วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทรายร้อนซ่อนเสน่หา : ตำนานมหาเทพ


นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา





สามวันต่อมาฮาจารีสร้างความตื่นเต้นดีใจให้กับเธออีกครั้ง เมื่อเขาบอกให้เธอเตรียมตัวไปล่องลำน้ำไนล์กับเขา การล่องเรือคราวนี้จะเป็นทริปพิเศษสุดที่เขาเตรียมไว้ให้เธอ 
วาสิตาดีใจจนแทบจะกินอาหารทุกอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ ตามที่เคยให้สัญญากับเขาว่าเธอจะเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง
            ฮาจารีพาเธอมาล่องน้ำด้วยเรือใบเฟลุกกะเรือใบโบราณที่มีสืบเนื่องมายาวนานเป็นพัน ๆ ปี เจ้าเรือใบโบราณนี้ไม่มีเครื่องยนต์ พื้นปูลาดด้วยเบาะนุ่ม ๆ ด้านหน้าสุดของเรือเป็นห้องเล็ก ๆ เพดานเตี้ยสำหรับลูกเรือใช้นั่งใบเรือโบกสะบัดเมื่อการล่องของเรือเป็นไปตามกระแสน้ำและกระแสลม ถัดจากลูกเรือก็มีชาระนั่งคุมความปลอดภัยให้ทั้งคู่อยู่อีกคน
            วาสิตามองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ยืนทอดอารมณ์กับสายลมเย็นอยู่ตรงหัวเรือ ชั่วขณะภาพของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ สวมชุดเกราะสีดำสนิท มีหมวกปิดบังใบหน้าบนรถม้าศึก ปรากฏขึ้นทับซ้อนร่างชายหนุ่มตรงหน้าขึ้นมา!
            ทำเอาเธอเบิกตาค้าง
            "มองแบบนี้ เห็นอะไรขึ้นมาอีกหรือเปล่า?" ฮาจารีถามด้วยความสงสัย เมื่อเห็นหญิงสาวมองค้างด้วยสายตาแปลก ๆ
            "เอ่อ.." วาสิตาสะดุ้งแล้วรู้สึกเขิน ที่มองเขาไม่วางตาแบบนั้น พลางพูดเฉไฉไปเรื่องอื่น "ฉันเห็นสภาพบ้านเมืองแถบนี้ แตกต่างจากที่ผ่านมาเมื่อกี๊นี้ ก็เลยคิดว่าจะถาม แต่ตอนนี้ไม่แล้ว " พูดเสร็จ เธอแสร้งหันไปสนใจอาคารบ้านเรือนตามริมน้ำไนล์ สภาพเมืองในปัจจุบันล้วนเป็นคฤหาสน์ของเศรษฐีอาหรับ ซึ่งอยู่กันอย่างหรูหรา
            "เมืองอาสยุตนี้ ตามประวัติเคยเป็นตลาดค้าทาสใหญ่ที่สุด ทาสจะถูกขนมาจากซูดานและทะเลทรายลิเบีย และโน่น 'อารามเดียร์อัล-อัคร์รา' หรือคอนแวนต์แม่พระ คนที่นี่เชื่อกันว่าเป็นที่พักของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์"
            เสียงไกด์กิตติมศักดิ์ของเธอบรรยายระหว่างที่ชี้ให้ดูสถานที่สำคัญ ๆหลายต่อหลายที่ จนในที่สุดก็มาถึงบริเวณเมืองที่มีตำนานนับพัน ๆปี ของอียิปต์
            "ถึงแล้วนะ" เสียงเขาบอกก่อนร่างใหญ่จะลุกขึ้นและช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นตาม ให้ก้าวขึ้นฝั่งพร้อมกัน เบื้องหลังนั้นมีร่างบึกบึนของผู้อารักขาหนุ่มคอยตามมาติด ๆ และเมื่อมาหยุดยืนบริเวณทางเข้าของสถานที่โอ่โถงแห่งนั้น วาสิตาก็เอ่ยถามเขาว่า
            "ที่นี่คือที่ไหนคะ รู้สึกคุ้นตาจัง" เธอเคยเห็นสถานที่อียิปต์แค่ในภาพถ่าย ย่อมไม่แน่ใจว่าจะใช่สถานที่เดียวกับที่เธอเคยอ่านพบจากในหนังสือหรือเปล่า
            "อาบิดอส" ฮาจารีตอบกลับมา น้ำเสียงของเขาทุ้มนุ่มน่าฟัง
            'อาบิดอส' หัวใจวาสิตาพองโตแทบหลุดออกมาจากอก เธอเคยนึกฝันว่าสักวันจะได้มาเยือนสถานที่นี้ ไม่คาดว่าฝันนั้นจะเป็นจริง
            "อาบิดอส เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องมนต์ขลังความรักของพระนางไอซิส ที่มีต่อพระสวามีโอซิริส" ฮาจารีบอกเล่า และสายตาคมก็สังเกตว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในภวังค์
            ทางฝ่ายหญิงสาวก็กำลังย้อนคิดถึงหนังสือตำนานความรักของมหาเทพแห่งอียิปต์ ที่เธอมักหยิบขึ้นมาอ่านบ่อย ๆ
            งานเขียนอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิคอายุสามพันกว่าปีบนผืนผนัง บ่งบอกอายุย้อนไปในอดีตอันยาวนาน อันเป็นเรื่องราวของกษัตริย์โอซิริสผู้ปกครองเที่ยงธรรม ได้ถูกเทพเซธผู้เป็นพระอนุชาลอบปลงพระชนม์และหั่นพระวรกายของพระองค์เป็นชิ้น ๆ 
           พระนางไอซิสซึ่งเป็นพระชายาได้ออกตามหาชิ้นส่วนของพระสวามีจนครบ แล้วนำไปซ่อนไว้ที่ต่างๆ ภายหลังพระนางไอซิสได้ให้กำเนิดโอรสชื่อฮอรัส ซึ่งต่อมาโอรสฮอรัสได้กลายเป็นเทพแห่งสงคราม จากนั้นพระองค์ตามแก้แค้นให้พระบิดาโดยทำศึกกับเทพเซธและได้รับชัยชนะ
            "ว่ากันว่า..ชิ้นส่วนต่าง ๆของกษัตริย์โอซิริส พระนางไอซิสนำไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ ซึ่งพระเศียรขององค์กษัตริย์เป็นชิ้นส่วนสุดท้ายที่ค้นพบที่นี่ พร้อมกับการทำพิธีฟื้นคืนชีพของพระองค์ใช่มั้ยคะ?"
