วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทรายร้อนซ่อนเสน่หา : บทที่ 7 เหรียญจันทรา



นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา





คำกล่าวประจำของชนเผ่า ซึ่งสลักไว้บนฝาผนังด้วยอักขระอาหรับที่ว่า 'จงให้อาหารแก่อาคันตุกะ แม้ว่าคุณกำลังจะอดตายก็ตาม' ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในเผ่าปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพราะทุกคนต่างต้อนรับอาคันตุกะสาวต่างแดนอย่างเธอ ด้วยไมตรีอันอบอุ่นและอาหารเลิศรสซึ่งจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย
            "เราจะรับประทานอาหารกันแบบนี้ นั่งบนเบาะแบบวิถีโบราณ" ฮาจารีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน พลางเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงบนเบาะที่อยู่ตรงข้ามกับตำแหน่งนั่งของเขา
            หญิงสาวนั่งบนเบาะกำมะหยี่ที่เหมือนโซฟาหนานุ่ม และเบาะลักษณะเดียวกันก็วางล้อมโต๊ะเตี้ยยาวกว่าหกฟุต เธอนั่งพับเพียบส่วนเขานั่งขัดสมาธิ
            "หวังว่าเธอคงชอบ" ฮาจารีชี้ชวนให้เธอดูอาหาร เธอเริ่มชิมรสชาติในจานแรกและจานต่อ ๆ ไป ก่อนเงยขึ้นกล่าวชื่นชม
            "จะพูดว่าชอบคงน้อยไปค่ะ ต้องบอกว่าฉันจะไม่สามารถหาชิมอาหารรสเลิศนี้ได้ที่ไหนเลยในอียิปต์ นอกจากที่นี่" เธอไม่รู้ว่าภาษาอาหรับอ่อนหัดของเธอ จะสื่อสารให้คนอื่นเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่เห็นป้าเฮลย่าโค้งคำนับรับคำชม ก็พอวางใจได้
ป้าเฮลย่ายิ้มละไม ก่อนเอ่ย “ได้โปรดเพลา ๆ คำเยินยอหน่อยเถอะค่ะเนเฟอร์"
            "เนฟอร์?" วาสิตาเลิกคิ้ว สะดุดในคำเรียกขานของหญิงสูงวัย
            ฮาจารีเป็นผู้อธิบาย "เนเฟอร์ เป็นคำเรียกของคนในเผ่าเรา ที่ยกย่องผู้มีจิตเมตตาดุจพระนางเนเฟอฮามุน"
            "พระนางเนเฟอฮามุน" วาสิตานึกถึงภาพเขียนโบราณที่วิหารอาบิดอส และเรื่องเล่าของเขา "ถ้างั้นภาพบนฝาผนังที่เมืองอาบิดอสก็คือ..."
            "พระนางเนเฟอฮามุน" ฮาจารีพูดต่อ พร้อมให้ข้อมูลเสริม "พระนางเป็นคนในตระกูลของเรา ไม่เพียงงดงามทางรูปโฉม แต่พระนางยังมีจิตใจที่งดงามยิ่ง”
            "และพระนางยังมีหัวใจรักที่มั่นคง เพราะเมื่อพระนางรักผู้ใดแล้วพระนางจะถวายความจงรักภักดีนั้นให้กับเขาด้วยชีวิต เฉกเช่นพระนางไอซิสถวายความรักความภักดีต่อองค์พระสวามีโอซิริส" ป้าเฮลย่ากล่าวสมทบ
            หัวใจวาสิตาพองโตด้วยความปลาบปลื้ม เธอเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดา แต่คนเหล่านี้ยกย่องด้วยการเรียกขานเธอว่า 'เนเฟอร์'
            หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อย วาสิตาก็กลับเข้ามาอยู่ในห้องพักกับป้าเฮลย่าอีกครั้ง สักพักหญิงสาวเดินเข้ามาโค้งศีรษะให้เธอแล้วยืนนิ่ง มีเพียงใบหน้าระบายรอยยิ้ม
เสียงป้าเฮลย่าแนะนำ
            "ทาธิยาได้ถูกคัดเลือกมาเพื่อดูแลความสะดวกสบายให้กับคุณ” จากนั้นหญิงผู้อาวุโสก็หันไปกำชับอีกฝ่ายถึงการปฏิบัติหน้าที่ ก่อนหันมาบอกต่อเธอ
“เชิญคุณพักผ่อนตามสบาย มีสิ่งใดที่คุณปรารถนาได้โปรดบอกทาธิยา นางจะทำตามคำสั่งคุณทุกอย่าง อีกทั้งพาคุณไปทุกที่ที่คุณอยากไป “
ป้าเฮลย่าปฏิบัติต่อเธออย่างนอบน้อม ก่อนจะถอยตัวเองออกไปและปล่อยให้ทาธิยาได้เข้ามาทำหน้าที่ทันที เธอมองสำรวจสาวใช้ ซึ่งอายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับมาเรีย ทั้งสองแต่งกายไม่ต่างกัน จะแตกต่างก็ตรงมาเรียรูปร่างเล็ก แต่ทาธิยาร่างสูงโปร่งและมีเนื้อหนังมากกว่า
            "นายท่านบอกว่าคุณพูดภาษาเราได้” สาวใช้ประจำเผ่าเอ่ย
            "ได้สิ แต่ยังไม่คล่อง เอาเป็นว่าทาธิยาอย่าพูดเร็วเกินไปก็พอ" วาสิตาพูดพลางยิ้มหวานให้อีกฝ่ายที่ทำท่าโล่งอก หมดปัญหาเรื่องการสื่อสารระหว่างกัน
            "เอาล่ะ ทีนี้บอกฉันหน่อยได้มั้ยทาธิยา ห้องนี้จัดเป็นห้องผู้หญิงของฮาจารีหรือเปล่า" เธอต้องได้คำตอบข้อนี้ก่อน เพื่อจะได้แก้ไขความเข้าใจผิดของทุกคนต่อไป
            "ไม่ไช่ค่ะท่านหญิง ห้องผู้หญิงของนายท่านจะอยู่ด้านหลัง" ทาธิยาเอ่ยตอบ สีหน้ายิ้ม ๆ "หญิงสาวทุกคนในเผ่าที่อายุครบสิบแปดจะมาขอรับใช้นายท่านที่นั่นค่ะ"
            "โอ้โห..ทุกคนเลยเหรอ! ก็เยอะเลยน่ะสิ"
            "ก็เกือบทั้งหมู่บ้านนั่นแหละค่ะ นายให้ความดูแลทุกคน เพราะแต่ละคนก็ล้วนเป็นลูกหลานของคณะท่านอาวุโสของเผ่า"
            "แล้วพวกเขายอมให้ลูกสาวมารับใช้ฮาจารีตั้งแต่อายุสิบแปดเนี่ยนะ"
            "เป็นเกียรติของพวกเราที่จะได้รับใช้นายค่ะ..ฉันก็เป็นหนึ่งในหญิงสาวที่ขอมารับใช้นายท่านค่ะ แต่ฉันขอรับใช้นายท่านด้วยการดูแลผู้หญิงของนายเท่านั้น เพราะฉันไม่สวยเหมือนคนอื่น ๆ  แต่ถ้าฉันเกิดมาสวยเหมือนคุณ ฉันก็จะขอรับใช้นายท่านค่ะ"
            วาสิตาเงียบอึ้ง เมื่อได้ยินสาวใช้กล่าวแบบนั้น พลางนึกถึงตัวเองแล้วรีบเอ่ยถามเสียงสูง
            "อย่าบอก ทาธิยามาดูแลฉันเพราะเข้าใจว่าฉันอยู่ในฐานะผู้หญิงของฮาจารี"
            "ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นค่ะท่านหญิง ฉันจะพาคุณไปพบนายก็ต่อเมื่อคุณพร้อมแล้วเท่านั้น" ทาธิยาส่งสายตาพราวขณะพูด เธอจึงแอบค้อนเล็ก ๆ ดูเหมือนสาวใช้ฮาจารีจะรู้ทันความคิดของเธอไปเสียหมดไม่ว่ามาเรียหรือทาธิยา
