นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา
รุ่งเช้าฮาจารีเรียกประชุมทุกคนก่อนที่จะต่างคนต่างแยกย้าย
ส่วนตัวเขาก็มานั่งภายในห้องทำงานเพียงลำพัง
ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองหญิงวัยสูงวัยซึ่งได้ปรนนิบัติเขาเยี่ยงลูกชายคนหนึ่ง เธอยอบกายลงท่วงท่างามสง่า
“ทำไมยังไม่ไปรวมกลุ่มกับคนอื่นล่ะ พวกเขายังรอท่านอยู่นะ”
ป้าเฮลย่าหมายถึงกลุ่มชายในหมู่บ้าน ซึ่งมีทั้งคนหนุ่มและผู้อาวุโสของหมู่บ้านกำลังนั่งสนทนากันกันอย่างออกรส
ใต้กระโจมก่อสร้างขึ้นจากไม้มุงหลังคาด้วยใบกกใต้ต้นอินทผลัม
“ฉันอยากอยู่อย่างเงียบ ๆ
มีเวลาคิดอย่างอื่นเยอะแยะ” ชายหนุ่มเหยียดขาไปข้างหน้าอย่างเกียจคร้านพร้อมโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ เขาคิดว่านั่งอยู่ในที่เป็นส่วนตัวนี้สบายใจดีแล้ว
“ถ้าเพียงแต่มานั่งคิดถึงไม่ทำให้หญิงสาวผู้นั้นรับรู้หรอก”
เฮลย่าหรี่ตามอง และกล่าวอย่างรู้ใจ
“ท่านป้าคงจะกำหัวใจของฉันไว้
ท่านถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวของมันไปซะหมด” ฮาจารีหัวเราะ อารมณ์ร่าเริงขึ้น
“แต่ฉันขอโทษเถอะ ในเมื่อท่านมีความรู้สึกดีต่อหญิงต่างแดนผู้นั้นแล้ว
ชีวิตต่อไปของท่านจะดำเนินอย่างไร”
เขารู้ดีว่าหญิงผู้อาวุโสกว่าหมายถึงการสืบเชื้อสาย
ซึ่งเป็นข้อกำหนดของบรรพบุรุษ
“ฉันมีเลือดที่เข้มข้นอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องคำนึงว่าหญิงผู้นั้นจะมีสายเลือดใด”
เฮลย่าพยักหน้าเข้าใจ “ก็ตามใจท่านเถอะ
ท่านเป็นคนน่าเคารพ
ขอให้องค์มหาเทพดลบันดาลให้ชีวิตรักของท่านยืนยาวมั่นคงดุจสายน้ำไนล์สายน้ำแห่งชีวิต ท่านต้องแบกรับภาระตั้งแต่อายุยังน้อยแต่ก็เติบโตเป็นชายหนุ่มผู้กล้าเป็นผู้สืบทอดผู้ทรงอำนาจ
ช่างน่ายินดีต่อคามิย์ยาห์มารดาของท่านเหลือเกิน”
ฮาจารีลำบากใจที่เห็นหญิงดุจมารดาคนที่สองทำหน้าเศร้า มือของเขาเอื้อมไปบีบมือนางเบา ๆ
“ทุกอย่างต่างเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุขและสุขที่สุดคือการได้เห็นรอยยิ้มของป้าเฮลย่า”
เขารู้ว่าสายตาหญิงตรงหน้าคือการคาดหวังและเป็นห่วง “อย่าห่วงฉันมากนัก
ท่านป้าลืมไปแล้วหรือว่าฉันเกิดมาพร้อมพลังอันแข็งแกร่งซึ่งบรรพบุรุษได้มอบไว้ให้”
นางมีสีหน้าดีขึ้น “ผู้หญิงคนนั้นสวยและฉลาด
ฉันรู้ว่าท่านมีดวงตาแหลมคม”
หญิงผู้อาวุโสเป็นคนมีเหตุผลเสมอ
แม้ชนในเผ่าต่างยึดถือกับธรรมเนียมโบราณเรื่องสายเลือดบริสุทธิ์ แต่การเติบโตมากับความรับผิดชอบและการเป็นผู้มีวิสัยทัศน์
ฮาจารีจึงให้ความสำคัญระหว่างโลกอดีตและปัจจุบันเท่าเทียมกันมากกว่า
