษนะคะซูนัคเซน ถ้าจะพูดเรื่อยเปื่อยไปหน่อย จริง ๆ แล้วฉันคิดว่าความสนใจในเรื่องอียิปต์โบราณของฉันมันเกิดจากจิตใต้สำนึกมากกว่า เพราะภาพเรื่องราวประหลาด ๆ จะผุดพรายขึ้นมาเสมอเวลาที่ฉันคิดถึงอียิปต์”
“ฉันขอโทษนะคะซูนัคเซน ถ้าจะพูดเรื่อยเปื่อยไปหน่อย จริง ๆ แล้วฉันคิดว่าความสนใจในเรื่องอียิปต์โบราณของฉันมันเกิดจากจิตใต้สำนึกมากกว่า เพราะภาพเรื่องราวประหลาด ๆ จะผุดพรายขึ้นมาเสมอเวลาที่ฉันคิดถึงอียิปต์”
“ภาพประหลาดแบบไหน?”
“ภาพล่องเรือ ภาพขี่ม้า
แล้วก็ภาพการลำเลียงก้อนหินปิดปากทางเข้าสุสาน” วาสิตาตอบ สีหน้าแววตานิ่งคิดทบทวนในสิ่งที่เล่าออกไป ส่วนสายตาซูนัคเซนก็เปลี่ยนมาตรึงเขม็ง จ้องเธอราวกับเขากำลังจะสาปให้เธอเป็นหินไปซะแล้ว
“ที่ฉันเล่าคุณจะไม่เชื่อก็ได้นะคะ
เพราะบางครั้งฉันก็คิดว่าตัวเองออกจะเพ้อเจ้อเกินไป
คงเพราะเกิดหลงใหลอารยธรรมอียิปต์ก็เลยคิดฝันไปว่าเมื่อชาติที่แล้วตัวเองเคยเป็นคนอียิปต์”
“ฉันชักจะสนใจในตัวเธอมากขึ้นแล้วสิ
เพราะเธอมีสิ่งที่น่าสนใจใคร่รู้อีกเยอะแน่ ๆ”
“ฉันไม่มีความน่าสนใจอะไรมากไปกว่าที่คุณเห็นอยู่อย่างนี้หรอกค่ะ
เป็นเพียงนักศึกษาเดินทางมาหาข้อมูลทางประวัติศาสตร์อียิปต์
แล้วนี่ก็เป็นงานชิ้นสุดท้ายที่ฉันต้องทำส่ง
และฉันตั้งใจจะทำมันออกมาให้ดีที่สุด จากนั้นฉันก็จะกลับเมืองไทย
บ้านของฉันค่ะ”
“ฮาจารีล่ะ เธอจะวางเขาไว้ยังไง”
ซูนัคเซนยังคงรุกเธอด้วยคำถาม
ซึ่งวาสิตารู้สึกว่าซูนัคเซนพยายามผลักดันให้เธอเล่าความในใจที่มีต่อพี่ชายของเขา
“เขาก็จะอยู่ที่ที่เขาอยู่นั่นแหละค่ะ
ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับเขาซะหน่อย ก็แค่ได้พบกับเขาโดยบังเอิญก็เท่านั้น”
รอยยิ้มกระตุกตรงมุมปากซูนัคเซน
“แต่ฉันคิดว่าฮาจารีคงสนใจให้เธอเป็นผู้หญิงของเขา”
“นั่นยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยค่ะซูนัคเซน” วาสิตาลากเสียงเรียบแฝงไว้ด้วยใจสับสน นานวันเข้าเธอและฮาจารีจะยิ่งผูกพันกันมากขึ้น
เธอจะปล่อยให้เรื่องไม่ถูกไม่ควรเช่นนี้เกิดขึ้นไม่ได้
ฮาจารีมีธรรมเนียมในเรื่องคู่ครองอยู่แล้ว
เธอไม่ควรทำให้เขาผิดประเพณีไปจากหัวหน้าเผ่าคนอื่น ๆ
เพราะผิดจากสายเลือดบริสุทธิ์ ลูกเกิดมาก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากสมาชิกในเผ่า
หญิงสาวอดที่จะเปลี่่ยนชะตาชีวิตลูกน้อยกับชายหนุ่มผู้ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้ ชายหนุ่มนักอียิปต์ศาสตร์ผู้นี้แม้ภายนอกจะดูฉลาดและเข้มแข็ง
แต่ภายในแฝงไว้ด้วยความเหงาและว้าเหว่
เธอจะไม่ยอมให้ลูกที่เกิดมามีชะตาเดียวกับซูนัคเซน ฉะนั้น 'ถึงเวลา ฉันก็ต้องไป'
“ฉันนี่งี่เง่าเสียจริง หลงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงของเขา”
ซูนัคเซนรู้สึกพอใจกับคำตอบของหญิงสาว เพราะอย่างน้อยฮาจารีก็ไม่ได้สมหวังอย่างที่ใจปรารถนาไปเสียทุกอย่าง
เธอเบนสายตามองไปยังจานขนมปังวางอยู่ตรงหน้า
และคว้ามาถือไว้ในมือหนึ่งแผ่นเพื่อยุติการพูดคุยซึ่ง
เหมือนเขาให้ความร่วมมือด้วยการช่วยหยิบโถใส่เนยส่งให้เธอ หญิงสาวรับมาแล้วค่อย ๆ บรรจงทาลงบนแผ่นขนมปัง เขาส่งขวดน้ำผึ้งให้อีกคราวนี้เธอปฏิเสธ
ซูนัคเซนมองลิ้นที่กำลังลิ้มรสความหวานจากขนมปัง
ทุกการกระทำของหญิงสาวต่างแดนล้วนบ่งบอกความเป็นตัวของตัวเองมันเป็นอิริยาบถที่เป็นธรรมชาติ
โดยมุมมองของซูนัคเซนลงความเห็นว่าวาสิตามีเสน่ห์และมีการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
วาสิตาเหลือบมองคู่สนทนาพลางคิดในใจว่า
ที่จริงซูนัคเซนก็เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ดวงตาสีดำของเขาเป็นประกาย
เสียแต่เจ้ารอยยิ้มมันบ่งบอกถึงความมีลับลมคมในของเขา และมันทำให้เขาดูหน้ากลัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น