นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา
คำกล่าวประจำของชนเผ่า
ซึ่งสลักไว้บนฝาผนังด้วยอักขระอาหรับที่ว่า 'จงให้อาหารแก่อาคันตุกะ แม้ว่าคุณกำลังจะอดตายก็ตาม' ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในเผ่าปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพราะทุกคนต่างต้อนรับอาคันตุกะสาวต่างแดนอย่างเธอ
ด้วยไมตรีอันอบอุ่นและอาหารเลิศรสซึ่งจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย
"เราจะรับประทานอาหารกันแบบนี้
นั่งบนเบาะแบบวิถีโบราณ" ฮาจารีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน พลางเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงบนเบาะที่อยู่ตรงข้ามกับตำแหน่งนั่งของเขา
หญิงสาวนั่งบนเบาะกำมะหยี่ที่เหมือนโซฟาหนานุ่ม
และเบาะลักษณะเดียวกันก็วางล้อมโต๊ะเตี้ยยาวกว่าหกฟุต เธอนั่งพับเพียบส่วนเขานั่งขัดสมาธิ
"หวังว่าเธอคงชอบ" ฮาจารีชี้ชวนให้เธอดูอาหาร
เธอเริ่มชิมรสชาติในจานแรกและจานต่อ ๆ ไป ก่อนเงยขึ้นกล่าวชื่นชม
"จะพูดว่าชอบคงน้อยไปค่ะ
ต้องบอกว่าฉันจะไม่สามารถหาชิมอาหารรสเลิศนี้ได้ที่ไหนเลยในอียิปต์ นอกจากที่นี่"
เธอไม่รู้ว่าภาษาอาหรับอ่อนหัดของเธอ จะสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน
แต่เท่าที่เห็นป้าเฮลย่าโค้งคำนับรับคำชม ก็พอวางใจได้
ป้าเฮลย่ายิ้มละไม ก่อนเอ่ย “ได้โปรดเพลา ๆ
คำเยินยอหน่อยเถอะค่ะเนเฟอร์"
"เนฟอร์?" วาสิตาเลิกคิ้ว สะดุดในคำเรียกขานของหญิงสูงวัย
ฮาจารีเป็นผู้อธิบาย
"เนเฟอร์ เป็นคำเรียกของคนในเผ่าเรา
ที่ยกย่องผู้มีจิตเมตตาดุจพระนางเนเฟอฮามุน"
"พระนางเนเฟอฮามุน"
วาสิตานึกถึงภาพเขียนโบราณที่วิหารอาบิดอส และเรื่องเล่าของเขา "ถ้างั้นภาพบนฝาผนังที่เมืองอาบิดอสก็คือ..."
"พระนางเนเฟอฮามุน"
ฮาจารีพูดต่อ พร้อมให้ข้อมูลเสริม "พระนางเป็นคนในตระกูลของเรา
ไม่เพียงงดงามทางรูปโฉม แต่พระนางยังมีจิตใจที่งดงามยิ่ง”
"และพระนางยังมีหัวใจรักที่มั่นคง
เพราะเมื่อพระนางรักผู้ใดแล้วพระนางจะถวายความจงรักภักดีนั้นให้กับเขาด้วยชีวิต เฉกเช่นพระนางไอซิสถวายความรักความภักดีต่อองค์พระสวามีโอซิริส"
ป้าเฮลย่ากล่าวสมทบ
หัวใจวาสิตาพองโตด้วยความปลาบปลื้ม
เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา แต่คนเหล่านี้ยกย่องด้วยการเรียกขานเธอว่า 'เนเฟอร์'
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย
วาสิตาก็กลับเข้ามาอยู่ในห้องพักกับป้าเฮลย่าอีกครั้ง
สักพักหญิงสาวเดินเข้ามาโค้งศีรษะให้เธอแล้วยืนนิ่ง มีเพียงใบหน้าระบายรอยยิ้ม