กฏมณเทียรบาลกำหนดให้ผู้มีสายเลือดอัล-ซาฮานเท่านั้นปกครองเผ่า
แต่ไม่ได้เคร่งครัดกับการคัดเลือกหญิงสาวที่จะมาแต่งเป็นภรรยา
“แต่ที่เข้ามาหานี่เพราะฉันมีอย่างหนึ่งอยากจะหยิบยกมาพูดกับท่าน”
เฮลย่ากวาดตามองสำรวจโดยรอบ
รู้สึกพอใจที่ไม่มีใครอยู่ใกล้หน้าประตูในระยะที่จะได้ยิน
“เรื่องอะไรว่ามาได้เลย” เขาบอก
“เรื่องท่านซูนัคเซน”
เมื่ออีกฝ่ายเปิดโอกาส เฮลย่าก็บอกทันที
“ซูนัคเซนทำอะไร” หัวหน้าเผ่าหนุ่มแกล้งถามออกไป
ทั้งที่เรื่องราวต่าง ๆ เขารู้อยู่ก่อนแล้ว
“มีคนเห็นเขาไปเข้ากับเผ่าแมกนา” ป้าเฮลย่าพูดกระซิบอย่างระวังที่สุด
นางรู้ว่าคงไม่เป็นที่พอใจนักถ้าคนในเผ่ารู้ว่านางพูดเรื่องซูนัคเซน
ความสงบบนสีหน้าของชายหนุ่มเลือนหาย หน้าผากย่นขณะมองป้าเฮลย่าตรง ๆ เขายิ้มพราย เพื่อให้ผู้อาวุโสกว่าสบายใจ
“คงไม่เกี่ยวอะไรกับเราหรอก ซูนัคเซนกลายเป็นคนนอกตระกูลไปแล้ว เขาจะไปติดต่อกับใครก็ได้”
ป้าเฮลย่าทำเสียงครวญ
“ทำไมท่านต้องปกป้องเขา
ในเมื่อก็รู้ว่าเขาคิดไม่ซื่อ”
“ท่านพ่อบอกว่าท่านแม่ต้องการอย่างนั้น
เพราะอย่างน้อยมารดาซูนัคเซนก็เติบโตมากับท่าน”
“โธ่..ช่างน่าเห็นใจท่านที่ต้องแบกรับภาระหัวใจคนอื่นอีกนอกจากภาระที่หนักอึ้งของเผ่า”
“ชนเผ่าเราอยู่ในความคุ้มครองของเทพอันศักดิ์สิทธิ์ถ้ามีผู้ใดคิดไม่ซื่อหรือเป็นศัตรู คนผู้นั้นจะได้รับการลงทัณฑ์จากองค์มหาเทพเอง
ท่านป้าอย่าห่วงเลย”
“ได้ฟังอย่างนี้แล้วฉันก็สบายใจ
เออ..สาวสวยต่างแดนคนนั้นนางต้องการอาหารอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า
วันนี้อัคห์เหม็ดเข้าไปล่าสัตว์ในป่าฟากโน้นได้กระต่ายมาสองตัว”
ฮาจารียิ้มเมื่อนึกถึงกิจกรรมยามว่างของเหล่านักรบหนุ่มที่ชอบการผจญภัย
“เธอกินง่าย ท่านป้าไปจัดหาไว้เถอะ”
ป้าเฮลย่ายอบกายลงก่อนจะเดินจากไป
ทันทีที่ร่างหญิงอาวุโสประจำหมู่บ้านพ้นขอบประตูไป ชายร่างใหญ่อีกคนก็ก้าวสวนเข้ามาแทน
“อัสซาลาม อาไลกุม” อัคห์เหม็ดพูดทักทายตามประเพณี
เมื่อยามที่ฮาจารีมาพำนักที่เผ่า
สีหน้าฮาจารีเปลี่ยนจากเบิกบานเมื่อสักครู่เป็นเครียดถมึงเมื่อเอ่ยถาม
“ได้ความยังไงบ้าง”
“พวกนั้นแฝงตัวเข้ามากับแผนการจ้างวานของท่านซูนัคเซน
โดยทำทีเป็นคนงานขุดค้นและคนของเราค่อนข้างแน่ใจว่าหนึ่งในนั้นต้องมีเจ้าชาไฮน์หัวหน้าของมันอยู่ด้วย”
“หึ..ซูนัคเซนยืมมือเจ้าพวกอพยพพวกนั้นนะสิ”
“แล้วนายท่านจะสั่งการอย่างไรต่อไป
คนของเราพร้อมจะลงมือรวบมันทุกเมื่อตามคำสั่งของนาย”
ฮาจารีปรับสีหน้าให้ดูปกติ
“เดี๋ยวก่อนใจเย็นไว้ รอให้ถึงวันเมคคีร์ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ปล่อยมันไป แต่ถ้าพวกมันค้นพบทางเข้าสุสานก็รอให้พวกมันไปรวมตัวกันที่สุสานฝังสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน
ถึงเวลานั้นจะเป็นเวลาที่เราจะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก สมกับที่มันนำความโสโครกมาแปดเปื้อน”
ผู้สูงอายุภายในเผ่าเคยเตือนเขาเรื่องนี้หลายครั้ง แต่เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไต่สวนซูนัคเซน
ความพ่ายแพ้ต่อชะตาและความสูญเสียทุกสิ่งได้ตอกย้ำความเจ็บปวดแก่ผู้เป็นน้องชายอยู่แล้ว
เขาจึงเลือกที่จะวางตัวเฉยและนั่นก็เท่ากับปล่อยให้ซูนัคเซนทำอะไรตามอำเภอใจ
“ว่าแต่นายท่านจะบอกเรื่องนี้กับที่ประชุมหรือไม่ เพราะพวกเราต่างก็กังวลถึงเรื่องที่มีการขุดค้นบริเวณใกล้เมืองบาวิตีเข้าไปทุกที”
“พรุ่งนี้เช้าเราจะมีการประชุมกันอีกทีทุกคนจะมีสิทธิ์ต่อการตัดสินใจ”
แผ่นกระดาษปาปิรุสซึ่งระบุเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพวกนักบวชนอกรีตใช้สักการะเทพเซธผู้ชั่วร้ายได้หายไป
ฮาจารีคิดว่าคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากฝีมือน้องชายต่างสายเลือดผู้นี้
กระดาษปาปิรุสแผ่นนั้นเปรียบเหมือนบันทึกที่บ่งบอกเรื่องราวบนแผ่นศิลาศักดิ์สิทธิ์และเหรียญสุริยะประจำตระกูล
องค์กษัตริย์เมเรเนสมีพระทัยเป็นกังวลอย่างมากจึงได้ฝากเหรียญทองคำแก่พระนางเนเฟอฮามุนป้องกันการแย่งชิงจากรัชทายาทซึ่งมีหลายพระองค์
พระชายารู้ว่าพระสวามีต้องถูกโค่นบังลังก์ในไม่ช้าและตัวพระนางเองก็คงไม่สามารถรักษาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วยพระองค์เพียงคนเดียว พระนางเนเฟอฮามุนจึงได้นำเหรียญทองคำนั้นมามอบให้แก่หัวหน้าเผ่าอัล-ซาฮานซึ่งเป็นเผ่าต้นกระกูลของพระนางเก็บรักษาไว้
และเพื่อไม่ให้ผู้ใดได้ใช้ประโยชน์จากแผ่นหินศักดิ์สิทธิ์มาทำร้ายผู้อื่น
พระนางจึงได้นำแผ่นหินนั้นมาฝังไว้รวมกับสุสานมัมมี่บริเวณเมืองบาวิตี มีเรื่องเล่าต่อ ๆ
กันมาว่าช่วงที่ชะล้างร่างคนตายเพื่อทำมัมมี่พระนางก็ได้มีพระบัญชาให้ตัวแทนแห่งเทพอานุบิสยัดแผ่นหินศักดิ์สิทธิ์ลงในร่างนั้นก่อนพันด้วยผ้าหลายทบ
โลงมัมมี่ได้ฝังไว้ภายในบริเวณใกล้กับที่ตั้งของเผ่าอัล-ซาฮาน เพื่อให้อนุชนรุ่นต่อ
ๆ มาของเผ่าอัล-ซาฮานคุ้มครองไว้ไม่ให้ตกแก่เงื้อมมือผู้ใด
ท้องไส้ของฮาจารีปั่นป่วนด้วยความปวดร้าว
การชุบเลี้ยงเด็กชายคนหนึ่งซึ่งหาที่มาไม่ได้จากความสกปรกมากรักของผู้เป็นมารดา
จวบจนเติบใหญ่กลายมาเป็นเชื้อโรคร้ายที่รอวันแผ่ขยายหายนะมาสู่คนในเผ่า
ซูนัคเซนช่างเก็บซ่อนความน่าอดสูกับการพยายามผันตนเองให้มีพลังวิเศษดุจดั่งเทพ
ระบบปกครองของเผ่าอัล-ซาฮานคงเรียกได้ว่าระบบค้ำจุนชีวิต