            "ใช่ และบริเวณนี้ดั่งจุดกำเนิดชีวิตใหม่ของพระองค์ จนกระทั่งพระองค์ได้รับการยกย่องให้เป็นองค์มหาเทพโอซิริสผู้มีอำนาจในการพิพากษาชีวิตหลังความตาย"
            ฮาจารีชี้ให้เห็นภาพสลักนูนอันวิจิตรบนหินปูนสีขาวเนื้อละเอียด ภาพแสดงให้เห็นถึงการทำพิธีบูชาองค์มหาเทพขององค์ฟาโรห์เมเรเนสและพระชายา
            "เมื่อครั้งที่ฟาโรห์อาเคเท็นปกครองเมืองอัล-กาสราล่มสลาย เพราะการละทิ้งศาสนาทำให้พระองค์ถูกโคนล้มบัลลังก์ ต่อมาองค์กษัตริย์เมเรเนสขึ้นนั่งบัลลังก์พระองค์ก็ทรงฟื้นฟูศาสนาให้กลับมาดังเดิม สร้างศรัทธาในเทพเจ้าดั้งเดิมกลับคืนมา หลังจากนั้นพระองค์ทรงสร้างและตกแต่งวิหารใหม่ในอาบิดอส และบันทึกการอุทิศตนต่อเทพโอซิริส พระนางไอซิสและเทพฮอรัส"
            "คงใช้เวลานานมากนะคะ กว่าจะสร้างวิหารแห่งนี้เสร็จสมบูรณ์" ร่างบอบบางเอ่ยถามน้ำเสียงเจือความกระตือรือร้นจะได้ฟังเรื่องราวในตำนาน ซึ่งอีกฝ่ายก็นิ่งเงียบไปสักพักก่อนตอบ
            "องค์ฟาโรห์ทรงสิ้นพระชนม์ ก่อนที่วิหารจะสร้างเสร็จด้วยซ้ำ พระนางเนเฟอฮามุนทรงเสียพระทัยมาก หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของพระสวามีพระนางก็หายสาบสูญไป"
            "น่าทึ่งกับตำนานของพระองค์นะคะ" หญิงสาวพูดพลางมองไปบนฝาผนังมีอักษรภาพจารึกเรื่องราวเอาไว้
            "ความเชื่ออีกอย่างหนึ่งต่อการบูชาองค์มหาเทพ ก็คือพระองค์จะส่งคู่ชีวิตมาให้เราเมื่อถึงเวลาเหมาะสม และพระองค์ก็จะคุ้มครองความรักของเราให้ยั่งยืนเยี่ยงความรักของพระองค์"
            ชั่วขณะหนึ่ง ฮาจารีรู้สึกถึงกลิ่นอายความรักอบอวลขึ้นหวามไหวอยู่ในหัวใจ โดยเฉพาะยามเขาสบนัยน์ตากลมทอประกายคมซึ้ง จนนึกอยากจะรวบเรือนร่างนั้นมาแนบไว้กับอก และไม่ปล่อยให้ห่างหายไปไหนอีก
            "ฟังแล้ว ฉันสามารถสัมผัสมนต์ขลังเรื่องราวความรักในสถานที่แห่งนี้ได้เลยค่ะ"
            พระนางไอซิสและพระนางเนเฟอฮามุน ทั้งสองพระองค์ต่างมีตำนานเล่าขานกันสืบมาไม่รู้จบจริง ๆ คำพูดของฮาจารีทำให้สัมผัสถึงร่องรอยมนต์คาถาอันทรงพลัง ซึ่งยังคงฝังแน่นอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ พลันชั่วขณะภาพนิมิตทับซ้อนขึ้นมา
            "เนเฟอฮามุน!"
            เนเฟอฮามุนได้ยินเสียงเรียกและเสียงฝีเท้าย่ำหนัก พร้อมการปรากฏกายของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ชายห้าวหาญผู้มีคุณลักษณะแห่งชายชาตินักรบก้าวออกมาจากหลังพุ่มไม้ด้านหลัง ตรงมาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้ามือแกร่งเอื้อมมากุมมือนาง ขณะกวาดสายตาคมทั่วเรือนร่างบอบบางอย่างห่วงใย..