เสียงป้าเฮลย่าแนะนำ
"ทาธิยาได้ถูกคัดเลือกมาเพื่อดูแลความสะดวกสบายให้กับคุณ”
จากนั้นหญิงผู้อาวุโสก็หันไปกำชับอีกฝ่ายถึงการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนหันมาบอกต่อเธอ
“เชิญคุณพักผ่อนตามสบาย
มีสิ่งใดที่คุณปรารถนาได้โปรดบอกทาธิยา นางจะทำตามคำสั่งคุณทุกอย่าง
อีกทั้งพาคุณไปทุกที่ที่คุณอยากไป “
ป้าเฮลย่าปฏิบัติต่อเธออย่างนอบน้อม
ก่อนจะถอยตัวเองออกไปและปล่อยให้ทาธิยาได้เข้ามาทำหน้าที่ทันที เธอมองสำรวจสาวใช้
ซึ่งอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับมาเรีย ทั้งสองแต่งกายไม่ต่างกัน จะแตกต่างก็ตรงมาเรียรูปร่างเล็ก
แต่ทาธิยาร่างสูงโปร่งและมีเนื้อหนังมากกว่า
"นายท่านบอกว่าคุณพูดภาษาเราได้”
สาวใช้ประจำเผ่าเอ่ย
"ได้สิ แต่ยังไม่คล่อง
เอาเป็นว่าทาธิยาอย่าพูดเร็วเกินไปก็พอ"
วาสิตาพูดพลางยิ้มหวานให้อีกฝ่ายที่ทำท่าโล่งอก
หมดปัญหาเรื่องการสื่อสารระหว่างกัน
"เอาล่ะ
ทีนี้บอกฉันหน่อยได้มั้ยทาธิยา ห้องนี้จัดเป็นห้องผู้หญิงของฮาจารีหรือเปล่า"
เธอต้องได้คำตอบข้อนี้ก่อน เพื่อจะได้แก้ไขความเข้าใจผิดของทุกคนต่อไป
"ไม่ไช่ค่ะท่านหญิง
ห้องผู้หญิงของนายท่านจะอยู่ด้านหลัง" ทาธิยาเอ่ยตอบ สีหน้ายิ้ม ๆ
"หญิงสาวทุกคนในเผ่าที่อายุครบสิบแปดจะมาขอรับใช้นายท่านที่นั่นค่ะ"
"โอ้โห..ทุกคนเลยเหรอ!
ก็เยอะเลยน่ะสิ"
"ก็เกือบทั้งหมู่บ้านนั่นแหละค่ะ
นายให้ความดูแลทุกคน เพราะแต่ละคนก็ล้วนเป็นลูกหลานของคณะท่านอาวุโสของเผ่า"
"แล้วพวกเขายอมให้ลูกสาวมารับใช้ฮาจารีตั้งแต่อายุสิบแปดเนี่ยนะ"
"เป็นเกียรติของพวกเราที่จะได้รับใช้นายค่ะ..ฉันก็เป็นหนึ่งในหญิงสาวที่ขอมารับใช้นายท่านค่ะ
แต่ฉันขอรับใช้นายท่านด้วยการดูแลผู้หญิงของนายเท่านั้น เพราะฉันไม่สวยเหมือนคนอื่น
ๆ แต่ถ้าฉันเกิดมาสวยเหมือนคุณ
ฉันก็จะขอรับใช้นายท่านค่ะ"
วาสิตาเงียบอึ้ง
เมื่อได้ยินสาวใช้กล่าวแบบนั้น พลางนึกถึงตัวเองแล้วรีบเอ่ยถามเสียงสูง
"อย่าบอก ทาธิยามาดูแลฉันเพราะเข้าใจว่าฉันอยู่ในฐานะผู้หญิงของฮาจารี"
"ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นค่ะท่านหญิง
ฉันจะพาคุณไปพบนายก็ต่อเมื่อคุณพร้อมแล้วเท่านั้น" ทาธิยาส่งสายตาพราวขณะพูด
เธอจึงแอบค้อนเล็ก ๆ ดูเหมือนสาวใช้ฮาจารีจะรู้ทันความคิดของเธอไปเสียหมดไม่ว่ามาเรียหรือทาธิยา
เอ อยากรู้จัง ฮาจารีเรียกใช้บรรดาผู้หญิงของเขายังไงบ้างนะ
"คุณคะ..คุณ"
สาวใช้ร่างสูงโปร่งเรียกสติเธอกลับคืนมา "ขอโทษจ้ะ เมื่อกี๊ทาธิยาพูดอะไรเหรอ"
"ฉันจะพาคุณไปห้องอาบน้ำค่ะ"