เพราะดูจากความเป็นอยู่ของผู้คนที่นอกจากผูกพันกันภายในครอบครัวแล้วทุกคนยังผูกพันอยู่กับการเป็นชุมชนอีกด้วย
ความเป็นปึกแผ่นของชนในเผ่าที่ไม่มีความขัดแย้งทางสายเลือดนั้นเข้มแข็งมาก
หน้าที่หลักของผู้หญิงคืองานบ้านและการปรนนิบัติสามี ส่วนผู้ชายคือผู้หาเลี้ยงและคุ้มครอง
ความเป็นอยู่อย่างสันติและความสามัคคีในเผ่าพันธุ์จึงดูเหมือนจะเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเผ่าอัล-ซาฮาน
เข้าวันที่สองแล้วที่วาสิตาใช้ชีวิตเยี่ยงชนเผ่าอยู่ที่นี่
หลังจากเสร็จภาระกิจอาหารเช้าฮาจารีก็หายไปกับกลุ่มชายในเผ่า วาสิตาคิดว่าเขาคงมีเรื่องที่ต้องสนทนากันมากมาย ระหว่างนั้นเธอใช้เวลาในการบันทึกเรื่องราวต่าง
ๆ เขียนเป็นรายงาน
ก่อนจะออกจากห้องนอนและเข้ามานั่งทอดอารมณ์เพียงลำพังในห้องนั่งเล่น
ถึงแม้จะเป็นช่วงยามบ่ายแต่เมื่อเธอมองขึ้นไปบนฟากฟ้าก็ทำให้เธอหวนนึกไปถึงเมื่อครั้งอยู่กับฮาจารีที่กรุงไคโร
การได้นั่งดูแสงจันทร์ฉายกับฮาจารีในบรรยากาศอันสงบของค่ำคืน
ดูเหมือนจะกลายเป็นความเคยชินสำหรับเธอไปเสียแล้ว
วาสิตาไม่อยากจะนึกถึงยามที่เธอต้องกลับบ้านและมองดูดวงจันทร์เพียงคนเดียว
เธอจะรู้สึกถึงความเงียบเหงาในหัวใจสักเพียงไหนหนอ
ทาธิยาเดินเข้ามายอบกายลงให้ความเคารพเธอ
ก่อนจะวางถ้วยไม่มีหูทำจากกระเบื้องสีเขียวขุ่นและโถน้ำสีสันลวดลายเดียวกันบนโต๊ะที่มีอยู่ตัวเดียวนั้น
“ทาธิยา” หญิงสาวเอ่ยทักพร้อมส่งยิ้มให้สาวใช้
“ท่านหญิง คุณต้องการสิ่งใดหรือ”
ทาธิยายังดูอ่อนเยาว์มาก แต่ด้วยท่าทางคล่องแคล่วอีกทั้งกิริยาอ่อนน้อมถ่อมตน
ทำให้เห็นถึงการอบรมสั่งสอนที่ดีที่จะปลูกฝังกันมาตั้งแต่เด็กเป็นอย่างดีของชนเผ่า
“ฉันไม่ต้องการอะไรหรอก
แค่อยากจะมีเพื่อนคุยด้วยบ้างเท่านั้น ทาธิยาจะอยู่คุยกับฉันหน่อยได้ไหม”
“ได้สิคะ
นายสั่งให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณ แต่ฉันก็ต้องได้รับอนุญาตจากคุณก่อน” ทาธิยาปฏิบัติตนเคร่งครัดในกฎและคำสั่ง
“ทำตัวตามสบายก็ได้
ฉันไม่ใช่เจ้านายของทาธิยา เรามาคุยกันแบบเพื่อนดีมั้ย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ
ถึงคุณจะบอกไม่ใช่เจ้านาย แต่ความรู้สึกของฉัน คุณเป็นผู้หญิงของนาย
เป็นผู้หญิงที่มีเกียรติ อีกอย่างฉันชอบคุณ ฉันอยากให้คุณชอบครอบครัวของเรา
และอยู่กับเรา”
“ฉันก็มีครอบครัว และฉันก็ต้องกลับไปหาพวกเขา
ถึงเวลานั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันได้รับจากเผ่าอัล-ซาฮานจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป”
“คุณเป็นคนดี
ฉันภาวนาขอให้องค์มหาเทพดลใจให้คุณรักเผ่าเรา”
