วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทรายร้อนซ่อนเสน่หา : บทที่ 6 เผ่าอัล-ซาฮาน


นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา





หลังจากขับรถออกจากคฤหาสน์ซูนัคเซนก็เลี้ยวรถไปอีกเส้นทาง พลางคิดถึงเรื่องงานขุดค้นสุสาน เขาต้องใช้ความอุตสาหะอย่างมากกับการพยายามวิ่งเต้นขอใบอนุญาตขุดค้นซากวัตถุ และตลอดเวลาเหล่านั้นเขาก็ใช้เวลาเกลี้ยกล่อมเพื่อให้ฮาจารีให้เขาขุดค้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพียงเพื่อให้พี่ชายเห็นด้วยกับการทำงานของเขาที่จะส่งผลดีต่อประเทศชาติ มันช่างเป็นเรื่องที่อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง
            ส่วนหญิงสาวต่างแดนแสนสวยคนนั้นการที่เขาเสนอให้เธอร่วมงานขุดค้น เพียงเพื่อจะแสดงความจริงใจใสซื่อให้ฮาจารีได้เห็นเท่านั้น ซูนัคเซนรู้ว่าฮาจารีพอใจและหวงเธอมาก ดูจากแววตาขึงขังที่แสดงออกมาเมื่อหญิงสาวกระตือรือร้นที่จะร่วมงานขุดค้นกับเขา แต่เรื่องนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับเรื่องที่ว่าพอได้สบแววตาของหญิงสาวคนนั้น มันเหมือนมีสัมผัสบางอย่างเกิดขึ้น! คล้ายลางสังหรณ์ว่าหญิงสาวคนนี้ อาจเป็นคนที่จะนำพาให้เขาได้พบสิ่งที่เขาพยายามค้นหามานานก็เป็นได้ เขาจึงไม่ลังเลจะย้ำความตั้งใจที่จะให้เธอมาเป็นผู้ช่วย
            "เธอเป็นใครหรือท่านซูนัคเซน ทำไมพี่ชายท่านถึงให้ความสำคัญกับเธอนัก ทั้งที่ท่านขึ้นชื่อว่าเป็นน้องชาย ยังไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเหยียบย่างเข้าไปในเผ่าเลย"
            ชาไฮน์เอ่ยถามขึ้น หลังจากรับฟังเรื่องราวของหญิงสาวชาวไทยจากซูนัคเซนที่มาพบเขาอย่างลับ ๆ และไม่ถามเปล่า เขายังตอกย้ำความผิดพลาดในชาติกำเนิดของซูนัคเซนอย่างขำ ๆ ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกลียดขี้หน้าหัวหน้าเผ่าอพยพผู้นี้ทบเท่าทวี
            คนพวกนี้ไร้ผืนดินอาศัย ไร้ศักดิ์ศรี และยังเป็นคนเจ้าเล่ห์อีกด้วย!