            "เนเฟอฮามุนเจ้าซูบผอมเหลือเกิน"  สีหน้ากังวลหนักใจของฮามินฉายชัด นัยน์ตาคมกล้ากวาดมองทั่วร่างนางอันเป็นที่รักซึ่งผ่ายผอมลงผิดตาอีกครั้ง "น้องสาวอันเป็นดวงใจของข้า ถ้าเป็นไปได้ ข้าจะยอมออกไปต่อสู้ฟาดฟันพวกมันดีกว่าจะยอมเสียเจ้าไป"
            ความรักความอาทรที่ชายชาตินักรบหนุ่มแสดงออกทุกครั้งยามพบกับนาง ทำให้เนเฟอฮามุนจำต้องกล้ำกลืนความโทมนัส หัวใจของนางเจ็บปวดนัก เมื่อรู้สึกว่าตนได้ทำลายน้ำใจของชายที่รักนางดุจดวงใจไปแล้ว
            "เรื่องนี้ดำเนินการมาไกลแล้ว และท่านมีหน้าที่ของท่าน ข้าเองก็มีหน้าที่ของข้าเช่นกัน"
            "น้องสาวแห่งข้า เจ้ากำลังจะจากข้าไปชั่วกาลในคืนนี้" มือแกร่งบีบกระชับราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกที่อัดแน่นทั้งมวลออกมาให้ยอดดวงใจได้รับรู้
            "ไม่ เราจะไม่จากกันชั่วกาล เพียงเราและท่านต่างมีหน้าที่ที่ต้องทำ ตามบัญชาขององค์มหาเทพเท่านั้น"
            "หน้าที่.."
            "ใช่ ท่านฮามิน ท่านจงทำหน้าที่ของท่านให้ดี และเมื่อถึงวาระหน้าที่ของเราจบสิ้นเราจะกลับมาพบกัน ฮามินขอให้ท่านจงรับรู้ว่าข้าจะมีหัวใจรักให้ท่านตลอดกาล"
            "วาสิตา! วาสิตา!" ฮาจารีเขย่าร่างหญิงสาวที่จู่ ๆก็ยืนนิ่งราวหุ่นสลัก เขาเรียกมาสักพักแล้วอีกฝ่ายจึงได้สติ ก่อนจะได้ยินเสียงถามขึ้นว่า
            "ฮาจารี คุณเรียกฉันเหรอคะ?"
            "เธอนิ่งไป" ร่างสูงเอ่ยบอก สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความกังวลในอากัปกิริยาแปลก ๆ ราวกับว่าอีกฝ่ายได้ไร้ลมหายใจไปแล้ว
            "ฉัน.." วาสิตาอยากจะเล่าให้เขาฟังถึงภาพนิมิต ที่มักปรากฏทับซ้อนภาพที่เธอกำลังมอง แต่ใคร่คราญอีกทีชายหนุ่มอาจไม่เชื่อ และมองว่าเธอหลงใหลเรื่องเล่าในตำนาน จนเก็บเอาไปเห็นเป็นภาพในอดีต 'จริงสิ แล้วอดีตของใครล่ะ?'
            "วาสิตา เธอสบายดีหรือเปล่า?" ฮาจารียังไม่ยอมปล่อยมือจากหัวไหล่หญิงสาว เมื่อครู่เขาตกใจมากที่เห็นร่างบอบบางตรงหน้านิ่งแข็งไปแบบนั้น
            "ค่ะ ฉันสบายดี ฉันแค่กำลังใช้ความคิด" เธอเลี่ยงที่จะตอบความจริง
            "ความคิด?" เขาทำนัยน์ตาฉงน บ่งบอกถึงความสงสัยในคำตอบที่ได้รับ
            "ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฮาจารีคะ ฉันอยากจะเดินดูต่ออีกหน่อยไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ถ้าฉันรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นอะไร ฉันจะบอกคุณค่ะ" 
            วาสิตารีบพูดตัดบท เพราะอยากให้ชายหนุ่มรู้สึกสบายใจ อีกอย่างถ้าเกิดเขาเปลี่ยนใจพาเธอเดินทางกลับคฤหาสน์ เนื่องจากกลัวว่าเธอจะเป็นลมล้มพับไปอีก เธอคงเสียดายโอกาสดี ๆ นี้มาก
            "เอาแบบนั้นก็ได้" ฮาจารีบอกทั้งที่ยังไม่คลายความกังวลใจ เกรงอาการแปลก ๆ อาจเกิดกับหญิงสาวขึ้นมาอีก
            "ขอบคุณค่ะ" วาสิตาพูดพลางส่งยิ้มอ่อนหวาน เพื่อให้เขาได้วางใจ 
            ต่อจากนั้นวาสิตาก็ย้อนคิดถึงความรู้สึกแปลก ๆ ระหว่างเธอและฮาจารี ซึ่งเธอและเขาพบกันด้วยความบังเอิญแท้ ๆ  แต่ที่ผ่านมาเหตุใดเธอจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเขาราวกับว่ารู้จักกันมานานแสนนาน โดยเฉพาะทุก ๆ สถานที่ที่เขาได้พาเธอไปเยือน ล้วนทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันอย่างลึกซึ้ง
            หลังจากเดินชมวิหารโดยรอบ และชายหนุ่มได้เล่าเรื่องราวผ่านภาพบนผนังที่สวยงามทั้งหมดแล้ว เขาก็พาเธอมาลงเรือเพื่อแล่นเรือกลับ
            เขาหยิบหมอนอิงส่งให้ เธอรับมารองหลังขณะนั่งลงพิงกราบเรือ ส่วนเขาก็ล้มตัวลงนอนหนุนหมอนอยู่เคียงข้าง ทั้งสองราวเป็นคู่รักที่อยู่ระหว่างแล่นเรือชมแม่น้ำ หาความสุขสำราญจากการล่องเรือรับลมชมทัศนียภาพภายใต้ท้องฟ้าสว่างสดใส 
           หญิงสาวหันไปชื่นชมทัศนียภาพสองฟากฝั่งของแม่น้ำที่ขนาบข้างลำน้ำไนล์ มีต้นอินทผลัมปลูกเรียงรายเป็นแถว บางช่วงมีต้นไม้พุ่มเขียว มีม้า มีวัวของชาวบ้านยืนประปรายกินหญ้า ผืนน้ำเป็นสีทองเมื่อสะท้อนกับแสงแดดอ่อนระยิบระยับพราวตา พลางตัดสินใจว่าเธอจะไม่เล่าเรื่องเหรียญที่เธอเก็บไปฝันเมื่อคืน และภาพนิมิตต่าง ๆ ที่ฉายขึ้นมาในความคิดให้ชายหนุ่มฟัง เพราะเธอกลัวว่าเขาจะคิดว่าเธอเป็นพวกโรคจิตหลอน
            หญิงสาวหลุดออกจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของคนที่นอนหลับใหลอยู่ข้าง ๆ ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอบ่งบอกว่ายามนี้เขาหลับสนิทแล้ว 
           ส่วนเธอก็ขอปลดปล่อยอารมณ์ไปกับห้วงความสุขที่ได้อยู่กับเขา  เพื่อเก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นความทรงจำ
           กลับมาถึงคฤหาสน์ ฮาจารีชวนเธอนั่งพักอยู่ครู่หนึ่งในสวนริมน้ำ ก่อนที่เธอจะขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าในตอนนอนแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำอุ่น เธอก็หลับตาปล่อยใจคะนึงถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ต้องพบเจอระหว่างทริปเดินทางมาเยือนอียิปต์ ซึ่งบางเรื่องราวไม่เคยคิดว่าจะได้พบได้เจอ และบางเรื่องราวมันกำลังทำให้เธอสับสน
            ก้าวแรกก็เจอหัวขโมยกระเป๋า ต่อมาก็เจอคนใจไม่ซื่อแล้วยังทำให้เธอได้รับอุบัติเหตุ และสุดท้ายได้พบชายหนุ่มอาหรับที่มีใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึมแต่ใจดี ซึ่งคนหลังนี้ก็ทำให้เธอเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ในใจตลอดเวลา ชีวิตคนเรานี่บางครั้งก็ช่างน่าเหลือเชื่อ ใครจะรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเจอกับอะไรอีกบ้าง
            แต่จะอย่างไร เธอปรารถนาหยุดเวลาไว้เพียงระยะทางแค่นี้ก่อน แม้เพียงครู่ก็ยังดี
            หลังจากนอนแช่สบายใจอยู่พักใหญ่เธอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินเข้ามาภายในห้องอาบน้ำ คงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากมาเรียซึ่งกลายเป็นสาวใช้ประจำตัวของเธอ
            หญิงสาวเปิดเปลือกตาและนั่งชันเข่าขึ้น ส่วนมือพยายามโกยฟองสบู่ฟูฟ่องเต็มอ่างมาบดบังร่างกายบางส่วนไว้ ถึงแม้ทุกวันนี้มาเรียจะช่วยเธอจัดแจงเรื่องเครื่องแต่งตัว แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกชินเท่าไรกับการที่ต้องโชว์เนื้อหนังเปลือยเปล่าต่อหน้าคนอื่น
            "นายท่านจะรอคุณที่สวนค่ะ" มาเรียรายงาน ก่อนนำผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่เตรียมหุ้มร่างกายของเธอ ในขณะที่ลุกจากอ่าง
            "วันนี้จัดอาหารค่ำที่นั่นหรือมาเรีย?" วาสิตาถามกลับ ขณะที่พยายามยืนอยู่นิ่ง ๆ ให้มาเรียจัดการกับการแต่งตัวของเธอ
            "วันนี้นายท่านเห็นพระจันทร์เต็มดวงเปล่งรัศมีสวยมาก จึงอยากรับประทานอาหารมื้อค่ำกับคุณที่นั่น" สิ้นคำพูดของสาวใช้ร่างเล็ก หญิงสาวพยักหน้ารับคำสั้น ๆ พลางเอ่ยขอบคุณอีกฝ่าย
            "มาเรีย ฉันขอขอบคุณที่ช่วยดูแล ฉันสัญญาว่าไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฉันจะไม่ลืมมาเรียเลย"
            "คุณเป็นคนดี ถ้าคุณเป็นท่านหญิงของนายพวกเราคงดีใจมาก เรารอคอยมานานแล้ว แต่นายก็ไม่เลือกใครสักคน" 
            มาเรียพูดเรื่องคู่ครองของผู้เป็นนายราวเป็นเรื่องธรรมดา หารู้ไม่ว่าเธอต้องลำบากใจแค่ไหนเวลาอยู่ใกล้ชฃิดกับเขา
            วาสิตานั่งลงบนเก้าอี้ปล่อยให้มือชำนาญงานของสาวใช้ปฏิบัติต่อเธอตามสบาย ต่อเมื่อเห็นมาเรียหยิบชุดที่เธอจะต้องใส่ลงไปรับประทานอาหารค่ำกับชายหนุ่มเจ้าของบ้านแล้ว ใจหายวาบ ด้วยชุดกระโปรงสีฟ้าใสยาวถึงเข่ามีเนื้อผ้าบาง มองทะลุผ่านเนื้อผ้าถึงซับด้านใน มีกางเกงสั้นหนึ่งตัวสีและเนื้อผ้าเดียวกัน เธอรู้สึกว่าตัวเองจะได้แต่งตัวเปิดเผยกว่าที่ควร ยิ่งคลี่ชุดออกดู ยิ่งลังเล ถึงกระนั้นก็ต้องสวมใส่มันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี
            หญิงสาวเดินตามสาวใช้ร่างเล็กมายังสวนดอกไม้อยู่ด้านหลังคฤหาสน์ เธอเดินอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก  ทว่าความกังวลต่าง ๆ แทบหมดสิ้น เมื่อได้สูดกลิ่นหอมของพรรณพฤกษา ทั้งเสียงคลื่นน้ำกระทบฝั่งเรียกความสนใจ กระทั่งเธอนั่งลงบนเก้าอี้เรียบร้อยแล้วได้ยินเสียงเขาเอ่ยขึ้นจากฝั่งตรงข้าม
            "วันนี้เราจะกินอาหารค่ำกันตรงนี้ เธอคงชอบ"
            "ค่ะ ชอบมาก มีทั้งสายน้ำและดวงจันทร์เป็นเพื่อน" สีหน้าและนัยน์ตาของหญิงสาวดูสดใสและมีความสุข เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีนิลที่มีดวงจันทร์เปล่งประกายแสงนวลอันอ่อนโยน
            "เธอชอบดูดวงจันทร์?"
