วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทรายร้อนซ่อนเสน่หา บทที่ 10 ศิลาใต้ผืนทราย


นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา






โธ่ พระนางไอซิสได้โปรดคุ้มครอง”
ป้าเฮลย่าแทบจะร้องไห้ออกมา ขณะนางและทาธิยาโผเข้ามาหาเธอ
คุณเป็นอย่างไรบ้างท่านหญิง” ทาธิยาจับแขนหญิงสาวมาลูบหาบาดแผล ทำเอาวาสิตาปลื้มใจจนน้ำตาแทบไหล เธอได้รับความเมตตาจากผู้คนที่นี่มากมายเหลือเกิน
ป้าเฮลย่ากับทาธิยาสบายใจได้ ฉันปลอดภัยทุกอย่าง” เธอชูสร้อยคล้องคอให้ทั้งสองดู “เพราะฉันได้รับความคุ้มครองจากองค์สุริยเทพน่ะ”
โอ้!..” ป้าเฮลย่ามองตาค้าง ก่อนจะมองเลยไปถึงเจ้านายของนางผู้เป็นใหญ่ในที่นี้ “นายท่านได้เลือกแล้ว..”
คำพูดของหญิงสูงวัยทำให้วาสิตารู้สึกฉงน เธอจึงเอ่ยถาม
เลือกอะไรหรือคะ ป้าเฮลย่า
นางหันสายตากลับมา รีบปรับสีหน้าเป็นปกติ 
ไม่มีอะไรหรอกท่านหญิง คืนนี้คุณเหนื่อยมามากแล้ว ให้ทาธิยาพาคุณไปพักผ่อนเถอะ” นางรีบพูดตัดบท เพราะยังไม่พร้อมจะตอบคำถามและเกรงจะถูกอีกฝ่ายซักไซ้ขึ้นอีก ซึ่งทาธิยาเองก็เหมือนจะรับรู้บทบาทต่อไปของตน จึงรีบมาจูงแขนเธอให้เดินไปด้วยกัน ท่าทางมีความนัยน่าสงสัยจริงเชียว
เดี๋ยวสิทาธิยา ฉันยังอยากจะถามเรื่องเหรียญนี่อยู่เลยนะ” ร่างบอบบางพยายามขืนตัว แต่สู้แรงสาวใช้ตัวโตกว่าไม่ไหว
ฉันจะอธิบายให้คุณฟังเองค่ะ ตอนนี้ตามฉันมานะคะ” ทาธิยามีสีหน้าระรื่นเหมือนได้รับความสมหวังอะไรบางอย่าง จะมีแต่ท่านหญิงของนางที่ยังต้องรอคอยคำตอบต่อไปก่อน
เมื่อเห็นว่าสองสาวนายบ่าวเดินเข้าไปภายในที่พักแล้ว ป้าเฮลย่าผู้อยู่ดูแลเผ่าอัล-ซาฮานมาค่อนชีวิต หันมาเอ่ยกับชายหนุ่มหัวหน้าเผ่า
นายท่าน..”
ทุกอย่างเป็นอย่างที่ท่านป้าเห็นนั่นล่ะ เหลือเพียงตัวนางเองที่ยังไม่ยอมเข้าใจเสียที” ฮาจารีไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เขาตกหลุมรักหญิงสาวต่างแดนคนนี้ตั้งแต่แรกพบ และเขาก็พยายามแสดงออกถึงความจริงใจต่ออีกฝ่ายเสมอมา ขอเพียงเธอยอมรับความจริงใจนี้ จะนานแค่ไหนเขาก็จะรอ
วาสิตารอคอยคำตอบจากทาธิยาอย่างใจเย็น ปล่อยให้นางจัดการปรนนิบัติให้ตนจนเสร็จสรรพ ระหว่างนั้นสาวใช้ก็เหมือนจะหลบเลี่ยงสบตา แต่เธอไม่ยอมปล่อยเรื่องราวค้างคาใจนั่นแน่นอน ฉะนั้นเมื่อเห็นสาวใช้ร่างสูงเตรียมจะเดินออกจากห้องไปหน้าตาเฉย โดยทำทีจำไม่ได้ว่าสัญญาจะให้คำตอบกับเธอ เธอจึงลุกออกแรงลากแขนอีกฝ่ายมานั่งบนที่นอน ใช้มือจับบ่ากันไว้ไม่ให้ลุกหนี
“ทาธิยา บอกเรื่องเหรียญมาเดี๋ยวนี้ ห้ามหลอกกันด้วย"
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้พูด ฉันก็บอกคุณเรื่องนี้ไม่ได้” ทาธิยาหน้าถอดสี ที่ได้บอกกับนายสาวไป เพียงต้องการดึงนายสาวออกจากสถานการณ์ตรงหน้าเท่านั้น ไม่ได้ต้องการหลอกลวงแต่อย่างใด
แต่ทาธิยาบอกว่าจะบอก..”