“รัก..” รู้สึกคำ
ๆ นี้ผุดขึ้นในใจ และเหมือนมันฝังลึกในจิตใจของเธอมายาวนาน
“คุณรู้สึกอย่างไรเมื่อมาถึงที่นี่”
ทาธิยายังคงยืนคุยกับเธอด้วยการวางมือประสานไว้ข้างหน้าอย่างสำรวม
“รู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน” เธอตอบ โดยไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนั้นแต่ที่แน่คือเธอรู้สึกตลอดเวลาเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้
จนเธอแยกไม่ออกว่ามันเป็นแค่ความอยากที่ต้องการจะมาเยือน
หรือความรักที่รอคอยการกลับมา
“นายคงดีใจ”
ทาธิยายิ้มอ่อนโยนแววตาดำคมของหญิงสาวแจ่มใส ก่อนที่สาวใช้จะเยื้องกายเข้ามาแล้วยอบกายลงนั่งใกล้กับเธอ
วาสิตาหันมาคุยกับสาวใช้ทาธิยาให้ถนัดยิ่งขึ้น
“แต่พ่อแม่ของฉันคงไม่ดีใจเหมือนนายของทาธิยา เพราะท่านมีฉันเป็นลูกสาวคนเดียว
ท่านกำลังรอคอยการติดต่อกลับจากฉันอยู่”
“แล้วคุณไม่ได้บอกท่านหรือคะว่าคุณอยู่ที่นี่”
“ยังจ้ะ”
“ทำไมล่ะ คุณไม่อยากให้ท่านรู้หรือว่าคุณอยู่ที่ไหน”
ทาธิยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย หญิงสาวจึงตอบตามตรง
“อยากให้รู้สิ
แต่ไม่อยากให้รู้ว่ากำลังจะทำอะไร”
“คุณไม่อยากให้ท่านรู้
คงเป็นเรื่องที่คุณจะไปขุดค้นกับท่านซูนัคเซนใช่ไหม”
“ทาธิยารู้ด้วยเหรอ” วาสิตาทำตาโต
“แล้วนายของทาธิยาบอกหรือเปล่าว่าเขาจะให้ฉันไปเริ่มงานเมื่อไหร่”
“เมื่อเสร็จสิ้นการประชุม”
“เรื่องนี้เกี่ยวกับที่ประชุมด้วยหรือทาธิยา”
“ค่ะ
บริเวณขุดค้นใกล้กับพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นเราถือเป็นเขตหวงห้าม
และท่านซูนัคเซนก็พยายามที่จะเข้าใกล้บริเวณนั้นที่สุด”
“ทำไมล่ะ?” วาสิตาชักสนใจเรื่องเล่าของทาธิยามากขึ้นทุกที
“เพราะท่านซูนัคเซนต้องการบางสิ่งบางอย่างที่ฝังอยู่ใต้ผืนทรายบริเวณนั้น
นายถือว่าเขาเป็นน้องชายคนหนึ่ง แต่ทุกคนในหมู่บ้านถือว่าเขาเป็นเลือดนอกคอก
และมีความประพฤติที่ไม่ดี แต่นายต้องรักษาคำมั่นที่ได้ให้ไว้กับมารดาเพราะอย่างน้อยมารดาซูนัคเซนก็เติบโตมากับนาง”
ทาธิยาบอกอีกฝ่ายตามความเป็นจริง
“ขอบใจทาธิยา ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟัง”
วาสิตาส่งยิ้มขอบคุณสาวใช้
“ฉันพร้อมจะเล่าทุกอย่างที่คุณสงสัย”
สาวใช้นัยน์ตาคมบอกเสียงเรียบ “ แต่ถ้าคุณอยากจะมีเพื่อนคุยบ้าง ฉันจะพาคุณไปสถานที่หนึ่ง”เอ่ยจบ
ทาธิยาก็ลุกเดินนำหญิงสาวออกไปจากชายคาบ้านพักของผู้ปกครองเผ่า
โดยมีเธอลุกเดินตามหลังไป
สาวใช้ร่างสูงโปร่งเดินนำเธอออกสู่ภายนอกมาตามทางเล็ก
ๆ ที่สองข้างทางจัดแต่งเป็นสวนสวยงาม
วาสิตาเดินตามสาวใช้ ประมาณสองนาทีทั้งสองก็มาถึงทางเข้าสู่บ้านหลังใหญ่