            "ค่ะ ทุกครั้งที่ฉันต้องเดินทางไกลบ้าน ฉันกับครอบครัวจะใช้ดวงจันทร์สื่อสารกัน"
            "สื่อสารกันยังไง?"  
            ชายหนุ่มทำหน้าพิศวง เธอจึงอธิบาย
            "ฝากความคิดถึงผ่านดวงจันทร์ค่ะ เป็นวิธีที่ทำให้เราไม่รู้สึกเดียวดาย"
            "อะไรทำให้เธอมีความเชื่ออย่างนั้นล่ะ"
            "อาจเพราะมีตำนานเกี่ยวกับดวงจันทร์เกิดขึ้นมากมาย ทำให้ความเชื่อในเรื่องอำนาจของดวงจันทร์เป็นที่กล่าวขานต่อ ๆ กันมา ในความเชื่อนั้นก็คือเราเชื่อว่าอำนาจของดวงจันทร์ทำให้เราบอกผ่านความรู้สึกจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนได้
            "ในอียิปต์เราก็มีตำนานของดวงจันทร์ แต่เราใช้ในการสักการะมากกว่าคิดถึงในแง่อื่น" เขาเงียบไปอึดใจก่อนพูดต่อ "อีกอย่าง ฉันไม่มีใครให้ต้องคิดถึงเหมือนเธอ"
            "ครอบครัวคุณล่ะคะ เอ่อ ขอโทษค่ะ" วาสิตารีบขอโทษขอโพย เมื่อรู้สึกว่าตนเสียมารยาทที่ละลาบละล้วงถามเรื่องส่วนตัวของเขาไปแบบนั้น "ฉันขอโทษนะคะ ฉันไม่ควรถามคุณออกไปอย่างนั้น"
            "ไม่เป็นไร จะให้ฉันรู้เรื่องของเธอฝ่ายเดียวคงจะไม่ยุติธรรม" ฮาจารีกล่าวอย่างไม่ถือสา ก่อนเริ่มเล่าเรื่องของตน "ครอบครัวของฉันอยู่กันเป็นเผ่าหนึ่งทางฟากตะวันตก เรายังดำเนินชีวิตไม่ต่างอะไรกับในอดีต มีหมู่บ้านที่เป็นเชื้อสายบรรพบุรุษของเราและผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าจะต้องดูแลต่อไป  ส่วนพ่อแม่ของฉันท่านเสียตั้งแต่ฉันอายุสิบแปด ฉันต้องสืบต่อตำแหน่งหัวหน้าเผ่า เป็นนักรบที่ต้องขี่ม้าดูแลความปลอดภัยให้กับสมาชิกภายในเผ่า ฉันรับตำแหน่งต่อจากท่านพ่อทั้งที่ยังไม่รู้เกี่ยวกับการปกครองเลยด้วยซ้ำ" มุมปากเขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ราวเหยียดหยันกับโชคชะตา
            ดวงตากลมโตของวาสิตาเบิกกว้าง ตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้รับฟัง ใครจะเชื่อว่าผู้ชายแต่งกายภูมิฐานนั่งอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตราวกับวัง จะมีเบื้องหลังเป็นนักรบที่ต้องขี่ม้าดูแลความปลอดภัยของเผ่าเก่าโบราณซึ่งสืบทอดมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์
            "เอาเถอะ แล้วฉันจะพาเธอไปเยี่ยมเผ่าของเรา คนที่นั่นจะให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี" สิ้นประโยคสุดท้าย ฮาจารีก็หันความสนใจไปที่พ่อครัว ซึ่งนำอาหารมาเสิร์ฟ
           อาหารครอบมาในถาดใบมหึมา เปิดฝาครอบแล้วจะเห็นเนื้อแกะอบคลุกเคล้ากับอะไรสักอย่าง เป็นเมนูอาหารแถบเมดิเตอร์เรเนี่ยนที่หอมน่ากิน เรียกน้ำลายสอกันเลยทีเดียว
            "หืมม์..นี่มันอาหารหลักของมื้อนี่คะ" เธอกล่าวทัก เพราะเท่าที่รู้มาตามธรรมเนียมการรับประทานอาหารของชนชาวอียิปต์จะเริ่มจากอาหารอ่อน ๆ เรียกน้ำย่อยก่อน อย่างเมซเซ ซึ่งเป็นสลัดและของจิ้มอันเป็นสิ่งสะท้อนถึงลักษณะของชาวอียิปต์ได้ดี
            "ถ้าเลยเวลาของว่างเชฟก็จะเสิร์ฟอาหารหลักแทนน่ะ" ฮาจารีอธิบายเหตุผล ขณะหญิงสาวเอาแต่จับจ้องอาหารที่พ่อครัวทยอยนำมาวางไว้บนโต๊ะ
            ฮาจารีเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังให้ความสนใจกับอาหาร ก็เลยนึกสนุกเอ่ยแนะนำชื่อเมนูต่าง ๆ