เธอพยายามจะเค้นเอาคำตอบจากนางให้ได้ พอดีเสียงป้าเฮลย่าดังแทรกขึ้นเสียก่อน
ฉันจะเป็นผู้บอกคุณเอง เจ้าไปพักเถอะทาธิยา” ป้าเฮลย่าพยักหน้าให้ทาธิยาออกไป จนเหลือเพียงสองคนหญิงสูงวัยก็เดินเข้ามาจับมือเธอกุมไว้ แล้วกล่าวอธิบาย “ฉันได้อุทานไปแบบนั้น เป็นเพียงความดีใจ”
ดีใจ ดีใจเรื่องอะไรคะภายในใจวาสิตาสับสน ทำไมมีแต่เรื่องพิศวงให้สมองเธองุนงงไปหมด
คุณเคยรู้เรื่องตำนานเหรียญสุริยะมาก่อนหรือไม่ท่านหญิง” ป้าเฮลย่าปล่อยมือหญิงสาวลง นางเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ทรงเตี้ยที่มีอยู่สองตัววางอยู่ข้างหน้าต่าง วาสิตาเดินตามไปนั่งบนเก้าอี้อีกตัว 
ค่ะ ฉันเคยอ่านพบในนิตยสารโบราณคดี แต่ฮาจารีรู้เรื่องนี้ดี เพราะเขาบอกเป็นเหรียญประจำตระกูลของเขา” หญิงสาวฉุกคิดไปถึงตอนเธอถามชายหนุ่มเรื่องเหรียญสุริยะ ตอนนั้นเขาไม่ได้บอกเธอว่ามีเหรียญนี้อยู่กับตัว เพียงแค่บอกเล่าว่าองค์มหาเทพจะเลือกผู้เหมาะสมได้รู้เรื่องเหรียญด้วยพระองค์เอง
นายท่านไม่อาจบอกคุณได้ เพราะเป็นคำบัญชาจากองค์มหาเทพ ซึ่งถ้าบุคคลที่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้ครอบครอง  เหรียญนี้ได้ไปก็จะเกิดภัยพิบัติแก่คนผู้นั้น”
วาสิตาได้ฟังแล้วตกใจ “จะเกิดอะไรขึ้นกับฉันหรือเปล่าคะ” ในเมื่อไม่อาจรับรู้ว่าผู้ที่องค์มหาเทพเลือกเป็นเช่นไร ฮาจารีมอบเหรียญเพื่อคุ้มครองเธอจากภัยพายุ ซึ่งตัวเธอเองไม่ได้หวังครอบครองเป็นเจ้าของ ก็ไม่น่าจะมีโทษจากภัยพิบัติ
คุณจะได้รับความคุ้มครอง” ป้าเฮลย่าบอกเสียงเรียบ “นายท่านคงแน่ใจอะไรบางอย่างแล้ว และทุกคนที่นี่เชื่อในการตัดสินใจของเขา”
แล้วความหมายของการถูกเลือก" คำถามนี้สำคัญ เพราะมันรบกวนจิตใจเธอ
นั่นเป็นเรื่องที่คุณจะต้องคุยกับนายท่าน ฉันเข้ามาให้คำตอบในบางส่วน เพื่อทำให้คุณสบายใจเท่านั้น” ป้าเฮลย่าระบายสีหน้าด้วยรอยยิ้ม นางลุกขึ้นพร้อมกล่าวลา “เชิญคุณพักผ่อนตามสบายเถอะท่านหญิง เห็นทีฉันต้องเก็บความสุขใจนี้ไปนอนให้หลับสบายบ้างแล้ว”
อะไรของเขานะ’ วาสิตามองสีหน้าเบิกบานใจของป้าเฮลย่าอย่างงุนงงอีกครั้ง เธอหยิบเหรียญสุริยะที่ห้อยอยู่บนคอมาดูอีกที พลางนึกทบทวนว่าฮาจารีให้เหรียญนี้กับเธอมันมีความหมายอย่างไรต่อเขา ยิ่งคิดใบหน้าของเขาก็ยิ่งลอยวนอยู่ในหัว ถ้อยคำปลอบประโลม ความอ่อนโยนที่เขามีให้ อีกทั้งอ้อมอกที่แสนอบอุ่น และมันทำให้เธอยิ่งหวั่นใจเพราะนานวันสายใยใบบางจะเพิ่มความแน่นเหนียว คราวนี้หัวใจเธอคงดิ้นไม่หลุด
แต่ถึงกระนั้น หญิงสาวก็ต้องหมั่นเตือนใจตัวเองอยู่เสมอ ถึงความเป็นไปไม่ได้ระหว่างเธอกับเขา เพราะความฝันก็พร้อมจะสลายเมื่อตื่นลืมตา 
เมื่ออยู่คนเดียวใบหน้าสวยแหงนขึ้นสู่ท้องฟ้าสีนิล เฝ้ามองแสงนวลของดวงจันทร์ แล้วรำพันในใจ ‘ดวงจันทร์ช่วยทำให้ฉันสบายใจ เหมือนป้าเฮลย่าพูดไว้ด้วยเถิด’

หลังจากให้วาสิตาได้ใช้เวลาอยู่ในครอบครัวของเขาสองสามวัน ฮาจารีก็อนุญาตให้หญิงสาวเดินทางมาร่วมงานขุดค้นกับซูนัคเซนตามสัญญา เขาขี่ม้าตัวใหญ่เดินเยาะ ๆ ควบคู่มากับเธอบนหลังลูกม้าตัวเดิม วันนี้เธอแต่งตัวเหมือนนักโบราณคดีที่เห็นในสื่อต่าง ๆ คือชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงยีนสีเข้ม ทว่าเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวชุดนี้ไม่ได้ซ่อนเร้นส่วนเว้าส่วนโค้งของเธอเลย ทั้งสองเดินทางมาจนถึงบริเวณที่เขากำหนดเป็นจุดนัดพบ เพื่อไม่ให้ซูนัคเซนเข้ามาในเขตหมู่บ้าน เขาจึงต้องมารับมาส่งหญิงสาวตรงนี้เท่านั้น