มีชายยืนคุ้มกันประตูทางเข้าสองคน
“แถวนี้สวยจัง” เธอกวาดตามองอย่างตื่นเต้น
บางครั้งหยุดสายตากับพฤกษานานาพรรณที่ออกดอกชูช่อโชว์ความสวยงามของตนเอง
ขณะนั้นทาธิยาเข้าไปคุยอะไรบางอย่างกับชายฉกรรจ์ทั้งสองที่เฝ้าหน้าประตู
หลังจากพูดคุยกันไปไม่กี่นาทีทาธิยาก็พาเธอเข้าไปด้านใน
วาสิตามองไปรอบกายขณะเดินผ่านอย่างตะลึง มองจากด้านนอกเธอก็ว่าบริเวณบ้านดูใหญ่แล้ว
ทว่าพอมาข้างในดูกว้างขวางหรูหรายิ่งกว่า
มิหนำซ้ำทั่วอาณาบริเวณบ้านยังถูกจัดแต่งอย่างสวยหวาน
ในระหว่างที่เธอกำลังให้ความสนใจกับสถานที่สวยราวอยู่บนสรวงสวรรค์
หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามา
“ฮาเร็มอัล-ซาฮาน
ยินดีต้อนรับค่ะท่านหญิงวาสิตา” น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นอ่อนหวานจับใจ
วาสิตาผงะ ‘ฮาเร็ม’
ก่อนจะมองมาที่ทาธิยาเป็นคำถาม
“ท่านหญิงปราลี
เป็นนางในผู้ทรงเกียรติ หนึ่งนางในฮาเร็มของท่านผู้นำเผ่าค่ะ” ทาธิยาอธิบาย
“แล้วทาธิยาพาฉันมาที่นี่ทำไม”
วาสิตากระซิบถาม
ใจของเธอตอนนี้คิดไกลและไวกว่าปากที่ใช้ถามสาวใช้ตาคมเสียอีก
“พวกนางอยากทำความรู้จักกับคุณค่ะ และนายท่านก็อนุญาต”
วาสิตาปั้นหน้ายิ้ม ลึก ๆ
ก็รู้สึกดีจะได้พบปะอีกข้อมูลหนึ่งในแวดวงชนอียิปต์
“เชิญทางนี้ค่ะท่านหญิง”
ปราลีกล่าวเชิญหญิงสาวพร้อมกับยิ้มหวาน จากนั้นก็ก้าวเดินนำเข้าไปด้านใน
“เอ่อ..”
วาสิตามีท่าทีลังเลอย่างเห็นได้ชัด แต่พอทาธิยายิ้มให้เธอก็คลายความกังวล
และยอมเดินตามนางในคนสวยที่ชื่อปราลีไปอย่างเงียบ ๆ
วาสิตาแทบหยุดหายใจเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในสถานที่ดุจสวรรค์ของอิสตรีจริง
ๆ เธอรู้สึกได้ว่าผู้หญิงแต่ละคนที่เดินออกมาจากที่พักของตน ซึ่งอยู่ติดกันหลายหลังในบริเวณนั้นจ้องมองเธอด้วยสายตาสงสัยแกมยินดี
แต่จะว่าไปพวกนางล้วนมีแววตาสดใสและรอยยิ้มจริงใจ
หญิงผู้นั้นนำเธอมานั่งในห้องที่ตกแต่งด้วยสีชมพูหวานแล้ว
เธอจึงถามทาธิยาออกไปว่า “ทาธิยาตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“เดี๋ยวป้าเฮลย่ามาถึงคุณก็จะรู้เองค่ะ”
สาวใช้ร่างสูงโปร่งตอบเพียงเท่านั้น ก็ทำท่าจะก้าวออกไป
แต่ถูกอีกฝ่ายเรียกรั้งเอาไว้
“ทาธิยาอย่าเพิ่งไปไหน
อยู่เป็นเพื่อนฉันก่อน”
“ทาธิยาจะรอท่านอยู่ด้านนอกค่ะท่านหญิง”
เป็นเสียงหวานของปราลีที่บอกกลับมา
“อย่างงั้น..” วาสิตาจนคำพูด เพราะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้กำลังเล่นอะไรกับเธอกันแน่
ปราลีคงสังเกตเห็นความไม่สบายใจของเธอ นางจึงเอ่ยขึ้น
“ท่านหญิงอย่าวิตกไปเลยค่ะ