            เอ อยากรู้จัง ฮาจารีเรียกใช้บรรดาผู้หญิงของเขายังไงบ้างนะ
"คุณคะ..คุณ"
สาวใช้ร่างสูงโปร่งเรียกสติเธอกลับคืนมา    "ขอโทษจ้ะ เมื่อกี๊ทาธิยาพูดอะไรเหรอ"
            "ฉันจะพาคุณไปห้องอาบน้ำค่ะ" ทาธิยาเดินนำเธอออกไปยังห้องอาบน้ำ ซึ่งเธอก็เดินตามทันที
            วาสิตาชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อยโดยมีทาธิยาคอยช่วยเหลือ ระหว่างทาธิยากำลังเช็ดผมและสางผมให้เธอ ร่างท้วมของป้าเฮลย่าเดินถือถาดเล็กมีแก้วน้ำผลไม้วางอยู่ ตามด้วยหญิงสาวรุ่นอีกคน ในมือหญิงสาวคนนั้นถือชุดพับมาอย่างดี
 เสียงป้าเฮลย่ากล่าว "ดื่มน้ำผลไม้สักนิดเถอะค่ะท่านหญิง"
เธอรับแก้วน้ำผลไม้มาดื่มเพิ่มความสดชื่นหลังอาบน้ำ ทว่ายังไม่ถึงสองนาทีความสดชื่นแทบอันตรธานหายไปหมด เมื่อหญิงสาวผู้นั้นส่งชุดที่พับมาให้กับเธอ
            "หา!..ให้ฉันสวมชุดนี้" วาสิตาจ้องชุดตัดเย็บด้วยเนื้อผ้าพื้นเมืองเนื้อดีสีเขียวอ่อน เนื้อผ้าเนียนนุ่ม แต่บางเฉียบจนดูท่าคนใส่เกิดความไม่แน่ใจที่จะใส่เดินออกไปข้างนอก  
            "เป็นชุดที่เหมาะกับคุณในค่ำคืนนี้ค่ะ" ป้าเฮลย่ามีสีหน้าเบิกบาน เธอหรี่ตาขณะเอ่ยถามอีกฝ่าย
            "คืนนี้จะมีงานอะไรที่นี่หรือคะป้าเฮลย่า"
            "ไม่มีงานอะไรหรอกค่ะ แต่มันเป็นธรรมดาที่ผู้หญิงจะสวมชุดเบาบางเพื่อความสบายในยามค่ำคืน"
            "เปลี่ยนเป็นชุดอื่นดีกว่าค่ะ ชุดนี้ดูแล้วรู้สึกหนาว"
ป้าเฮลย่ายิ้มกว้างเข้าไปอีก แววตาฉายถึงความเอ็นดู
            "ท่านหญิง ในที่พักแห่งนี้คุณจะอบอุ่นตลอดเวลา และไม่มีชุดไหนทำให้คุณหนาวได้ นอกเสียจากคุณจะไม่ได้สวมชุดใด ๆ เลย"
วาสิตาจำต้องสวมมันท่ามกลางเสียงหัวเราะเบา ๆ ของป้าเฮลย่า และเมื่อสวมเสร็จทั้งสามก็สำรวจตรวจตราเธออย่างชื่นชม ด้วยผิวพรรณและทรวดทรงเข้ากับชุดสวยงาม ที่ถูกตัดเย็บจากช่างฝีมือดี
            'ยังกะชุดของนางในฮาเร็มเลย'  มือเรียวลูบคลำเนื้อผ้าแล้วใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาทันที แอบชำเลืองมองบุคคลทั้งสาม อดนึกวาดภาพฮาจารีเวลามองมาที่เธอ แววตาคงไม่ต่างกัน
            'เฮ้อ..ตอนนี้คิดอยากกลับไปสวมชุดเก่าที่กองอยู่บนพื้นนั่นเสียจริง' หญิงสาวก็ได้แค่คิด
            เธอเดินตามป้าเฮลย่ามาหยุดยืนหน้าประตูทรงโค้ง บานประตูเปิดกว้าง เธอเดินมากับป้าเฮลย่าสองคน ทาธิยาและสาวใช้รุ่นขอตัวไปจัดการงานของตน ระหว่างป้าเฮลย่าหันมาหา เธอก็ใจหายวาบเพราะวิตกไปว่าตัวเองจะถูกเตรียมส่งตัวมาเป็นอาหารหวานให้กับฮาจารี
            "คุณเข้าไปเถอะค่ะท่านหญิง นายท่านกำลังรอ" ป้าเฮลย่าเอ่ยนอบน้อมเช่นเคย ราวว่าเธอเป็นนายหญิงคนหนึ่ง