ไม่เปลี่ยนใจแน่นะ” ฮาจารีเอ่ยถาม
ไม่ค่ะ” วาสิตาตอบพร้อมกับหอบหายใจ กว่าจะมาถึงจุดนัดหมาย ซึ่งไม่ไกลอย่างที่คิดสำหรับผู้ชำนาญการเดินทางม้าอย่างพวกเขา ทว่าสำหรับเธอเหมือนเดินทางกันหลายกิโลเมตร “คุณน่าจะอวยพรฉันนะคะ ไม่ใช่ทำยังกับว่าฉันจะไปแบกหินอย่างงี้” เธอกล่าวขณะเขาก้าวลงจากหลังม้าและเดินตรงมาหา ซึ่งเธอกำลังพยายามจะลงจากหลังม้าอย่างสง่าด้วยตนเอง ทว่าดูมันทุลักทุเลไม่พ้นเขาต้องช่วยอยู่ดี
เมื่อลงจากหลังม้ามายืนด้วยกัน เขาก็เอ่ยต่อทันที “มันก็ไม่ต่างกันนักหรอก เพราะแสงแดดอาจทำร้ายเธอพอ ๆ กับการแบกหิน” 
ฮาจารีคะ คุณกำลังทำให้ฉันกังวลใจกับการทำในสิ่งที่คุณไม่พอใจนะคะ”
ฉันแค่เป็นห่วงเธอ” ชายหนุ่มพูด ก็เพราะความห่วงใย หญิงสาวมาจากต่างแดนจะสู้แสงแดดทะเลทรายได้อย่างไร
ฉันรู้ค่ะ และเข้าใจว่าตัวฉันเองอาจมาทำเรื่องยุ่งยากให้คณะทำงาน แต่มันจะเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตของฉันเชียวนะคะ อีกอย่างฉันก็ต้องการผลงานด้วย ไม่งั้นไม่จบปีนี้แน่”
ฮาจารีทนรับฟังเหตุผลร้อยแปดของหญิงสาว แล้วก็ได้แต่ตัดใจจะค้าน ลึก ๆ ตัวเขาเองก็อยากมาร่วมงานด้วย หากแต่คณะขุดค้นชุดนี้มีจุดประสงค์ร้ายแอบแฝง และมันเป็นความรับผิดชอบของเขาที่มีต่อบรรพบุรุษ เขาจึงจำต้องลอบสังเกตพฤติกรรมคนพวกนี้อยู่ห่าง ๆ
นี่ก็ใกล้ถึงวันเมคคีร์แล้ว
ขณะนั้นรถจิ๊บแล่นใกล้เข้ามา ฮาจารีใช้หางตาปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นรถจิ๊บของซูนัคเซน เมื่อรถจอดสนิทหนุ่มนักอียิปต์ศาสตร์ก็ก้าวลงมายืน ผู้เป็นน้องชายมีส่วนสูงน้อยกว่าและผอมกว่าเขา
ซูนัคเซนก้มศีรษะลงเล็กน้อย แสดงความเคารพผู้เป็นพี่ชาย 
 รอนานหรือเปล่าพี่ท่าน” ซูนัคเซนเอ่ยถาม สายตาไม่พ้นจากดวงหน้าหญิงสาว
ไม่หรอก เราก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน” ฮาจารีตอบเสียงห้วน ไม่ใคร่พอใจสายตาอีกฝ่าย
พอดีต้องเพิ่มเต็นท์มาอีก ก็เลยเสียเวลาหน่อย” ซูนัคเซนให้เหตุผล ขณะแววตาเหมือนไม่แน่ใจอะไรบางอย่าง
ถ้าพร้อมแล้วก็เดินทางไปเถอะ” ฮาจารีบอก เพราะดูท่าอีกฝ่ายไม่ปรารถนาสนทนากับเขานานสักเท่าไหร่
ครับพี่ท่าน” ซูนัคเซนตอบรับ แล้วหันมาบอกต่อหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “เชิญขึ้นรถเถอะวาสิตา นาทีข้างหน้าของเธอ เธอจะได้สัมผัสโลกในอดีตอย่างที่ใจปรารถนา”

รถขับเคลื่อนออกมาสักพัก วาสิตาก็สังเกตได้ว่าซูนัคเซนไม่ใช่คนมีพิษมีภัยสำหรับเธอเลย ถึงแม้ว่าจะมีคำกล่าวถึงตัวเขาในแง่ไม่ดีนัก แต่สำหรับเธอเขาคือผู้มีภูมิความรู้ดี
ซูนัคเซนมองร่างระหงที่นั่งรถมาด้วยกันผ่านทางกระจก เมื่อสักครู่เขาสะดุดตากับสิ่งที่แขวนอยู่บนคอของหญิงสาว เขาจำเหรียญดวงตาแห่งเทพฮอรัสได้ดี มันสวมบนคอของฮาจารีตลอดเวลา ซึ่งมีเพียงหัวหน้าเผ่าที่ได้รับการเลือกจากองค์มหาเทพเท่านั้นจะได้เป็นผู้ครอบครอง 
หึ! ซูนัคเซนเหยียดยิ้มกับความเชื่อของคนอียิปต์ที่มีต่อเทพฮอรัส กระทั่งนิยมออกแบบเครื่องประดับต่าง ๆ โดยใช้ดวงตาของฮอรัสเป็นต้นแบบ เพื่อความเป็นสิริมงคลตามความหมายดั้งเดิมของอียิปต์โบราณ เวลานี้เหรียญศักดิ์สิทธิ์สวมอยู่บนคอหญิงสาว นั่นย่อมหมายความว่าหญิงสาวผู้นี้คือคนที่ถูกเลือกแล้วงั้นหรือ?