            "เธอเป็นนักศึกษาเดินทางมาทำโปรเจ็กต์เผอิญมีเหตุการณ์ทำให้มาพบกับพี่ชายเรา เขาถูกใจเธอเป็นพิเศษหญิงงามในฮาเร็มยังไม่ทำให้เขามีแววตาลึกซึ้งอย่างนี้เลย "ซูนัคเซนยังจำแววตาลึกซึ้งยามที่ฮาจารีเรียกชื่อหญิงสาวผู้นั้นได้ดี
            "หึ! ไม่ใช่พี่ชายท่านคิดว่าเธอเป็นคู่ตุนาหงันกลับชาติมาเกิดรึ ก็เผ่าของท่านเชื่อเรื่องแบบนี้ฝังหัว" น้ำเสียงหนุ่มหัวหน้าเผ่าแมกนาแฝงความดูแคลน
            "เราก็เชื่อเช่นนั้น ท่านอย่าลืม" ซูนัคเซนเอ่ยเสียงแข็ง อีกฝ่ายจึงแกล้งนึกออกและขอโทษขอโพย
            "อ้อ..ขอโทษที เราลืมไปว่าเผ่าของท่านนับถือเทพเจ้าประทานพร ต่างจากเผ่าของเราต้องได้สิ่งต่าง ๆ มาด้วยการสู้รบ"
            "ท่านอย่าลบหลู่องค์มหาเทพหรือแม้การนับถือของบรรพบุรุษของเผ่าเรา อย่างน้อยพวกเราก็มีรากเหง้ามาแต่โบราณ" คำพูดตอบโต้ได้เปรียบเปรยชาติกำเนิดของเผ่าอัล-ซาฮานกับเผ่าแมกนา สีหน้าคนฟังถอดสีขึ้นมาทันที
            "ท่านอย่ายกข้อเปรียบเทียบนี้มาทำร้ายน้ำใจเราเลย เอาล่ะ เราถือว่าได้ร่วมทางเดินกันแล้ว จะไม่เอาเรื่อง ไม่งั้นล่ะก็ ดาบของเราอาจบั่นคอท่านเดี๋ยวนี้เลยก็ได้"
            ชาไฮน์นึกโกรธอีกฝ่ายมากแต่ก็ต้องพยายามระงับไว้ ซูนัคเซนเป็นเพียงสายเลือดนอกคอกไร้ศักดิ์ศรีไม่ได้มีดีไปกว่าชนเผ่าอพยพไร้หลักแหล่งเช่นเขาสักนิด แต่เขายังต้องใช้ประโยชน์จากความสามารถพิเศษของซูนัคเซนจึงทำให้ต้องยอมสงบปาก และไม่หยิบยกชาติกำเนิดของอีกฝ่ายมาตอบโต้เช่นกัน
            เมื่อเห็นชาไฮน์ยอมสงบปากสงบคำแล้ว ซูนัคเซนก็พูดขึ้น "เรามาหาท่าน ก็เพื่อปรึกษาเรื่องการให้คนของท่านเข้าไปปะปนกับคณะสำรวจในคราวนี้ เพราะเราขยับใกล้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เข้าไปทุกที อีกไม่กี่วันก็จะถึงเขตหวงห้ามที่ฮาจารีหวงแหนหนักหนา ส่วนเรื่องที่เราให้ผู้หญิงของเขามาร่วมทำงานก็เพื่อให้เขาวางใจในส่วนหนึ่ง ว่าการมีคนของเขามาอยู่ด้วยซักคนจะทำให้เราไม่กล้าทำอะไร หวังว่าท่านคงเข้าใจ"
            ชาไฮน์ขบกรามครุ่นคิด แม้จะไม่ค่อยชอบหน้าบุรุษร่วมอุดมการณ์คนนี้นัก แต่เพื่อผลประโยชน์ที่เอื้อต่อกันจึงจำต้องรับเงื่อนไขและการตัดสินใจของซูนัคเซนอยู่บ่อย ๆ
            "แล้วเพื่อนท่านจะให้คนของเราเข้าพื้นที่วันไหนล่ะ เราพร้อมทุกเมื่อขอเพียงท่านบอกมา" สีหน้าชาไฮน์เปลี่ยนจากเคร่งขรึมเป็นรอยยิ้มเย็นชา ในเมื่อสิ่งที่หวังใกล้มาถึง
            "วันพรุ่งนี้" ซูนัคเซนตอบ "เพราะพี่ชายเราจะให้เธอมาเริ่มงานอีกสองวัน และเราอยากให้เธอเห็นท่านเป็นคนงาน"
            "คนงาน! ท่านจะให้นักรบอย่างเราไปเป็นคนงานต่ำต้อยงั้นรึ!" ชาไฮน์กระชากเสียงถาม