            "กิบดาคือตับแกะสับทอด เมลูเคียคือผักโขมใส่เนื้อกระต่ายวาราไอนับ..คือใบองุ่นสอดไส้ นี่ก็ กิบเบห์ลูกชิ้นแป้งสาลีทอดกรอบสอดไส้เนื้อไก่บด อาหารทุกอย่างบนโต๊ะนี้ เป็นอาหารประจำชาติของเรามาแต่โบราณ"
            "ดูแล้วน่าทานไปหมดเลยนะคะ แต่ถ้ากินหมดนี่ฉันคงกลิ้งกลับบ้านได้"
            การได้ฟังฮาจารีบรรยายเมนูอาหารอียิปต์ ช่างเป็นเรื่องที่เพลิดเพลินสำหรับเธอยิ่งนัก ที่สำคัญมันทำให้เธอลืมความประหม่าที่จะต้องนั่งรับประทานอาหารกับเขาด้วยอาภรณ์บางเบาได้เป็นอย่างดี
            "หึ..ฉันคิดว่าคนหุ่นผอมบางอย่างเธอยังรับอาหารได้อีกเยอะ เชฟจะเปลี่ยนเมนูอาหารทุกวัน ฉันรับรองว่าเธอจะรื่นรมย์กับการกิน จนมีเนื้อหนังขึ้นมาแน่ๆ" 
            ฮาจารีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ พลอยทำให้เธอคิดสงสัย ว่าเหตุใดหนอ เขาจึงอยากให้เธอรู้จักเมนูอาหารอียิปต์ตั้งแต่เนื้อนอกจนถึงเนื้อในเสียนักหนา
            ท้องฟ้าค่ำคืนนี้สว่างไสวไปด้วยเหล่าบริวารดาราที่รายล้อมดวงจันทร์ฉาย หลังรับประทานอาหารเสร็จวาสิตาลุกมายืนอยู่ริมน้ำ หญิงสาวปล่อยใจล่องลอยไปกับสายน้ำไนล์ ร่างบอบบางสัมผัสถึงอากาศหนาวเย็น ซึ่งอุณหภูมิประเทศอียิปต์กลางวันจะร้อนระอุด้วยแสงแดด ส่วนกลางคืนจะเต็มไปด้วยบรรยากาศหนาวเหน็บ
            'ผ่านไปหลายวันแล้ว ป่านนี้กุลสินีคงกำลังรอคอยการติดต่อจากเรา'
            "กำลังส่งความคิดถึงฝากดวงจันทร์ไปให้ใครอยู่หรือเปล่า"
            "ฮาจารี.." กว่าจะรู้ว่าเขามายืนอยู่ใกล้ ๆ หญิงสาวก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้ว ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาเป่ารดอยู่ริมหู หญิงสาวยืนนิ่งไม่คิดผลักไสเขาแต่อย่างใด
            "หรือว่า บา..ออกไปหา กา..ร่างใหม่ หรือไง ฉันเดินเข้ามากอดเธอไว้ทั้งตัวอย่างนี้ เธอยังไม่รู้สึกตัวเลย"
             วาสิตายิ้มให้กับชายหนุ่ม ที่เขาเข้าใจหยอกล้อเปรียบเปรยเรื่องบา..วิญญาณที่หลุดออกจากร่าง ส่วนกา..ก็คือร่างของตัวแทน
            "ฉันกำลังคิดถึงเพื่อนค่ะ ป่านนี้คงกังวลที่ฉันไม่ได้ติดต่อกลับไป" วาสิตาให้คำตอบ
            "อย่าเพิ่งติดต่อกลับไปได้มั้ย" เขาเอ่ยขอร้อง พลางกระชับเรือนร่างบอบบางมากขึ้น หวงแหนไม่ให้ห่างหายไปไหน
            "ทำไมล่ะคะ" วาสิตาหันสบตากับเขาด้วยความฉงน แล้วก็ได้รับคำตอบที่ทำให้ใจของเธอสลดไปไม่น้อย
            'ก็ฉันกลัวว่าเพื่อนเธอจะเดินทางมารับเธอกลับไป และฉันอาจไม่ได้พบเธออีกยังไงล่ะ ฉันขอร้องเถอะนะวาสิตา ขอให้ฉันได้อยู่กับเธออีกสักนิด จากนั้นฉันสัญญาจะไม่เหนี่ยวรั้งใด ๆ เลย"
            หญิงสาวมองสบตาชายหนุ่มชาวอาหรับร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา อย่างที่เธอเคยจินตนาการในความฝันทุกครั้งที่อ่านเกี่ยวกับฟาโรห์ แต่นั้นมันเป็นเพียงภาพในการ์ตูนที่คนวาดรังสรรค์ขึ้น ซึ่งชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้วยกันไม่ใช่ชายในฝัน แต่เป็นหนุ่มหล่อชาวอาหรับตัวเป็น ๆในดินแดนแห่งนี้
            ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องมนต์เสน่ห์แห่งลุ่มแม่น้ำไนล์..