เธอคงรู้เรื่องราวอารยธรรมดินแดนแห่งนี้มากมายสินะ” ซูนัคเซนหาเรื่องคุยกับหญิงสาวเพื่อทำลายบรรยากาศอันเงียบงัน
ไม่มากมายอะไรหรอกค่ะอาจเป็นความชอบส่วนตัว และเผอิญฉันมีอาผู้ชายทำงานด้านโบราณคดีที่เมืองไทย เลยมีโอกาสได้ศึกษาประวัติวัตถุโบราณก่อนจะค้นคว้าศึกษาอย่างจริงจัง"
หญิงสาวพยายามข่มเสียงตัวเองไม่ให้สั่นเพราะสายตาที่กำลังจ้องเขม็ง เธอคิดว่าเขาเคลือบแคลงสงสัยในคำพูด จึงพูดเสริมขึ้นอีก “ ฉันชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการขุดค้นทั่วโลก มันเหมือนเราได้ท่องประวัติศาสตร์ไปในตัว”
 ฉันก็ปรารถนาให้เธอได้ท่องโลกประวัติศาสตร์ด้วยความสบายใจ” ซูนัคเซนรู้สึกตัวว่าเผลอมองหญิงสาวนิ่งนาน เขากลับมาให้ความสนใจกับคู่สนทนา "และขอบอกว่ายินดีที่เธอมาช่วยเราทำงาน"
ขอบคุณค่ะ”
ใช้เวลาไม่นานรถแล่นมาถึงบริเวณขุดค้น ซูนัคเซนดับเครื่องยนต์และก้าวลงมายืนรอ ขณะเธอลงตามมา จากนั้นเสียงฝีเท้าม้าหลายตัวดังเข้ามาใกล้ เธอถอยกู่ไปหลบอยู่ข้างกายเขา
ชายฉกรรจ์ในชุดพื้นเมืองสามคนกระโดดลงจากหลังม้าแล้วจูงมันเดินตรงมา ซูนัคเซนหันมากล่าวแนะนำคนพวกนั้นว่า
นี่บาลัค หัวหน้าคนงานกับลูกน้องของเขาน่ะ”
ซูนัคเซนเปลี่ยนชื่อของชาไฮน์ ผู้แฝงตัวเข้ามาในคราบหัวหน้าคนงานเสียใหม่
อ๋อ..ค่ะ” วาสิตาพยักหน้ารับ พลางสังเกตเห็นชายฉกรรจ์ทั้งสาม ลูบมือบนแผงคออาชาสีน้ำตาลเข้มเบา ๆ อย่างคุ้นเคย สักพักชายคนที่ซูนัคเซนบอกว่าเป็นหัวหน้าคนงานเผยยิ้มน้อย ๆ ให้หญิงสาว แล้วจึงจูงอาชาคู่กายให้เดินผ่านเธอไป โดยทิ้งคำสั่งเสียงดังใส่อีกสองคนที่เหลือ
เฮ้ย มัวยืนเซ่ออยู่ทำไม มาสิวะ” ชาไฮน์ในคราบหัวหน้าคนงานใช้เสียงตวาดลูกน้องแทนการระบายความคับแค้น ที่ต้องตกมาเป็นเพียงลูกมือทำงานให้ซูนัคเซน แม้เป็นเพียงบทบาทสมมุติ แต่ก็เหมือนถูกอีกฝ่ายหยามเกียรติ
ลูกน้องสองคนของเขา รีบจูงม้าตามหลังผู้เป็นนายไปทันที
วาสิตาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อคนกลุ่มนั้นเดินจากไปแล้ว เธอเผยยิ้มเจื่อน ๆ ขณะเอ่ย ฉันมีความรู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาในโลกโบราณยังไงไม่รู้ค่ะ”
ซูนัคเซนหัวเราะเบา ๆ “ถึงแม้กาลเวลาจะสร้างเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย แต่ไม่อาจทำลายวัฒนธรรมดั้งเดิมของเราได้ อย่าแปลกใจเลย อ้อ เธอจะไม่พบเฉพาะคนย้อนยุคพวกนี้หรอก แต่เธอจะพบกับคนที่เธอไม่คาดว่าจะได้พบกับเขาที่นี่ด้วยล่ะ”
ใครคะ?” หญิงสาวเลิกคิ้วถาม
ไม่นานเธอก็จะได้พบกับเขา มาเถอะ ตามฉันมาทางนี้ดีกว่า ฉันมีคณะสำรวจจะแนะนำให้เธอได้รู้จัก เธอจะได้ร่วมงานกับพวกเขาอย่างสบายใจ”
ค่ะ” วาสิตาตอบรับ และรีบก้าวเท้าตามหลังชายหนุ่มไปติด ๆ 
คณะสำรวจประกอบด้วยนักโบราณคดีชาวอเมริกันชื่อธีโอเดอร์ และโรเบิร์ตนักอียิปต์วิทยา รวมทั้งซูนัคเซนนักอียิปต์ศาสตร์แห่งกรุงไคโร สิ่งที่วาสิตาได้เห็นสร้างความตื่นตาตื่นใจมากมายกว่าที่คิด ทั้งคณะลงมือทำงานกันอย่างแข็งขัน เธอได้ตระหนักอย่างแรกคือการขุดค้นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เพราะการจะใช้วัตถุปลายแหลมคมยังต้องระวังการกระทบกระเทือนถึงสิ่งที่ฝังอยู่ภายใต้ผืนทรายนั้นด้วย