            "ถ้าท่านไม่เป็นคนงานก็เป็นโจรทะเลทราย ท่านคิดว่าแบบไหนมันจะสมเหตุกว่ากันล่ะกับการค้นหาสุสานพระนาง" ซูนัคเซนตะเบ็งเสียงให้เหตุผล 
            "งั้นก็ได้" ชาไฮน์ชักสีหน้า ต้องจำนนต่อเหตุผลของซูนัคเซน ทั้งที่ในใจหัวหน้าเผ่าอพยพเดือดดาลเต็มทน
            ชาไฮน์เป็นหัวหน้าปกครองชนเผ่าแมกนาที่อยู่ทางตอนใต้อพยพมาตั้งถิ่นฐานติดกับลิเบีย บริเวณนี้การสู้รบยังเป็นอยู่อย่างต่อเนื่องด้วยการหักล้างชิงการครอบครองพื้นที่ทำมาค้าขาย ส่วนตระกูลอัล-ซาฮานเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ครั้งบรรพกาล บรรพชนล้วนสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าโดยสายเลือด ตระกูลมีความมั่งคั่งทางการเงินแล้วยังเป็นที่ไว้วางใจแก่กษัตริย์ ในเรื่องความรักสงบไม่ก่อเหตุวุ่นวายหรือคิดโค่นล้มบัลลังก์ ทายาทชาตินักรบแห่งตระกูลอัล-ซาฮานมักถูกเรียกตัว เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่วิกฤติคับขัน และพวกเขาก็สามารถทำงานให้เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี จึงไม่น่าแปลกที่ตระกูลอัล-ซาฮานจะมีพื้นที่เป็นของตัวเอง ด้วยการประทานรางวัลจากองค์กษัตริย์ในสมัยก่อน
            หัวหน้าเผ่าแมกนาหลายต่อหลายรุ่นต่างปรารถนาจะมีอำนาจทัดเทียมเผ่าอัล-ซาฮาน แต่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ไม่เป็นผล ฝ่ายนั้นมีพลรบแข็งแกร่ง การวางแผนสู้รบล้วนเป็นไปด้วยความชำนาญ จนกระทั่งมาถึงยุคของชาไฮน์เขาได้เฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนในเผ่าอัล-ซาฮานมาตลอด ทำให้มองเห็นช่องทางจะเอาชนะได้ นั่นก็คือการร่วมมือกับสมาชิกนอกคอก ผู้มีความสามารถทางจิตสัมผัสพิเศษซึ่งเป็นคนของเผ่าอัล-ซาฮานคนนี้นั่นเอง
            เผ่าอัล-ซาฮาน
หมู่บ้านของชนเผ่าอัล-ซาฮานอยู่ในเขตโอเอซิส บริเวณที่ใช้ปลูกสร้างที่อยู่อาศัยจะอยู่ใกล้หน้าผาทางเหนือ นับเป็นบริเวณสวยงามแห่งหนึ่ง ทัศนียภาพของผืนทรายมองจากด้านบนเห็นเพียงความเขียวของแมกไม้เป็นหย่อมๆ ที่เกิดขึ้นตามตำแหน่งมีผู้อยู่อาศัย
            ชาระ ลูกน้องคนสนิทของฮาจารีทำหน้าที่เป็นพลขับ ขณะฮาจารีอธิบายรายละเอียดของสถานที่สำคัญๆ ที่เครื่องบินบินผ่านให้วาสิตาฟังอย่างคร่าว ๆ จนเมื่อใกล้ถึงหมู่บ้านเขาก็บอกเธอว่าจุดที่ชาระกำลังจะนำเครื่องลงนั้น เป็นลานกว้างหน้าหมู่บ้านอัล-ซาฮาน ซึ่งรอบ ๆ บริเวณหมู่บ้านมีพุ่มไม้เตี้ยดกครึ้มมองจากมุมที่เธออยู่นี้แทบไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่หลังคาบ้าน
            'อืม หมู่บ้านอัล-ซาฮานงั้นเหรอ..'