วาสิตาเรียกกำลังใจด้วยการมองสบตาผู้สูงวัยที่กำลังส่งยิ้มอ่อนโยน แต่ครั้นนึกถึงคำพูดของทาธิยาที่แม่สาวใช้เข้าใจว่าเธอเป็นผู้หญิงของฮาจารี มันก็พลอยทำให้ใจหวิว อดไม่ได้ต้องกระซิบถามป้าเฮลย่าให้แน่ใจ ว่าตนจะไม่ถูกส่งมาเป็นอาหารหวานแก่ชายหนุ่มหัวหน้าเผ่า
            "นี่ ไม่ใช่ห้องนอนของฮาจารีใช่มั้ยจ๊ะป้าเฮลย่า?" เพราะถ้าไม่ใช่ห้องนอน อย่างน้อยเธอก็จะสบายใจว่าคืนนี้ยังปลอดภัย
            "ไม่ใช่ค่ะ ที่พักของนายท่านอยู่ด้านหน้า"ป้าเฮลย่ายิ้มปลอบโยนเข้าใจในอาการตื่นประหม่าของหญิงสาว "ไม่ต้องตกใจค่ะ ห้องนี้เป็นเพียงห้องนั่งเล่น นายท่านชอบมานั่งพักผ่อนห้องนี้ ยามค่ำคืนเย็นสบายและหน้าต่างก็กว้างพอที่จะทำให้เรามองเห็นผืนทรายได้กว้าง อีกทั้งแสงจันทร์จะทำให้จิตใจของเราสงบก่อนจะเข้านอน"
            ฮาจารีลุกขึ้นยืนเมื่อวาสิตาเดินเข้ามาหยุดยืนด้านใน คืนนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อคลุมไหมสีดำส่งให้รูปร่างสูงใหญ่ของเขาดูแข็งแกร่งแต่แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น นับเป็นความสมบูรณ์แบบสำหรับบุคลิกสง่างามคมเข้มของผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเผ่า
            ห้องทั้งห้องสว่างไสวด้วยแสงนวลบนเชิงเทียนที่มีลายเส้นสีน้ำเงินทอง อากาศมีกลิ่นหอมของไม้จันทร์
            "ห้องนี้.."เขากล่าวขึ้นพร้อมกับชี้ชวนไปที่หน้าต่างที่เปิดกว้างและมีทรงสูงติดเพดาน "มันจะทำให้เธอเห็นทุกอย่างที่อยากจะเห็น ลองไปยืนตรงนั้นสิ"
            "ค่ะ" หญิงสาวพยักหน้ารับ และก้าวมายืนตรงหน้าต่างสัมผัสอากาศภายนอกนิ่งสนิทและเย็นยะเยียบ มองผ่านสวนหย่อมเล็ก ๆออกไปนอกกำแพงหินหนาและป้อมรักษาการณ์ ทุกสิ่งเหล่านี้ไม่ได้บดบังทัศนียภาพทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาลเลย เธอทิ้งสายตาไปไกลสุดลูกหูลูกตาภายใต้ท้องฟ้าดุจกำมะหยี่สีดำเกล็ดดาวพร่างพราวระยิบยับ
            "ถ้าฉันเป็นจิตรกร ภาพข้างหน้านี้อาจสร้างผลงานชั้นเยี่ยม" หญิงสาวหันมาบอกเขาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเดินมานั่งลงบนเบาะตรงข้ามกับชายหนุ่ม เธอสังเกตว่าในมือของฮาจารีถืออินทผลัมก็ต่อเมื่อเขายื่นมันมาให้ เธอรู้ว่ามันเป็นธรรมเนียมที่คนอียิปต์จะให้แขกได้รับเกียรติชิมอาหารก่อนเจ้าของบ้าน
            "ขอบคุณค่ะ" เธอรับอินทผลัมมากัดใส่ปากเพียงนิด ต่อเมื่อได้ยินคำถามจากเขา เธอจึงวางมันลงบนจานเปล่าที่อยู่ตรงหน้า
            "วาสิตา เธอกลัวความเงียบเหงาจากทะเลทรายหรือเปล่า"