หญิงสาวนึกถึงโอมานเพื่อนชายซึ่งเคยเรียนด้วยกัน  เขาชอบร้องเพลงภาษาอาหรับให้เธอฟังและชอบเล่าเรื่องราวอดีตกาลไอยคุปต์ให้เธอฟังด้วย  มันทำให้เธอใฝ่ฝันอยากมาเที่ยวอียิปต์มากขึ้น บางเวลาเธอแอบฝันเคลิ้มว่าตนอาจเคยเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง เคยพบพานกับฮาจารีเมื่อชาติที่แล้ว และเคยผูกพันกันเหมือนอย่างที่เขาเคยพูดไว้  ทำให้ชาตินี้จึงได้กลับมาพบกันอีก ณ ดินแดนมีมนต์ขลังแห่งนี้ 
แอบฝันหวานอีกแล้วหรือจ๊ะ สาวน้อยวาสิตา” เสียงอันคุ้นเคยของชายหนุ่มดังทักทายเข้ามา วาสิตาหันขวับไปมอง ถึงกลับร้องอุทานด้วยความดีใจ
”โอมาน! นายมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย?” วาสิตามองเพื่อนสนิทผู้สอนภาษาอาหรับให้กับเธอ พลางย้อนนึกถึงถ้อยคำของซูนัคเซน และเพื่อนคนนี้คงเป็นคนที่เขาพูดเป็นปริศนาไว้
ฉันสิควรจะถามเธอ มาอยู่ที่นี่ได้ไง ไหนบอกจะกลับเมืองไทยปลายเดือนหน้า”
โอมาน..ชื่อของเขาได้มาจากประเทศเกิด ในภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ติดชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของคาบสมุทรอาหรับ
ก็อยากมาเที่ยวอียิปต์ก่อน อุตส่าห์ร่ำเรียนภาษาอาหรับกับนายมาตั้งนาน ไม่ได้ใช้เสียดายแย่”
แล้วแม่เพื่อนซี้ของเธอไม่มาด้วยหรือ”
ชายหนุ่มหมายถึงเพื่อนสาวคู่หูของเธอ
ไม่ ยัยกุลเลือกทำโปรเจ็กต์ที่ลอนดอน นางชอบหิมะเมืองหนาว ไม่โปรดแสงแดดทะเลทรายหรอก แล้วนี่นายมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”
ฉันมีหน้าที่ประสานงานกับทางพิพิธภัณฑ์อียิปต์น่ะ จำที่ฉันเคยเล่าว่าฉันมีผู้อุปการะได้มั้ย”
จำได้สิ” ร่างบอบบางพยักหน้ารับก่อนจะถามต่อ “ใครล่ะเป็นผู้ปกครองนาย”
ท่านซูนัคเซน”
อ๋อ ซูนัคเซนเอง เขาอีกนั่นแหละชวนฉันมาร่วมขบวนขุดครั้งนี้ แล้วยังบอกอีกว่าฉันจะได้เจอคนที่ฉันไม่คาดว่าจะได้เจอ นั่นคือนาย ฉันคิดว่าพอนายกลับประเทศของนายแล้ว เราก็จะไม่ได้พบกันอีก”
มันคงเป็นเรื่องที่ถูกลิขิตไว้แล้ว ตามความเชื่อของเราน่ะ” โอมานเอ่ยเสียงเรียบ ทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนเล่าเรื่องหญิงสาวพร้อมให้รูปถ่ายตอนเรียนอังกฤษด้วยกันแก่ซูนัคเซน ฉะนั้นเมื่อซูนัคเซนบอกเล่าว่าจะมีหญิงสาวมาร่วมทำงาน เขาจึงดีใจจนเนื้อเต้น
โอมานหยุดความคิด เมื่อได้ยินเสียงหญิงสาวบ่นพึมพำ
คนที่นี่ยึดมั่นในความเชื่อเหลือเกินนะ แต่จะว่าไปตั้งแต่ฉันมาอยู่ที่นี่ก็เริ่มจะคิดเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ”
อย่าบอกเชียว ว่าฟ้าลิขิตให้เธอเจอใครเป็นพิเศษแล้ว” เพื่อนหนุ่มแสร้งเอ่ยดักคอ วาสิตาจึงแหวใส่
 บ้าน่ะ อืม..จะว่าเจอมันก็เป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า”
อ๋อ งั้นหรือ” โอมานเอ่ยยิ้ม ๆ ก่อนจะถามเพื่อนสาวต่อว่า “เธอทำยังไงล่ะ ถึงได้มาโผล่เจอความบังเอิญในอียิปต์ พอจะมีเวลาเล่าให้ฉันฟังหรือเปล่า
ได้สิ แต่รอให้พักกลางวันก่อนดีกว่า ฉันเกรงใจซูนัคเซน อีกอย่างฉันอยากตั้งใจทำงาน”
ก็ได้ ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนทำอะไรจริงจัง” เพื่อนหนุ่มอาหรับนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเสนอขึ้น “ เอาอย่างนี้ ฉันจะไปขอท่านซูนัคเซนเป็นคนขับรถพาเธอไปส่งที่พักเอง”