            "ถึงฉันจะไม่เข้าใจเจตนาของคุณแต่ฉันเคยสัญญา ว่าฉันจะเป็นเด็กดีที่เชื่อฟัง"
            ที่ผ่านมา ฮาจารีทำให้เธอรู้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มแปลกหน้าที่ไว้ใจได้ เธอเห็นความจริงใจภายในแววตาผู้ชายคนนี้เสมอ
            "ขอบคุณ ฉันสัญญาว่าระหว่างที่เธอพักอยู่ที่นี่ เธอจะมีแต่ความสุข" คนร่างสูงวางคางไว้บนศีรษะที่มีเส้นผมอ่อนนุ่มส่งกลิ่นหอมของกุหลาบ ทั้งสองต่างตกอยู่ในสภาวะเงียบงันนานเท่าไรไม่รู้ กระทั่งเธอสัมผัสได้ถึงแรงเต้นของหัวใจ ซึ่งไม่รู้ว่ามันดังจากอกใคร ทว่าเธออยากจะบอกกับเขาเหลือเกินว่าได้โปรดอย่าดีกับเธอมากไปกว่านี้เลย
            ช่วงสายของวันใหม่ วาสิตาสังเกตเห็นว่ามีชายหนุ่มหน้าตาคมเข้มรูปร่างเล็กบางกว่าฮาจารีกำลังนั่งสนทนากับเขาในห้องรับแขก เธอจึงลงมานั่งรับลมคนเดียวในสวนเพื่อนั่งมองเรือใบที่แล่นผ่านไปผ่านมา และเฝ้ามองสายน้ำที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา จนเมื่อมาเรียจัดเตรียมน้ำผลไม้มาให้ เธอจึงถือโอกาสซักถามถึงแขกที่มาพบฮาจารี
            "คนนั้นใครหรือจ๊ะมาเรีย" วาสิตาอาจจะถูกมองว่าชอบซอกแซกเรื่องของคนอื่น แต่การแสดงท่าทางเย็นชาของฮาจารีที่มีต่อชายหนุ่มผู้นั้น ทำให้เธอเกิดอยากรู้เรื่องของเขา
            "ท่านซูนัคเซน เขาเป็นญาติของนายค่ะ" สาวใช้ร่างเล็กตอบเลี่ยง ๆ เพราะไม่อยากเปิดเผยเรื่องของผู้เป็นนายถ้าหากยังไม่ได้รับอนุญาต "อ้อ..นายให้มาบอกคุณอีกว่า หลังจากเสร็จธุระ นายจะพาคุณออกเดินทางไปที่เผ่า"
            "ตื่นเต้นจัง นายท่านของมาเรียจะพาฉันไปเที่ยวเผ่าของเขา" วาสิตาดีใจที่ชายหนุ่มทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ
            "แล้วมาเรียล่ะ ได้ไปด้วยกันมั้ย?"
            "ฉันต้องดูแลคฤหาสน์ค่ะ คุณไปที่นั่นก็จะมีคนดูแลคุณเป็นอย่างดีเช่นกันค่ะ" เอ่ยจบ มาเรียส่งยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป 
            วาสิตาบังเกิดความสงสัยว่า รอยยิ้มของสาวใช้ออกจะมีเลศนัยชอบกล
            หญิงสาวนึกวาดภาพการดำรงชีวิตของชนเผ่าโบราณ ซึ่งมันทำให้เธออดตื่นเต้นขึ้นมาอีก ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดี ๆ เธอก็ได้มาสัมผัสสิ่งต่าง ๆ มากมายในอียิปต์อย่างคาดไม่ถึง 
             "วาสิตา!"
            ร่างหญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองยังผู้เรียก  ฮาจารียืนอยู่ตรงนั้นกับชายหนุ่มที่ส่งยิ้มให้เธอ แววตาของเขาอ่อนโยนแสดงความเป็นมิตร
            "คะ..ฮาจารี" เธอลุกขึ้น เตรียมรับคำแนะนำจากผู้มาเยือน พลางสบนัยน์ตาดุวาวของฮาจารีก็ให้สะดุ้งในใจอีกครั้ง ด้วยไม่เคยเห็นแววตาดุดันผิดปกติแบบนี้
            "ฉันอยากจะแนะนำให้เธอรู้จัก" เขาหันไปทางชายหนุ่มที่ยืนด้านข้างพร้อมกับผายมือแนะนำ "นี่ซูนัคเซน น้องชายของฉัน"
            "ยินดีที่ได้รู้จักค่ะซูนัคเซน ฉัน..."
            เขาเอ่ยชื่อของเธอ ก่อนที่เธอจะเอ่ยชื่อตัวเองออกมา
           "วาสิตา" ซูนัคเซนชิงพูดก่อน พร้อมแอบชื่นชมรูปลักษณ์งดงามของหญิงสาว ขณะที่ทั้งหมดนั่งลงพร้อมกัน
           เขาเคยพบเจอหญิงสาวมามากมาย ด้วยฐานะอย่างเขาสามารถหาหญิงงามมาเก็บไว้ชื่นชมได้ไม่ยาก แต่กับคนที่ถูกตาต้องใจจริง ๆ นั้นกลับยังไม่มี ต่อเมื่อได้มาพบผู้หญิงต่างแดน เหตุใดเขาถึงเกิดความรู้สึกปรารถนาในตัวเธอนัก
            "ซูนัคเซนเป็นนักโบราณคดีเขามีชื่อเสียงในการขุด และดูเหมือนจะมุ่งมั่นมาก ถ้าเธออยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุโบราณ เขาจะเป็นตำราให้เธอได้อย่างดี" ฮาจารีเอ่ยบอกหญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ต่างจากผู้เป็นน้องชายที่มีรอยยิ้มกระจ่างชัดยามที่จ้องมองเธอ
            "พี่ท่านบอกว่าเขากำลังพาเธอไปที่เผ่า และถ้าเธอตกลงร่วมงานกับเรา ฉันคงมีโอกาสได้พบเธออีก" ซูนัคเซนกล่าว