เราเพียงแต่อยากทำความรู้จักกับท่านเท่านั้น”
ยังไม่ทันที่เธอจะกล่าวอะไรต่อ ขบวนสาวงามก็ต่างเดินเท้าเข้ามาหยุดยืนตรงเบาะของแต่ละคน
ก่อนจะยอบกายลงเล็กน้อยให้เธอและนั่งลงพร้อมกัน
หญิงที่เข้ามาสามคนกับอีกหนึ่งที่นั่งอยู่ก่อน
ทำให้เวลานี้เธอนั่งอยู่ท่ามกลางสาวสวยนางในของฮาจารีตั้งสี่คน นี่คงเป็นเพียงบุตรตรีของผู้อาวุโสที่มีฐานะทัดเทียมกับฮาจารีเท่านั้น
เพราะทาธิยาเคยบอกว่าตนเป็นหนึ่งในนางเหล่านี้
แต่เพราะพวกนางเป็นบุตรสาวที่มีฐานะต่ำศักดิ์กว่าจึงเป็นได้เพียงสาวใช้
ว่าแต่ที่นี่ผู้หญิงเยอะจัง สวย ๆ ทั้งนั้นเลย
“ได้เวลาที่คุณจะได้รู้จักอีกวิถีหนึ่งของชนเผ่าเราแล้ว
ท่านหญิง”
“ป้าเฮลย่า”
วาสิตาหันไปทันทีที่ได้ยินเสียงหญิงผู้อาวุโส
ป้าเฮลย่าเดินเข้ามายอบกายเล็กน้อยเช่นคนอื่น ๆ ร่างหญิงสูงวัยทิ้งตัวลงบนเบาะนั่งข้าง
ๆ เธอ
“ฮาเร็มมีผู้หญิงสวย ๆ
ทั้งนั้นเลย” เธอกล่าวกระซิบบอกอีกฝ่าย
“ฮาเร็มเป็นบ้านของพวกนางที่จะใช้ต้อนรับผู้นำเผ่าของเรา”
ป้าเฮลย่าตอบน้ำเสียงอ่อนโยน และเริ่มแนะนำหญิงสาวเหล่านั้นให้เธอได้รู้จักทีละคน
“คนที่นั่งขวาสุดเป็นบุตรสาวของตระกูลอัล-ซีคา
ชื่อของนางคือท่านหญิงเซียน่า”
ท่านหญิงเซียน่าโค้งศีรษะลงทำความเคารพและมองเธอเป็นมิตร
วาสิตาจึงโค้งศีรษะรับและยิ้มตอบ ขณะที่ป้าเฮลย่ายังคงแนะนำคนต่อไปคือ
ท่านหญิงฟาริดาจากตระกูลอัล-ฟาริค และท่านหญิงจากตระกูลอัล-อิซราฮัน
ชื่อท่านหญิงรานี จนกระทั่งมาถึงผู้ที่นั่งอยู่ก่อน
“นี่คือท่านหญิงจากตระกูลอัล-ซาฮาน
ที่เกิดกับญาติผู้ใหญ่ฝ่ายอัล-ซาฮาน ชื่อท่านหญิงปราลี”
เมื่อป้าเฮลย่าแนะนำหมดทุกคนแล้ว
วาสิตานึกเดาได้ไม่ยากว่าหญิงสาวที่ถูกหมายตาให้เป็นคู่ครองของฮาจารีมากที่สุดคงหนีไม่พ้นท่านหญิงปราลี
บุตรสาวผู้มีเชื้อสายอัล-ซาฮานโดยตรง
“ท่านหญิงทุกคนพร้อมจะรู้จักกับคุณและพร้อมที่จะเป็นมิตรกับคุณทุกคน”
สุดท้ายป้าเฮลย่าก็หันมาหาเธอ
การที่ป้าเฮลย่ากล่าวออกมาอย่างนั้นคงหมายให้เธอได้แนะนำตัวเองกับเหล่านางในคนอื่น
ๆ นั่นเอง
“ถึงคราวที่ฉันต้องแนะนำตัวเองใช่มั้ย”
วาสิตาหยุดเรียบเรียงคำพูดภาษาอาหรับของเธอ
เพื่อให้คนฟังทั้งหมดได้เข้าใจมากที่สุด “ฉันเป็นคนไทยมาจากประเทศไทย
ฉันเดินทางไปเรียนที่ประเทศอังกฤษใกล้เรียนจบแล้ว
แต่ฉันต้องเดินทางมาหาข้อมูลทำโปรเจ็กต์ที่นี่ก่อนจะจบ ฉันมาพบฮาจารีโดยบังเอิญ
เขาช่วยฉันไว้จากคนร้าย
จากนั้นเขาก็พาฉันเดินทางมาสัมผัสวิถีชีวิตชนเผ่าของเขาที่นี่
ฉันรู้สึกยินดีมากที่ได้พบและรู้จักกับพวกคุณ”
หญิงสาวกล่าวจบด้วยความโล่งอก
เธอคิดว่าการเรียนรู้ภาษาอาหรับกับโอมานช่างวิเศษสุดก็วันนี้ล่ะ