ดีเลย เราจะได้มีเวลาคุยกันระหว่างเดินทาง” วาสิตาพยักหน้ารับ จากนั้นทั้งสองต่างแยกย้ายกันไปทำงานของตน
ในขณะซูนัคเซนกำลังสั่งการให้คนงานสองสามคน ขุดบริเวณโพรงเล็ก ๆ ริมผาด้านหนึ่ง เขาก็มองไปทางหญิงสาวกำลังง่วนทำงาน พลางคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีความสาวอันทรงเสน่ห์แล้ว เสน่ห์อีกอย่างคือความมุ่งมั่นจริงจัง สิ่งนี้กระมังที่ทำให้ฮาจารีพอใจในตัวเธอ...เอะนั่น
‘มันจะมาทำไมตอนนี้นะ’ ซูนัคเซนกำลังเพลินตาเพลินใจกับการแอบมองหญิงสาวชาวไทยคนเดียวในกลุ่ม ต้องรีบปรับสีหน้าลงเร็วพลัน เมื่อชาไฮน์เดินเข้ามาใกล้ พร้อมก้มหน้าลงมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน ผ่านผ้าล้อมกรอบใบหน้าเห็นแต่ดวงตา
“แน่ใจหรือท่าน จะให้แม่สาวหน้าหวานคนนั้นมาป้วนเปี้ยนใกล้ ๆ งานพวกเรา”
ถ้าท่านไม่ไว้ใจในตัวเธอ ท่านก็จับตาดูพฤติกรรมเธอเองเถอะ” ซูนัคเซนพูดปัด ปรายตาบ่งบอกเป็นนัยให้เขาเหลือบไปทางหุบผาอีกแห่ง “แต่ที่ท่านควรระวัง คือตัวท่านเองต่างหาก  ยิ่งเธอมาอยู่กับเรา ฮาจารียิ่งหาเหตุจับตามองเราได้มากขึ้น”
'ก็เพราะแกนั่นแหละ' ชาไฮน์สบถเสียงเครียดในใจ ขณะเบนสายตาไปทางหินผาใหญ่ก่อนจะหันกลับมาทำสีหน้าถมึงทึง เขาอยากจะต่อว่าเจ้าคนเจ้ากี้เจ้าการตรงหน้านี่นัก แต่หัวหน้าเผ่าแมกนาก็ได้แต่เก็บปากเก็บคำไว้ และเลือกจะเดินถอยห่างออกไปด้วยอาการบึ้งตึง
ซูนัคเซนไม่ได้ให้ความสนใจหัวหน้าคนงานกำมะลอ เพราะเขาสนใจความต้องการของตัวเองมากกว่า ตลอดเวลาเขาใช้การค้นคว้าทางโบราณคดีเป็นฉากบังหน้า สิ่งที่เขาต้องการแท้จริงถูกฝังอยู่ใต้ผืนทรายต่างหาก 
‘ทาลาทัต’ ศิลาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีจารึกคาถาโบราณบทหนึ่งเอาไว้  ความบังเอิญทำให้เขาพบกระดาษปาปิรุสจารึกอักขระโบราณ บอกเล่าเรื่องราวพิธีกรรมโบราณทางศาสนา รวมถึงคาถารวมวิญญาณพันปีหนึ่งพันศพ ซึ่งสลักบนแผ่นหินดังกล่าว เป็นพิธีถวายตนต่อเทพเซธเพื่อชีวิตอมตะแก่ผู้ได้ครอบครอง
ชายหนุ่มคิดว่าถ้าเขาได้ศิลาทาลาทัตมาครอง มันจะช่วยให้เขามีอำนาจมากมายมหาศาล
ดังนั้น เขาจึงพยายามอย่างใจเย็น เพื่อค้นหาศิลาศักดิ์สิทธิ์นั้นให้จงได้ ไม่ว่าจะแลกด้วยดวงวิญญาณของตนเองก็ตาม และถ้าหากได้อำนาจจากศิลาชิ้นนั้นมาแล้ว สิ่งที่ซูนัคเซนคิดจะทำต่อไปก็คือ การเข้าครอบครองเผ่าอัล-ซาฮาน
เพราะชาติกำเนิดซึ่งแตกต่างกันทางสายเลือด แม้อัซซาร์ยบิดาของฮาจารีจะได้ชุบเลี้ยงเขาในฐานะลูกชายอีกคน  แต่เพราะไม่ได้มีสายเลือดแท้ ๆ ของคนในตระกูลอัล-ซาฮาน  จึงทำให้เขาไม่ได้รับการต้อนรับจากคนในเผ่าอย่างที่ควร  ซึ่งตรงข้ามกับฮาจารีที่ถือกำเนิดจากอิสตรียศสูงศักดิ์  ฮาจารีมีทุกอย่างขณะที่เขาไร้ซึ่งทุกอย่าง
ฮาจารีได้ให้การอุปการะเขาต่อจากอัซซาร์  ส่งเสริมในสิ่งที่เขาต้องการในทุก ๆ ด้าน  แต่ซูนัคเซนยังรู้สึกถึงความขาดหาย นั่นคืออำนาจและการครอบครอง เขาต้องเก็บและกดความเศร้าใจเอาไว้ทุกครั้งที่คิดว่าตนกำลังทำร้ายบุคคลที่เป็นพี่ชาย แต่ความแค้นในจิตใจทำให้เขาทะเยอทะยาน เพราะเขาไม่อยากขึ้นชื่อว่าสายเลือดนอกคอก อดีตอันขมขื่นจะหมดไปถ้าเขามีอำนาจศักดิ์สิทธิ์