ทาธิยาเดินนำเธอออกไปยังห้องอาบน้ำ ซึ่งเธอก็เดินตามทันที
วาสิตาชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อยโดยมีทาธิยาคอยช่วยเหลือ
ระหว่างทาธิยากำลังเช็ดผมและสางผมให้เธอ ร่างท้วมของป้าเฮลย่าเดินถือถาดเล็กมีแก้วน้ำผลไม้วางอยู่
ตามด้วยหญิงสาวรุ่นอีกคน ในมือหญิงสาวคนนั้นถือชุดพับมาอย่างดี
เสียงป้าเฮลย่ากล่าว "ดื่มน้ำผลไม้สักนิดเถอะค่ะท่านหญิง"
เธอรับแก้วน้ำผลไม้มาดื่มเพิ่มความสดชื่นหลังอาบน้ำ
ทว่ายังไม่ถึงสองนาทีความสดชื่นแทบอันตรธานหายไปหมด เมื่อหญิงสาวผู้นั้นส่งชุดที่พับมาให้กับเธอ
"หา!..ให้ฉันสวมชุดนี้" วาสิตาจ้องชุดตัดเย็บด้วยเนื้อผ้าพื้นเมืองเนื้อดีสีเขียวอ่อน
เนื้อผ้าเนียนนุ่ม แต่บางเฉียบจนดูท่าคนใส่เกิดความไม่แน่ใจที่จะใส่เดินออกไปข้างนอก
"เป็นชุดที่เหมาะกับคุณในค่ำคืนนี้ค่ะ"
ป้าเฮลย่ามีสีหน้าเบิกบาน เธอหรี่ตาขณะเอ่ยถามอีกฝ่าย
"คืนนี้จะมีงานอะไรที่นี่หรือคะป้าเฮลย่า"
"ไม่มีงานอะไรหรอกค่ะ
แต่มันเป็นธรรมดาที่ผู้หญิงจะสวมชุดเบาบางเพื่อความสบายในยามค่ำคืน"
"เปลี่ยนเป็นชุดอื่นดีกว่าค่ะ
ชุดนี้ดูแล้วรู้สึกหนาว"
ป้าเฮลย่ายิ้มกว้างเข้าไปอีก
แววตาฉายถึงความเอ็นดู
"ท่านหญิง ในที่พักแห่งนี้คุณจะอบอุ่นตลอดเวลา
และไม่มีชุดไหนทำให้คุณหนาวได้ นอกเสียจากคุณจะไม่ได้สวมชุดใด ๆ เลย"
วาสิตาจำต้องสวมมันท่ามกลางเสียงหัวเราะเบา ๆ
ของป้าเฮลย่า และเมื่อสวมเสร็จทั้งสามก็สำรวจตรวจตราเธออย่างชื่นชม
ด้วยผิวพรรณและทรวดทรงเข้ากับชุดสวยงาม ที่ถูกตัดเย็บจากช่างฝีมือดี
'ยังกะชุดของนางในฮาเร็มเลย' มือเรียวลูบคลำเนื้อผ้าแล้วใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แอบชำเลืองมองบุคคลทั้งสาม
อดนึกวาดภาพฮาจารีเวลามองมาที่เธอ แววตาคงไม่ต่างกัน
'เฮ้อ..ตอนนี้คิดอยากกลับไปสวมชุดเก่าที่กองอยู่บนพื้นนั่นเสียจริง' หญิงสาวก็ได้แค่คิด
เธอเดินตามป้าเฮลย่ามาหยุดยืนหน้าประตูทรงโค้ง
บานประตูเปิดกว้าง เธอเดินมากับป้าเฮลย่าสองคน
ทาธิยาและสาวใช้รุ่นขอตัวไปจัดการงานของตน ระหว่างป้าเฮลย่าหันมาหา
เธอก็ใจหายวาบเพราะวิตกไปว่าตัวเองจะถูกเตรียมส่งตัวมาเป็นอาหารหวานให้กับฮาจารี
"คุณเข้าไปเถอะค่ะท่านหญิง
นายท่านกำลังรอ" ป้าเฮลย่าเอ่ยนอบน้อมเช่นเคย ราวว่าเธอเป็นนายหญิงคนหนึ่ง
วาสิตาเรียกกำลังใจด้วยการมองสบตาผู้สูงวัยที่กำลังส่งยิ้มอ่อนโยน
แต่ครั้นนึกถึงคำพูดของทาธิยาที่แม่สาวใช้เข้าใจว่าเธอเป็นผู้หญิงของฮาจารี มันก็พลอยทำให้ใจหวิว
อดไม่ได้ต้องกระซิบถามป้าเฮลย่าให้แน่ใจ ว่าตนจะไม่ถูกส่งมาเป็นอาหารหวานแก่ชายหนุ่มหัวหน้าเผ่า
"นี่