            "ไม่ค่ะ" เธอตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด เพราะมั่นใจว่าเธอไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นเลย ตรงข้ามกลับสัมผัสถึงความสงบเงียบและความงดงามของทะเลทรายภายใต้แสงจันทร์
            "เพราะถ้าคิดในแง่ดี ฉันกลับคิดว่าความเงียบนำพาให้ใจเราสงบท้องทะเลทรายคล้ายมีมนต์เสน่ห์ที่ทำให้คนลุ่มหลง และเสน่ห์ของมันทำให้ฉันต้องเดินทางมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงอียิปต์"
            "ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดแบบนี้ เพราะอย่างน้อยฉันก็รู้แล้วว่าอาณาจักรโบราณแห่งนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอยากจะจากไปเร็วนัก"
            'ไม่เลยฮาจารี ตรงข้ามฉันกลับรู้สึกดีใจที่ได้มา..ดีใจอย่างไร้เหตุผล' ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงเกิดความรู้สึกเบิกบานใจมากมายต่อสถานที่ต่างถิ่นแห่งนี้ เธอเองไม่เคยคิดฝันจะได้มาเยือนด้วยซ้ำ แต่นี่แค่เพียงไม่กี่วันมันก่อเกิดความผูกพันและทำให้เธอไม่คิดอยากจากไป อยากอยู่ที่นี่ อยู่นาน ๆ อยู่ตลอดไป
            "ฮาจารี คุณให้ฉันมาพบ คุณต้องการคุยเรื่องอะไรกับฉันหรือเปล่า" วาสิตาตัดบทเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะการคุยถึงสิ่งที่อยู่ในใจมันรังแต่จะทำให้เธอรู้สึกอึดอัดที่จะตอบคำถาม เนื่องจากตัวเธอเองก็เริ่มสับสนจนไม่เข้าใจตัวเองเข้าไปทุกที
            "อยากคุยกับเธอเรื่องเผ่าของเรา เธอสนใจฟังหรือเปล่า" ฮาจารีรู้ตัวว่าได้สร้างความอึดอัดใจให้แก่หญิงสาว จึงเบนบทสนทนาไปยังเผ่าของตน
            "สนใจมากค่ะ อย่างน้อยการได้รู้จักเผ่าเก่าแก่ของคุณก็เท่ากับฉันได้รู้จักอียิปต์โบราณมากขึ้น" หญิงสาวเอ่ยด้วยความรู้สึกยกย่องเผ่าเก่าโบราณที่ยังดำรงอยู่ของเขาอย่างจริงใจ
            "เราเป็นชนเผ่าหนึ่งที่มีเชื้อสายเดียวกับองค์ราชินีเนเฟอฮามุน ตระกูลของเราเป็นขุนนางระดับสูงในราชสำนัก พระนางเป็นสตรีในเผ่าที่ได้รับเลือกจากองค์ฟาโรห์เมเรเนสขึ้นเป็นราชินีคู่บัลลังก์”
“คฤหาสน์ในไคโรล่ะคะ?” เธอเอ่ยแทรกขึ้น เพราะเห็นว่าที่พักแห่งนั้นก็เป็นบ้านของเขา
“คฤหาสน์กลางกรุงไคโรเป็นเพียงศูนย์การติดต่อสื่อสารทางธุรกิจ ส่วนบ้านจริง ๆ ของฉันคือที่แห่งนี้ และคนเหล่านี้ก็คือพี่น้องของฉัน”
            "แล้วซูนัคเซนล่ะคะ เขาเป็นพี่น้องจริง ๆ ของคุณหรือเปล่า ฉันไม่เห็นใครพูดถึงเขาเลย" นี่ยังไม่รวมท่าทางอึกอักของมาเรียยามกล่าวถึงคนผู้นั้น
            ชายหนุ่มเงียบไปสักพักจึงเอ่ยตอบ "ซูนัคเซนกลายเป็นคนนอกไปแล้ว และเขาจะอยู่ในที่ที่เป็นของเขาเท่านั้น"
วาสิตาสังเกตว่าน้ำเสียงของเขาขึ้งเครียด คิ้วก็ขมวดมุ่น สีหน้าท่าทางไม่ได้ยินดียินร้ายต่อการกล่าวถึงผู้เป็นน้องชายว่าเป็นคนนอก