ชายหนุ่มรู้ว่าชาไฮน์ต้องพอใจแน่ ถ้าเขาคิดจะร่วมมือกำจัดฮาจารีให้พ้นทาง เพื่อชนเผ่าแมกนาจะได้เข้าคุมพื้นที่การค้าฝั่งตะวันตกเพียงผู้เดียว แต่ฝันไปเถอะ..เพราะถ้าถึงเวลานั้นผู้มีอำนาจและครอบครองความเป็นอมตะจะมีเขาเพียงผู้เดียว 
วาสิตาสนุกสนานกับการช่วยคนงานขุด เธอวางงานบนโต๊ะแล้วออกมาทำงานกลางแจ้ง ด้วยความอยากรู้ว่ามีสิ่งใดรอคอยอยู่ใต้ผืนทรายบ้าง เหงื่อไหลล้อมกรอบดวงหน้าและนัยน์ตามุ่งมั่น ขณะภายในใจยังตื่นเต้น ไม่เคยคิดฝันเลยว่าเธอจะมีโอกาสได้มานั่งทำงานอยู่ที่นี่ ซึ่งแม้แสงแดดแผดกล้าแผ่กระจายความร้อนวูบวาบห่อหุ้มกายหญิงสาว จนเหมือนรังสีความร้อนนั้นจะซึมลึกเข้าในกระดูก แต่ไม่ทำให้เธอคิดท้อถอย ได้เท่าความหวาดหวั่นต่อสีหน้าแววตาชายฉกรรจ์ที่คอยจ้องมอง เหมือนคอยจับผิดเธอทุกเวลา
ลึก ๆ แล้วเธอก็นึกสงสัย เพราะกลุ่มคนเหล่านี้มีพฤติกรรมแตกต่างจากกลุ่มคนงานทั่วไป พวกเขามักจะแยกตัวไปขุดอีกทาง โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งของซูนัคเซน  ลักษณะการขุดค้นก็ดูรีบร้อนเหมือนมีความตั้งใจจะหาบางสิ่งบางอย่าง มากกว่าการขุดคุ้ยหาซากโบราณมาศึกษาทั่วไป
ชั่วขณะเธอสบสายตาคมปลาบของหัวหน้าคนงาน จึงต้องรีบหันมาพูดคุยกับเพื่อนเรื่องข้อมูลสิ่งที่ขุดขึ้นมาได้ โดยหญิงสาวไม่รู้เลยว่าความสนิทสนมที่เธอแสดงออกต่อโอมาน จะสร้างความกระวนกระวายใจให้กับชายหนุ่มบางคน 
ฮาจารีใช้กล้องส่องทางไกลเฝ้าสังเกตคณะสำรวจบนเนินผาอีกด้านหนึ่ง หัวใจเขารู้สึกปวดร้าวที่เห็นคนเหวี่ยงพลั่วขุดคุ้ยผืนทรายบริเวณฝังกลบสุสานบรรพบุรุษ เพื่อหาของมีค่าทางประวัติศาสตร์ เขากวาดสายตามองผ่านกล้องไปทั่ว พร้อม ๆ พยายามข่มกลั้นความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้
บริเวณพื้นที่ราบ ผู้คนอลหม่านอยู่ตรงบริเวณทำงาน คนเหล่านั้นมองเผิน ๆ เหมือนมดงาน มีเสียงเป็นจังหวะของสารพัดเครื่องมือ แต่ในขณะเดียวกัน สายตาก็พลันสะดุดร่างบอบบางกำลังใช้พลั่วเล็กตักดินใส่กระบะช่วยคนงาน สีหน้าท่าทางนั้นร่าเริงเบิกบานขณะร่อนดินอย่างสนุกสนาน กับชายหนุ่มที่มีท่าทางจะสนิทสนมกับอีกฝ่ายเป็นพิเศษ
ฮาจารีล่นกล้องในมือ ร่างสูงใหญ่ไม่รอช้าควบม้ารีบรุดไปยังบริเวณนั้นทันที
วาสิตาเห็นร่างฮาจารีเดินจ้ำอ้าวมาแต่ไกล สีหน้าของเขาบึ้งตึงบ่งบอกความไม่พอใจ ก่อนเสียงแข็งจะเอ่ยดัง
“วางพลั่วลงซะ!”
วาสิตาปล่อยพลั่วหลุดจากมือ “ฉันทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือคะฮาจารี” หญิงสาวถามเสียงอ่อย ก่อนจะพยายามปัดดินทรายออกจากเนื้อตัว ส่วนโอมานก็รีบถอยร่นไปยืนอยู่อีกด้าน ยืนสำรวมต่อหน้าหนุ่มหัวหน้าเผ่า
ฉันให้เธอมาร่วมศึกษาวัตถุโบราณเฉย ๆ ไม่ได้ให้เธอลงมือขุดด้วยตัวเอง” ฮาจารีพูดพลางจ้องหน้าหญิงสาวเขม็ง โดยไม่คิดหันไปสนใจชายหนุ่มผู้ร่วมขุดแม้แต่น้อย
ก็ฉันอยากรู้ว่ามีอะไรฝังอยู่ใต้นั้นบ้าง แล้วอีกอย่างมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไร เพียงแค่ช่วยร่อนทรายนิด ๆ หน่อย ๆ” วาสิตาพยายามอธิบาย แต่ดูเหมือนเขาไม่ยอมรับฟังเหตุผล กลับเอ่ยห้าม  
อย่าให้ฉันเห็นมือเธอถือเจ้าเครื่องมือพวกนั้นอีก เพราะฉันจะถือว่าเธอร่วมมือทำร้ายบรรพบุรุษเหมือนเจ้าพวกนั้น”