ไม่ใช่ห้องนอนของฮาจารีใช่มั้ยจ๊ะป้าเฮลย่า?" เพราะถ้าไม่ใช่ห้องนอน
อย่างน้อยเธอก็จะสบายใจว่าคืนนี้ยังปลอดภัย
"ไม่ใช่ค่ะ
ที่พักของนายท่านอยู่ด้านหน้า"ป้าเฮลย่ายิ้มปลอบโยนเข้าใจในอาการตื่นประหม่าของหญิงสาว
"ไม่ต้องตกใจค่ะ ห้องนี้เป็นเพียงห้องนั่งเล่น
นายท่านชอบมานั่งพักผ่อนห้องนี้ ยามค่ำคืนเย็นสบายและหน้าต่างก็กว้างพอที่จะทำให้เรามองเห็นผืนทรายได้กว้าง
อีกทั้งแสงจันทร์จะทำให้จิตใจของเราสงบก่อนจะเข้านอน"
ฮาจารีลุกขึ้นยืนเมื่อวาสิตาเดินเข้ามาหยุดยืนด้านใน
คืนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมไหมสีดำส่งให้รูปร่างสูงใหญ่ของเขาดูแข็งแกร่งแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น
นับเป็นความสมบูรณ์แบบสำหรับบุคลิกสง่างามคมเข้มของผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเผ่า
ห้องทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงนวลบนเชิงเทียนที่มีลายเส้นสีน้ำเงินทอง
อากาศมีกลิ่นหอมของไม้จันทร์
"ห้องนี้.."เขากล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ชวนไปที่หน้าต่างที่เปิดกว้างและมีทรงสูงติดเพดาน
"มันจะทำให้เธอเห็นทุกอย่างที่อยากจะเห็น ลองไปยืนตรงนั้นสิ"
"ค่ะ" หญิงสาวพยักหน้ารับ
และก้าวมายืนตรงหน้าต่างสัมผัสอากาศภายนอกนิ่งสนิทและเย็นยะเยียบ มองผ่านสวนหย่อมเล็ก ๆออกไปนอกกำแพงหินหนาและป้อมรักษาการณ์
ทุกสิ่งเหล่านี้ไม่ได้บดบังทัศนียภาพทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลเลย เธอทิ้งสายตาไปไกลสุดลูกหูลูกตาภายใต้ท้องฟ้าดุจกำมะหยี่สีดำเกล็ดดาวพร่างพราวระยิบยับ
"ถ้าฉันเป็นจิตรกร
ภาพข้างหน้านี้อาจสร้างผลงานชั้นเยี่ยม" หญิงสาวหันมาบอกเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเดินมานั่งลงบนเบาะตรงข้ามกับชายหนุ่ม
เธอสังเกตว่าในมือของฮาจารีถืออินทผลัมก็ต่อเมื่อเขายื่นมันมาให้ เธอรู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมที่คนอียิปต์จะให้แขกได้รับเกียรติชิมอาหารก่อนเจ้าของบ้าน
"ขอบคุณค่ะ"
เธอรับอินทผลัมมากัดใส่ปากเพียงนิด ต่อเมื่อได้ยินคำถามจากเขา เธอจึงวางมันลงบนจานเปล่าที่อยู่ตรงหน้า
"วาสิตา
เธอกลัวความเงียบเหงาจากทะเลทรายหรือเปล่า"
"ไม่ค่ะ" เธอตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด
เพราะมั่นใจว่าเธอไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ตรงข้ามกลับสัมผัสถึงความสงบเงียบและความงดงามของทะเลทรายภายใต้แสงจันทร์
"เพราะถ้าคิดในแง่ดี
ฉันกลับคิดว่าความเงียบนำพาให้ใจเราสงบท้องทะเลทรายคล้ายมีมนต์เสน่ห์ที่ทำให้คนลุ่มหลง