            "เขาไม่ใช่น้องชายแท้ ๆ ของคุณหรือคะ"
            "เขาเคยเป็น..และเขาก็อยู่ที่นี่กับเรา ต่อเมื่อฉันได้ขึ้นปกครองเผ่า เขาจึงต้องออกจากเผ่าไปใช้ชีวิตข้างนอกตามธรรมเนียม เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งฝั่งแบ่งฝ่าย แย่งชิงอำนาจกันเอง"
ฮาจารีบอกเล่าธรรมเนียมของเผ่าอัล-ซาฮาน ที่มีมาแต่บรรพกาล
            "อ๋อ เป็นการป้องกันพี่น้องทะเลาะกันเองงั้นสิ อืมม์ ก็ดีค่ะ" วาสิตาครุ่นคิด และเห็นด้วยกับธรรมเนียมของเผ่า ก่อนเอ่ยถามต่อว่า "แล้วอย่างนี้ ซูนัคเซนยังถือว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่งของเผ่าอยู่หรือเปล่าคะ"
            "ไม่ แต่ฉันยังคงให้ความเอื้อเฟื้อและรับผิดชอบการดำเนินชีวิตของเขา เหมือนผู้ร่วมสายเลือดทุกคนที่ต้องออกจากเผ่าไปใช้ชีวิตข้างนอกตามกฏ"
สีหน้าชายหนุ่มเครียดขรึมขึ้นทุกที ๆ วาสิตารู้สึกว่าคุยเรื่องนี้ไม่ค่อยดีเลย จึงชวนเขาดูดวงจันทร์และเริ่มซํกถามเขาถึงเรื่องราวของราชินีเนเฟอฮามุน
            เมื่อได้รับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับบรรพบุรุษของเผ่าอัล-ซาฮานพอสมควร วาสิตาก็ขอตัวกลับมายังห้องนอนของตนซึ่งเป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่แทนที่เธอจะเอนตัวลงนอนให้สมกับร่างกายเพลียจัด เธอกลับลุกไปยืนตรงหน้าต่างที่ถึงแม้จะเล็กกว่าหน้าต่างห้องนั่งเล่น แต่มองเห็นทะเลทรายเช่นกัน
สายตาทอดยาวไปอย่างไร้จุดหมายนั้น เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ฮาจารีบอกเล่าและเธอเก็บมาครุ่นคิด
            ในยุคราชอาณาจักรโบราณ ฟาโรห์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด และมีส่วนสำคัญในกิจการทั้งหมดของรัฐ เป็นเรื่องยากที่พระองค์จะควบคุมไว้ได้หมดเพียงองค์เดียว จึงมีการแต่งตั้งและมอบอำนาจกระจายความรับผิดชอบแก่ผู้มีอำนาจสูงสุดของรัฐต่างๆ
ต่อเมื่ออำนาจตกอยู่ในมือผู้หลงระเริงบางคน คนพวกนั้นก็คิดหาสมัครพรรคพวกรวมกลุ่มกันก่อกบฎ จนกระทั่งกลายเป็นสงครามกลางเมือง
            ตระกูลใหญ่ที่ทรงอำนาจมายาวนานต่างรวมตัวกันต่อต้านฝ่ายแรก ทำให้เกิดการจลาจล บางมณฑลเริ่มทำตัวเป็นอิสระไม่ขึ้นกับองค์กษัตริย์ รัฐแยกตัวปกครองกันเองทำให้ระบอบกษัตริย์แทบล่มสลายมีการปรับเปลี่ยนสังคมทั่วทั้งอียิปต์ ตระกูลปาราสิคประสบความสำเร็จในการเข้าครอบงำราชวงศ์ผู้สืบทอดบังลังก์
            อัล-อัซฮาห์ ขุนนางชั้นผู้ใหญ่มีต้นตระกูลนักรบแห่งเผ่าอัล-ซาฮาน มีธิดาผู้เลอโฉมนามเนเฟอฮามุน นางได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นองค์ราชินีเคียงคู่องค์กษัตริย์เมเรเนส ส่งผลให้ตระกูลนักรบทรงอำนาจและเข้มแข็งมากกว่าเผ่าอื่น ๆ