            ไม่นานมานี้เธอเคยได้ข่าวเกี่ยวกับบริเวณนี้ว่าเป็นที่ตั้งสุสานอียิปต์โบราณที่รอการขุดค้น พวกนักสำรวจต่างกระหายค้นคว้าและลงความเห็นว่าบริเวณที่ใกล้กับหมู่บ้านอัล-ซาฮานคือเมืองเก่าที่ชื่อว่าบาวิตี เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับบรรดานักขุดเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้ทำการขุดสำรวจสักราย
            หลังจากที่เครื่องบินลงจอดสนิทบนลานกว้างหน้าหมู่บ้าน ฮาจารีถอดเข็มขัดรัดตัวเปิดประตูออกและก้าวลงจากเครื่องวาสิตาส่งมือให้เขาพยุงและก้าวตามลงมา
            "เหมืองที่เราผ่านมานั้นเป็นเหมืองเหล็กที่มีเพียงแห่งเดียวในอียิปต์ เป็นเหมืองที่สร้างโดยท่านปู่ของฉันเอง" ฮาจารีบอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจในความสามารถของบรรพบุรุษ ที่สามารถสร้างสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชนเผ่าดั้งเดิมให้สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
            "แล้วเลยเหมืองไปมีแต่ทะเลทรายหรือเปล่าคะ" วาสิตาให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาบอกเล่า และพยายามเอ่ยถามในสิ่งที่ตนอยากรู้
            "ถึงจะมีแต่ทะเลทราย แต่ก็มีที่แห่งหนึ่ง เป็นแหล่งน้ำแร่เราเรียกที่นั่นว่า..แอ่งบาฮารีย์ยาห์ เป็นแหล่งน้ำแร่ที่น่าทึ่งเชียวล่ะ"
            "ฉันก็คิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ก็กลางทะเลทรายนี่คะ ถ้าจะมีแหล่งน้ำแร่ที่ไหนซักแห่ง ย่อมเป็นสถานที่น่าอัศจรรย์"
            คุยกันได้สักพัก เธอก็เงียบลงก่อนจะตัดสินใจถามขึ้นว่า
            "จริงหรือเปล่าคะ ที่ว่ามีนักสำรวจพยายามขอสัมปทานขุดค้นบริเวณนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าที่นี่มีสุสานศักดิ์สิทธิ์ฝังอยู่ใต้ผืนทราย"
            "จริง..และดูเหมือนว่าพวกนั้นจะพยายามอย่างไม่ลดละ" ฮาจารีพูดด้วยรอยยิ้มเหยียด
            “ดูเหมือนคุณไม่เห็นด้วยกับความคิดของบรรดานักขุดค้นพวกนั้นเอามาก ๆ นะคะฮาจารี เพราะอะไรคะ”
             ฮาจารีให้คำตอบทันควัน "เพราะสุสานบรรพบุรุษไม่สมควรที่จะถูกรบกวน"
            "แต่ถ้านำพวกเขาขึ้นมา พวกเขาก็จะได้รับการยกย่องเชิดชูดุจบรรพบุรุษคนอื่น ๆ นะคะ"
            ฮาจารีนิ่งเงียบ เขาไม่ปฏิเสธกับความคิดเห็นนั้น เธอจึงถามขึ้นอีก  "พื้นที่บริเวณนี้คงเป็นของคุณทั้งหมด ในยุคโบราณตระกูลของคุณคงเป็นขุนนางระดับสูง"
            เขาพยักหน้าตอบรับ ก่อนเอ่ย "แต่นั่นเป็นเพราะพระนางเนเฟอฮามุน ได้รับพระราชทานจากองค์พระสวามี ด้วยคุณความดีที่ตระกูลของพระนางได้ช่วยกอบกู้ราชบัลลังก์และพระศาสนาคืนแก่องค์ฟาโรห์"
            "ถ้าอย่างนั้น ถึงแม้นักสำรวจจะขอใบอนุญาตจากทางการแล้วก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากคุณอีกที จึงจะสามารถขุดค้นบริเวณนี้ได้น่ะสิคะ" เธอลองคาดเดา