และเสน่ห์ของมันทำให้ฉันต้องเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงอียิปต์"
"ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้
เพราะอย่างน้อยฉันก็รู้แล้วว่าอาณาจักรโบราณแห่งนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอยากจะจากไปเร็วนัก"
'ไม่เลยฮาจารี
ตรงข้ามฉันกลับรู้สึกดีใจที่ได้มา..ดีใจอย่างไร้เหตุผล' ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงเกิดความรู้สึกเบิกบานใจมากมายต่อสถานที่ต่างถิ่นแห่งนี้
เธอเองไม่เคยคิดฝันจะได้มาเยือนด้วยซ้ำ แต่นี่แค่เพียงไม่กี่วันมันก่อเกิดความผูกพันและทำให้เธอไม่คิดอยากจากไป
อยากอยู่ที่นี่ อยู่นาน ๆ อยู่ตลอดไป
"ฮาจารี คุณให้ฉันมาพบ
คุณต้องการคุยเรื่องอะไรกับฉันหรือเปล่า" วาสิตาตัดบทเปลี่ยนเรื่องคุย
เพราะการคุยถึงสิ่งที่อยู่ในใจมันรังแต่จะทำให้เธอรู้สึกอึดอัดที่จะตอบคำถาม
เนื่องจากตัวเธอเองก็เริ่มสับสนจนไม่เข้าใจตัวเองเข้าไปทุกที
"อยากคุยกับเธอเรื่องเผ่าของเรา
เธอสนใจฟังหรือเปล่า" ฮาจารีรู้ตัวว่าได้สร้างความอึดอัดใจให้แก่หญิงสาว
จึงเบนบทสนทนาไปยังเผ่าของตน
"สนใจมากค่ะ อย่างน้อยการได้รู้จักเผ่าเก่าแก่ของคุณก็เท่ากับฉันได้รู้จักอียิปต์โบราณมากขึ้น"
หญิงสาวเอ่ยด้วยความรู้สึกยกย่องเผ่าเก่าโบราณที่ยังดำรงอยู่ของเขาอย่างจริงใจ
"เราเป็นชนเผ่าหนึ่งที่มีเชื้อสายเดียวกับองค์ราชินีเนเฟอฮามุน
ตระกูลของเราเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนัก พระนางเป็นสตรีในเผ่าที่ได้รับเลือกจากองค์ฟาโรห์เมเรเนสขึ้นเป็นราชินีคู่บัลลังก์”
“คฤหาสน์ในไคโรล่ะคะ?” เธอเอ่ยแทรกขึ้น
เพราะเห็นว่าที่พักแห่งนั้นก็เป็นบ้านของเขา
“คฤหาสน์กลางกรุงไคโรเป็นเพียงศูนย์การติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ
ส่วนบ้านจริง ๆ ของฉันคือที่แห่งนี้ และคนเหล่านี้ก็คือพี่น้องของฉัน”
"แล้วซูนัคเซนล่ะคะ
เขาเป็นพี่น้องจริง ๆ ของคุณหรือเปล่า ฉันไม่เห็นใครพูดถึงเขาเลย"
นี่ยังไม่รวมท่าทางอึกอักของมาเรียยามกล่าวถึงคนผู้นั้น
ชายหนุ่มเงียบไปสักพักจึงเอ่ยตอบ
"ซูนัคเซนกลายเป็นคนนอกไปแล้ว
และเขาจะอยู่ในที่ที่เป็นของเขาเท่านั้น"
วาสิตาสังเกตว่าน้ำเสียงของเขาขึ้งเครียด
คิ้วก็ขมวดมุ่น
สีหน้าท่าทางไม่ได้ยินดียินร้ายต่อการกล่าวถึงผู้เป็นน้องชายว่าเป็นคนนอก
"เขาไม่ใช่น้องชายแท้ ๆ
ของคุณหรือคะ"
"เขาเคยเป็น..และเขาก็อยู่ที่นี่กับเรา
ต่อเมื่อฉันได้ขึ้นปกครองเผ่า เขาจึงต้องออกจากเผ่าไปใช้ชีวิตข้างนอกตามธรรมเนียม เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย
แย่งชิงอำนาจกันเอง"
ฮาจารีบอกเล่าธรรมเนียมของเผ่าอัล-ซาฮาน ที่มีมาแต่บรรพกาล
"อ๋อ
เป็นการป้องกันพี่น้องทะเลาะกันเองงั้นสิ อืมม์ ก็ดีค่ะ" วาสิตาครุ่นคิด และเห็นด้วยกับธรรมเนียมของเผ่า
ก่อนเอ่ยถามต่อว่า "แล้วอย่างนี้
ซูนัคเซนยังถือว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าอยู่หรือเปล่าคะ"
"ไม่ แต่ฉันยังคงให้ความเอื้อเฟื้อและรับผิดชอบการดำเนินชีวิตของเขา
เหมือนผู้ร่วมสายเลือดทุกคนที่ต้องออกจากเผ่าไปใช้ชีวิตข้างนอกตามกฏ"
สีหน้าชายหนุ่มเครียดขรึมขึ้นทุกที ๆ วาสิตารู้สึกว่าคุยเรื่องนี้ไม่ค่อยดีเลย
จึงชวนเขาดูดวงจันทร์และเริ่มซํกถามเขาถึงเรื่องราวของราชินีเนเฟอฮามุน
เมื่อได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษของเผ่าอัล-ซาฮานพอสมควร
วาสิตาก็ขอตัวกลับมายังห้องนอนของตนซึ่งเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่แทนที่เธอจะเอนตัวลงนอนให้สมกับร่างกายเพลียจัด
เธอกลับลุกไปยืนตรงหน้าต่างที่ถึงแม้จะเล็กกว่าหน้าต่างห้องนั่งเล่น แต่มองเห็นทะเลทรายเช่นกัน
สายตาทอดยาวไปอย่างไร้จุดหมายนั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ฮาจารีบอกเล่าและเธอเก็บมาครุ่นคิด
ในยุคราชอาณาจักรโบราณ
ฟาโรห์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และมีส่วนสำคัญในกิจการทั้งหมดของรัฐ เป็นเรื่องยากที่พระองค์จะควบคุมไว้ได้หมดเพียงองค์เดียว
จึงมีการแต่งตั้งและมอบอำนาจกระจายความรับผิดชอบแก่ผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐต่างๆ
ต่อเมื่ออำนาจตกอยู่ในมือผู้หลงระเริงบางคน คนพวกนั้นก็คิดหาสมัครพรรคพวกรวมกลุ่มกันก่อกบฎ
จนกระทั่งกลายเป็นสงครามกลางเมือง
ตระกูลใหญ่ที่ทรงอำนาจมายาวนานต่างรวมตัวกันต่อต้านฝ่ายแรก
ทำให้เกิดการจลาจล บางมณฑลเริ่มทำตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับองค์กษัตริย์
รัฐแยกตัวปกครองกันเองทำให้ระบอบกษัตริย์แทบล่มสลายมีการปรับเปลี่ยนสังคมทั่วทั้งอียิปต์
ตระกูลปาราสิคประสบความสำเร็จในการเข้าครอบงำราชวงศ์ผู้สืบทอดบังลังก์
อัล-อัซฮาห์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีต้นตระกูลนักรบแห่งเผ่าอัล-ซาฮาน
มีธิดาผู้เลอโฉมนามเนเฟอฮามุน นางได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นองค์ราชินีเคียงคู่องค์กษัตริย์เมเรเนส
ส่งผลให้ตระกูลนักรบทรงอำนาจและเข้มแข็งมากกว่าเผ่าอื่น ๆ
และเมื่อเหล่านักรบของเผ่าได้ทำการกอบกู้บัลลังก์คืนฟาโรห์เมเรเนสสำเร็จ