            และเมื่อเหล่านักรบของเผ่าได้ทำการกอบกู้บัลลังก์คืนฟาโรห์เมเรเนสสำเร็จ องค์ฟาโรห์ก็ตอบแทนพวกเขาด้วยพื้นที่ในความครอบครองโดยชอบธรรม เพื่อสร้างเป็นมณฑลของตระกูล
พระนางเนเฟอฮามุนร่วมสร้างหมู่บ้านอัล-ซาฮานเพื่อรองรับการขยับขยายของลูกหลานรุ่นต่อๆ ไป จวบจนชนในเผ่ามีชีวิตอยู่อย่างสงบสืบมาชั่วลูกชั่วหลาน
            แต่สิ่งที่น่าเศร้าสำหรับผู้ที่เป็นสายเลือดเดียวกันคือ การต้องตัดขาดจากกันเพียงเพื่อกฎการสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่า ผู้ได้รับเลือกปกครองเผ่าต้องเป็นทายาทที่ถือกำเนิดจากสายเลือดตระกูลอัล-อัซฮาห์โดยตรง และถ้าลูกคนหนึ่งคนใดได้รับเลือก ลูกที่เหลือต้องออกไปใช้ชีวิตภายนอก ห้ามเข้ามาวุ่นวายภายในเผ่าอีกเป็นอันขาด
            การแย่งชิงอำนาจเกิดขึ้นได้แม้เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต เผ่าอัล-ซาฮานจึงตั้งกฎประเพณีนี้ขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดการแย่งชิงภายใน จึงกลายเป็นธรรมเนียมที่ลูกชายเกิดจากนางในคนอื่น ๆ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นตลอดมา
            หญิงสาวยืนครุ่ดคิดเรื่องราวต่าง ๆ แล้วทอดถอนใจให้กับเหล่าลูกหลานตระกูลอัล-ซาฮาน ที่ต่างถูกกำหนดชะตาตั้งแต่กำเนิด
จากนั้นมือเรียวเอื้อมหยิบหนังสือที่ยืมฮาจารีมาจากห้องสมุดใต้ดิน เธอเปิดหนังสือหน้าต่าง ๆ อย่างคร่าว ๆ พลันสายตาสะดุดอักษรภาพ ซึ่งน่าจะกล่าวถึงเหรียญศักดิ์สิทธิ์หรือดวงตาแห่งเทพ
            เธอเคยเห็นแต่เหรียญสุริยะตาขวา แต่ภาพเหรียญปรากฏอยู่ในหน้าหนังสือนี้แปลกออกไป ซึ่งข้อความที่เป็นอักษรภาพเธอก็พอจะแปลความหมายออกได้บ้าง ด้วยสนใจศึกษาอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิคมายาวนาน
ตอนท้ายในบทความกล่าวถึงเหรียญสุริยะและเหรียญจันทราว่า 'เหรียญสุริยะหลอมรวมจันทรา..จะมีพลังมหาศาล เมื่อใจสองดวงรวมเป็นหนึ่ง'
            หมายความว่ายังไง แล้วเหรียญจันทราหายไปไหนกันนะ?
            ย้อนนึกถึงเหรียญจันทราในนิมิตครั้งหนึ่งซึ่งมาพร้อมการปรากฎร่างนิมิตของพระนางไอซิส คราวนั้นพระนางบอกกล่าวกับเธอถึงผู้เปิดประตูอิสรภาพ และพระนางมอบเหรียญลักษณะเป็นดวงตาที่ภายในเป็นรูปพระจันทร์ใส่มือของเธอ
            เหตุใดพระนางไอซิสต้องมอบเหรียญนั้นให้กับเธอ จะมีอะไรเกี่ยวข้องกันมั้ยนะกับเรื่องราวที่วนเวียนรอบตัวเธออย่างนี้ และตัวเธอล่ะ ไปเกี่ยวข้องตำนานพันปีนั้นได้อย่างไร
 

 




 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น