วันที่เธอต้องมานั่งประจันหน้าแนะนำตัวเองซะยืดยาวกับเหล่านางในฮาเร็มของฮาจารี
อีกด้านหนึ่งของผืนทราย
ซูนัคเซนนั่งสนทนาภายในกระโจมกับชาไฮน์ชายผู้เป็นหัวหน้าเผ่าแมกนา
ซึ่งยามนี้เขาได้เข้ามาแฝงตัวเป็นหัวหน้าคนงานขุดค้นซากโบราณ แม้ซูนัคเซนจะไม่ค่อยชอบหน้าชาไฮน์นัก
แต่เพื่อผลประโยชน์ที่เอื้อต่อกัน เขาจึงจำปั้นหน้าคบค้าสมาคม
“แล้วเพื่อนท่านจะลงมือขุดสำรวจพื้นที่ตรงนั้นเมื่อไรล่ะ
คนของเราเตรียมพร้อมแล้วนะ”ชาไฮน์เอ่ยถาม สีหน้าแววตาขมึงทึง
“ก็คงไม่กี่วันนี้ เพราะอีกสี่วันก็จะถึงวันเมคคีร์แล้ว
เทพเจ้าของเราต้องหลุดจากห้วงขังและกลับมาประทานชัยแก่เรา”
“ท่านแน่ใจหรือว่าร่างท่านจะใช้ประทับรับเทพแห่งสงครามได้”
ซูนัคเซนรู้สึกไม่พอใจในคำหยามหยันของนักรบเผ่าแมกนา
ที่มักถามไถ่ถึงเรื่องนี้เสมอ
เพราะเขาเป็นผู้ชำนาญวิชาการทางศาสตร์อียิปต์มิใช่นักรบที่ชำนาญการอาวุธเฉกเช่นอีกฝ่าย
“แล้วท่านคิดว่าผู้ที่เหมาะคือท่านนั้นสิ” เขาตวัดสายตามองผู้ที่วางตนข่มท่านอยู่ตรงหน้า
หัวหน้าเผ่าอพยพยิ้มกลบเกลื่อน
เขารู้ว่าพูดผิดไปนำพาความไม่พอใจมาสู่คู่ร่วมสนทนา
“โธ่..เพื่อนท่านเราเพียงแสดงออกถึงความเป็นห่วง
เพราะเทพเซธเป็นเทพที่มีพลังมหาศาล แต่ดูท่านสิ
นักรบก็ไม่ใช่เป็นเพียงนักวิเคราะห์วิจัยที่มีร่างอันบอบบาง”
“ขอบคุณในความเป็นห่วงของท่านชาไฮน์
แต่ถึงแม้เราจะมีร่างกายบอบบางกว่าท่าน แต่ใจเราก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบอย่างท่านหรอก
แล้วอีกอย่างเราก็มีความรู้เกี่ยวกับคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านไม่รู้”
ซูนัคเซนรู้สึกพอใจความสามารถพิเศษที่ทำให้เขาดูมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่าย
เห็นสีหน้าสลดของชาไฮน์แล้ว เขารีบพูดตัดบท
“เอาล่ะเห็นทีเราคงต้องหยุดการสนทนากันแค่นี้ก่อน ระวังตัวหน่อยนะท่าน
เพราะต่อจากนี้ไม่มีเพียงแต่เรา
แต่ยังมีหญิงสาวของฮาจารีที่จะมาร่วมงานกับเรา ถ้าไม่อยากให้ผิดสังเกตเราคิดว่าท่านควรจะอยู่ห่างเธอไว้เธอไม่มีพิษสงเพียงสนใจในวัตถุโบราณเท่านั้น”
“เราก็ขอให้เป็นเช่นนั้น” ชาไฮน์ปรับสีหน้าเป็นปกติ กดกลั้นความขุ่นเคืองไว้ลึกที่สุด
เขาเป็นถึงหัวหน้าเผ่า แต่กลับต้องมาพินอบพิเทาคนนอกคอกอย่างซูนัคเซน
แต่เพราะเขาต้องการครอบครองอำนาจการปกครองเผ่าอัล-ซาฮาน จำต้องอาศัยความร่วมมือจากอีกฝ่าย
‘รอให้อำนาจในการปกครองเผ่าอัล-ซาฮานมาอยู่ในมือของข้าก่อนเถอะ
แกจะไม่ได้ข่มข้าแบบนี้อีกแน่ ๆ ข้าจะขุดหลุมฝังแกทั้งพี่ทั้งน้องเลยทีเดียว
คอยดูสิ’
ชาไฮน์เข่นเขี้ยวอย่างหมายมาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น