องค์ฟาโรห์ก็ตอบแทนพวกเขาด้วยพื้นที่ในความครอบครองโดยชอบธรรม เพื่อสร้างเป็นมณฑลของตระกูล
พระนางเนเฟอฮามุนร่วมสร้างหมู่บ้านอัล-ซาฮานเพื่อรองรับการขยับขยายของลูกหลานรุ่นต่อๆ
ไป จวบจนชนในเผ่ามีชีวิตอยู่อย่างสงบสืบมาชั่วลูกชั่วหลาน
แต่สิ่งที่น่าเศร้าสำหรับผู้ที่เป็นสายเลือดเดียวกันคือ
การต้องตัดขาดจากกันเพียงเพื่อกฎการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ผู้ได้รับเลือกปกครองเผ่าต้องเป็นทายาทที่ถือกำเนิดจากสายเลือดตระกูลอัล-อัซฮาห์โดยตรง
และถ้าลูกคนหนึ่งคนใดได้รับเลือก ลูกที่เหลือต้องออกไปใช้ชีวิตภายนอก ห้ามเข้ามาวุ่นวายภายในเผ่าอีกเป็นอันขาด
การแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นได้แม้เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต
เผ่าอัล-ซาฮานจึงตั้งกฎประเพณีนี้ขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิงภายใน จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ลูกชายเกิดจากนางในคนอื่น
ๆ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นตลอดมา
หญิงสาวยืนครุ่ดคิดเรื่องราวต่าง
ๆ แล้วทอดถอนใจให้กับเหล่าลูกหลานตระกูลอัล-ซาฮาน ที่ต่างถูกกำหนดชะตาตั้งแต่กำเนิด
จากนั้นมือเรียวเอื้อมหยิบหนังสือที่ยืมฮาจารีมาจากห้องสมุดใต้ดิน
เธอเปิดหนังสือหน้าต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ พลันสายตาสะดุดอักษรภาพ ซึ่งน่าจะกล่าวถึงเหรียญศักดิ์สิทธิ์หรือดวงตาแห่งเทพ
เธอเคยเห็นแต่เหรียญสุริยะตาขวา
แต่ภาพเหรียญปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือนี้แปลกออกไป ซึ่งข้อความที่เป็นอักษรภาพเธอก็พอจะแปลความหมายออกได้บ้าง
ด้วยสนใจศึกษาอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิคมายาวนาน
ตอนท้ายในบทความกล่าวถึงเหรียญสุริยะและเหรียญจันทราว่า
'เหรียญสุริยะหลอมรวมจันทรา..จะมีพลังมหาศาล
เมื่อใจสองดวงรวมเป็นหนึ่ง'
หมายความว่ายังไง แล้วเหรียญจันทราหายไปไหนกันนะ?
ย้อนนึกถึงเหรียญจันทราในนิมิตครั้งหนึ่งซึ่งมาพร้อมการปรากฎร่างนิมิตของพระนางไอซิส
คราวนั้นพระนางบอกกล่าวกับเธอถึงผู้เปิดประตูอิสรภาพ และพระนางมอบเหรียญลักษณะเป็นดวงตาที่ภายในเป็นรูปพระจันทร์ใส่มือของเธอ
เหตุใดพระนางไอซิสต้องมอบเหรียญนั้นให้กับเธอ
จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันมั้ยนะกับเรื่องราวที่วนเวียนรอบตัวเธออย่างนี้ และตัวเธอล่ะ
ไปเกี่ยวข้องตำนานพันปีนั้นได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น