หญิงสาวถึงกับอ้าปากค้างที่ได้ยินความคิดแบบนั้นของเขา ก่อนจะรีบแก้ตัว
ฉันแค่ต้องการลองขุดค้นเหมือนคนอื่นเท่านั้น”
ขอบคุณองค์สุริยเทพที่ไม่ได้ลงโทษเธอมากไปกว่านี้” ฮาจารีพูดพลางปากเหงื่อที่ไหลย้อยมาตามข้างแก้มนวลของเธอ
ถึงฮาจารีจะไม่พอใจ ทว่าทุกถ้อยคำของเขาล้วนแฝงความห่วงใยอยู่ในที ในเมื่อร่างของหญิงสาวนั้นอาบโชกด้วยเม็ดเหงื่อ
เธอยิ้มหวานให้เขา ก่อนเอ่ย ขอบคุณค่ะฮาจารีที่คุณเป็นห่วงฉัน พบคุณก็ดีฉันมีเพื่อนจะแนะนำให้คุณรู้จักค่ะ”
เธอหันไปพยักหน้าให้โอมาน ขยับมายืนใกล้อีกนิด ซึ่งเพื่อนหนุ่มก็ทำตาม
“โอมานค่ะ เพื่อนที่สอนฉันพูดภาษาอาหรับไงคะ ฉันไม่คิดว่าจะได้พบกับเขา ดีใจมากเลยอย่างน้อยฉันก็มีเพื่อนที่นี่”
ท่านฮาจารี” โอมานทำความเคารพอีกฝ่าย และได้ยิ้มตอบรับอย่างเป็นมิตร ชายหนุ่มรู้จักหัวหน้าเผ่าผู้นี้เป็นอย่างดี เพราะผู้อุปการะการศึกษาของเขาคือน้องชายของชายสูงศักดิ์ผู้นี้นั่นเอง 
เราขอฝากวาสิตาไว้กับคุณได้ใช่ไหมฮาจารีเอ่ยฝากฝังหญิงในดวงใจ ด้วยมองออกถึงความเป็นคนดีของชายหนุ่มอ่อนวัยกว่า
ครับท่าน” โอมานตอบรับ และรับรู้โดยสัญชาตญาณถึงความหวงแหนของอีกฝ่าย
โอมานจะเป็นคนขับรถไปส่งฉันลงตรงจุดที่คุณจะมารับค่ะ” วาสิตารีบบอกชายหนุ่มหัวหน้าเผ่า เขาจึงพยักหน้ารับและเอ่ยขึ้นลอย ๆ
ดี อย่างน้อยซูนัคเซนก็จะไม่ลำบากใจ ในการขับผ่านเขตหวงห้ามของเรา”
ว่าแต่คุณมาหาฉันที่นี่มีอะไรหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวเอ่ยถาม เมื่อนึกขึ้นได้ว่าจู่ ๆ เขาก็โผล่มา
ฉันแค่จะมาบอกว่าขอให้เธอทำงานด้วยความสุข และอย่าลืมสิ่งที่ฉันพูดเมื่อกี๊นี้ เข้าใจมั้ย” ฮาจารีย้ำเตือนอีกรอบ เน้นเพราะเป็นห่วงร่างกายหญิงสาวนั่นเอง
ค่ะนายท่าน” วาสิตาตอบล้อเลียนชายหนุ่ม พร้อมโค้งคำนับเหมือนที่โอมานทำ
ฮาจารีก้มลงมากระซิบข้างหู “ถ้าเธอคิดว่าฉันเป็นนาย อย่างงั้นคืนนี้ฉันจะใช้สิทธิ์ความเป็นนายของเธอ”
"หือ.." หญิงสาวครางเสียงฮือในลำคอ ก่อนทำเสียงอ่อน ฉันก็แค่รับคำสั่งของคุณเท่านั้น”
ไม่รู้ล่ะ ถ้าเธอประชดฉันด้วยคำนี้อีก ฉัน..จะเอาจริง” ชายหนุ่มขู่ก่อนผละไป
 เสียงหัวเราะอารมณ์ดีของคนร่างสูงใหญ่ขณะเดินห่างออกไป ทำเอาวาสิตาแอบเผยรอยยิ้มน้อย ๆ ออกมาอย่างไม่รู้ตัว อาจเพราะสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ซอกหนึ่งของหัวใจมันกำลังเบิกบาน ซึ่งแม้ว่าเขาจะกลับออกไปจากพื้นที่ก็ทิ้งไออุ่นของความห่วงใยอบอวลในหัวใจของเธอ
นี่ ๆ เขาไปไกลแล้วล่ะ” โอมานกระซิบล้อเพื่อนสาว คนได้สติถึงกลับสะดุ้งเขินอาย
“เกี่ยวอะไรกับนายเล่า" แม้จะค้อนเพื่อนหนุ่ม แต่เธอก็แอบซ่อนยิ้มที่เผลอปล่อยให้เพื่อนตาดีจับผิดจนได้
ก็เธอยิ้มค้าง”  โอมานเอ่ยยิ้ม ๆ พลางทำท่าทางเลียนแบบ “นี่..แบบนี้ ๆ” 
ช่างฉันเถอะน่า ไปทำงานของนายได้แล้ว” วาสิตาคิดว่าอยู่ห่างกุลสินีแล้วเธอคงปลอดคนรู้ทัน แต่ที่ไหนได้มาเจอโจทก์เก่าที่รู้เท่าทันเธอไม่แพ้กัน
หญิงสาวกลับเข้ามาภายในเต็นท์ นั่งพักสักครู่เธอก็กลับมาให้ความสนใจกับการจดบันทึกวัตถุโบราณอีกครั้ง เธอจดรายการทุกชิ้นอย่างละเอียด ไม่ว่าวัตถุโบราณที่ขุดพบจะเป็นชิ้นกระจิ๋วหลิวก็ตาม
 

 




 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น