            "ร่วมงาน?" วาสิตาทวนคำอย่างนึกแปลกใจ คนพูดจึงยืนยันอีกครั้ง
            "ใช่ เธอได้ร่วมงานขุดสุสานอียิปต์โบราณกับเรา"
            "คุณว่าอะไรนะคะ ฉัน.. ฉันจะได้ร่วมงานขุดสุสานโบราณ จริงหรือคะฮาจารี?" ประโยคหลังเธอหันไปถามชายหนุ่มที่ยืนทำหน้าขรึมอย่างตื่นเต้นตกใจ จะว่าไปวันนี้เธอคงได้ตื่นเต้นตกใจกับอะไรต่อมิอะไรทั้งวัน
            "ซูนัคเซนได้รับอนุญาตจากรัฐบาลขุดค้นซากมัมมี่ที่ฝังอยู่ใต้ดินนานนับพันปี ถ้าเธออยากร่วมงานด้วยก็ได้ จะได้ถือโอกาสศึกษางานทำโปรเจ็กต์ไปในตัว" 
            สิ้นคำพูดของฮาจารี หญิงสาวยิ้มแก้มปริ ไม่เคยคิดว่างานที่เธอวาดฝันว่าคงเป็นเพียงความฝันลม ๆ แล้ง ๆ บัดนี้เทพเจ้ากำลังดลบันดาลให้เป็นจริง
            "แล้วคุณร่วมงานนี้ด้วยหรือเปล่าคะ" น้ำเสียงเธอรื่นรมย์ ก่อนจะสังเกตเห็นสีหน้าของชายหนุ่มไม่ใคร่พอใจนัก อารมณ์จึงแห้วลง
            "ไม่ ฉันจะอยู่ที่เผ่า จะคอยเฝ้าดูพฤติกรรมของเธอ"
             วาสิตารู้สึกว่าเขาพูดกับเธอก็จริง แต่แฝงด้วยความหมายอื่น ที่เธอไม่เข้าใจ
            "ฉันยินดีต้อนรับเธอ อย่างน้อยฉันก็มีผู้ช่วยสาวสวยคอยจดบันทึก" ซูนัคเซนชวนหญิงสาวชาวไทยคุย
            "ขอบคุณค่ะ ฉันตื่นเต้นและดีใจมาก" วาสิตาพูดพลางคิดในใจว่า นี่ถ้าเธอได้ติดต่อกุลสินี แม่เพื่อนสาวของเธอคงร้องกรี๊ดและพูดว่า "แหม..อิจฉาเธอซะเหลือเกินนน.."  เป็นคำพูดติดปากทุกครั้งที่เห็นเธอโชว์ผลงานที่ดึงดันจะทำ และทำจนสำเร็จออกมา
            "เธอต้องขอบคุณพี่ชายของฉันที่เขามีเมตตากับเรา เพราะถ้าไม่มีเขาฉันก็คงไม่มีวันนี้ เธอกับฉันก็คงเหมือนกันใช่มั้ยสาวน้อย" ซูนัคเซนพูดยิ้มๆ วาสิตาจึงพยักหน้าเห็นด้วย ทั้ง ๆไม่ค่อยเข้าใจความหมายโดยนัยที่ซูนัคเซนเอาแต่เอ่ยยกย่องพี่ชาย
            "เอาล่ะ เห็นทีฉันคงไม่ทำให้พี่ท่านเสียเวลาเดินทาง แล้วพบกันนะวาสิตา ขอให้การเดินทางมีสวัสดิภาพเทพเจ้าจะคุ้มครองท่าน"  ซูนัคเซนกล่าวอำลา เขาลุกขึ้นโค้งศีรษะเคารพพี่ชาย โบกมือลาเธอแล้วเดินจากไป
            เธอและฮาจารียืนขึ้นพร้อมกัน มองรถของซูนัคเซนเคลื่อนออกจากคฤหาสน์ สักพักชายหนุ่มเอ่ยถาม
            "เธอคงไม่อยากร่วมงานกับเขานักใช่มั้ย?"
         วาสิตาไม่พ้นต้องแปลกใจในคำถามของเขา  "ทำไมล่ะคะ คุณเสนองานให้ฉันไม่ใช่หรือ?"
            "ซูนัคเซนต่างหากที่เสนองานให้เธอ" เสียงเข้ม ๆของฮาจารียังไม่น่าแปลกใจเท่าสีหน้าเครียดเคร่งของเขา
            "ฉันไม่รู้คุณคุยอะไรกัน แต่ทำไมฉันถึงได้ไปร่วมงานกับเขาล่ะคะ?"
            "เขาถามเรื่องเธอ ฉันจึงบอกไปว่าเธอเป็นนักศึกษาที่เดินทางมาทำโปรเจ็กต์วัตถุโบราณ เขาก็เลยเสนองานผู้ช่วยให้เธอ"
            "คุณต้องไม่พอใจแน่ ถ้าฉันจะบอกว่าฉันดีใจที่จะได้ทำงานขุดค้นในครั้งนี้" เธอเอ่ยคาดเดา ซึ่งมันก็เป็นการเดาที่ถูกต้องเสียด้วย
            "ใช่ ฉันไม่พอใจ"
            "ทำไมล่ะคะ?"
            "..." ฮาจารีนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขายังคงทอดสายตาไปยังประตูทางเข้า ทั้งที่รถของผู้ที่กำลังพูดถึงนั้นออกไปนานแล้ว
            "ฮาจารีคะ" เธอทนไม่ได้ที่จะเห็นเขานิ่งเงียบจนน่ากลัว จึงได้เรียกเขาอีกครั้ง
            "เอาเถอะ เรื่องของซูนัคเซนไว้ค่อยเล่าให้เธอฟัง ฉันไม่คิดปิดบังเรื่องต่าง ๆ กับเธอหรอกนะ ตรงข้ามอยากให้รู้ทุกอย่างด้วยซ้ำ แต่เรามีเวลาไม่มาก ยิ่งตอนนี้ชาระติดเครื่องรอแล้ว"
            "ติดเครื่อง? คุณหมายถึงเครื่องบินหรือคะฮาจารี?" วาสิตาเอ่ยคาดเดา เพราะเคยเห็นเครื่องบินของเขาที่จอดอยู่ในโรงเก็บห่างจากคฤหาสน์ไปเล็กน้อย
            "ใช่..เราจะไปเครื่องบินส่วนตัว เพราะจากที่นี่เราต้องข้ามทะเลทราย" เอ่ยจบ เขาก็เดินนำเธอไปยังสนามบินขนาดย่อมที่อยู่หลังคฤหาสน์ทันที
 

 




 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น