            "ฉันก็ไม่ได้คิดขัดขวางอะไรพวกเขา แต่บรรพบุรุษของเราได้ทำการปกปักรักษาที่แห่งนี้มาเป็นเวลานาน ฉันจึงไม่อยากให้ใครมาย่ำยีเพราะฉันคิดว่าพวกนั้นไม่ต้องการศึกษาซากบรรพบุรุษจริง ๆ ต้องการสมบัติคนตายมากกว่า" ฮาจารีแสดงเหตุผลอย่างที่ใจเขาคิด 
            เสียงหญิงสาวค้านขึ้น
            "พวกเขาคงไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ เพราะเท่าที่ฉันรู้พวกเขาต่างต้องการชื่อเสียงมากกว่าทรัพย์สมบัติ ทุกคนต่างต้องการคำจารึกถึงความเก่งกล้าสามารถเพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึง"
            สายตาคมกริบหันมาจ้องจับแววตาสวยของคนช่างพูด
            "เธอช่างมองโลกในแง่ดีเหลือเกินนะ"
            "ก็โลกเรามีสองด้านนี่คะ จะเป็นการดีถ้าเราจะมองไม่ให้หนักไปด้านใดด้านหนึ่ง"
            "แล้วก็มีจิตวิญญาณอันเปี่ยมไปด้วยพลังการโน้มน้าว" ฮาจารียังคงใช้สายตาและน้ำเสียงติดประชดนิด ๆ
            "ขอบคุณค่ะ ถ้าถือว่านั่นเป็นคำชม" วาสิตามองค้อนขวับ เมื่อรู้นัยถ้อยคำอีกฝ่าย เธอรู้ว่าเขาเก็บเอาอารมณ์ไม่พอใจที่เธออยากร่วมงานขุดค้นกับซูนัคเซนมาเป็นประเด็นประชด "ฉันเพียงพูดความรู้สึกในใจของตัวเองออกมา มันอาจจะไม่เข้าท่าสำหรับคุณ แต่ฉันก็รู้สึกอย่างที่พูดนั้นจริง ๆ นะคะ"
            "มันเป็นโปรเจ็กต์ในใจเธอด้วยหรือเปล่า" สายตาคมเหมือนจะจ้องจับเอาคำตอบอย่างจริงจัง
            "ฉันไม่ปฏิเสธหรอกค่ะ ฮาจารีคะ ฉันอยากไปร่วมงานขุดค้นกับซูนัคเซนค่ะ" น้ำเสียงของวาสิตาคล้ายคนกำลังอ้อนวอนขอร้องบางสิ่งบางอย่างจากเขา และสิ่งนั้นก็เป็นความฝันที่เธอวาดหวังมานาน
            "คุณก็รู้ว่าฉันเดินทางมาที่นี่เพื่ออะไร"
            ฮาจารียักไหล่ แสร้งทำน้ำเสียงถามดักคอ "ทำไมล่ะ..กลัวฉันเปลี่ยนใจไม่ให้เธอไปทำงานกับเขาหรือ"
            "ก็ท่าทางคุณบอกอย่างงั้น"
            ฮาจารีนิ่งเงียบไปอึดใจ ก่อนจะพูดให้คำตอบ "ฉันตามใจเธอ ถ้าเธอต้องการ ทุกอย่างจะเป็นไปตามนั้น"
            "คุณใจดีจริง ๆ ค่ะฮาจารี" แววตาสวยเปล่งประกาย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากขัดใจเธอเท่านั้น วาสิตาจึงไม่กล้าที่จะแสดงความดีอกดีใจจนออกหน้ามากกว่านี้
            "ฉันให้เธอได้ทุกอย่างวาสิตา ขอแค่ เธอสัญญาว่าจะเชื่อฟังฉัน"
            "ค่ะ..ฮาจารี ฉันสัญญา ฉันจะไม่ทำผิดกฏของคุณซักข้อ กินเยอะๆ ทำตัวดี ๆ แล้วก็เชื่อฟังคุณ" สิ้นคำพูดของหญิงสาว เรือนร่างบอบบางก็ถูกตวัดให้เข้าไปอยู่ในวงแขนเผชิญกับจุมพิตร้อนๆ ที่จู่โจมมาบนนวลแก้ม
            อารมณ์ชายหนุ่มแจ่มใสขึ้น เขาปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วกล่าว "คนของฉันคงเตรียมต้อนรับการมาของเธอแล้ว เราเข้าไปข้างในหมู่บ้านกันเถอะ"
            เมื่อร่างสูงเดินนำห่างไป วาสิตาก็ชูกำปั้นขึ้นชกลมด้วยความดีใจ เธออยากปลดปล่อยอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่เต็มอกออกมาเสียเต็มประดา ส่วนภายในใจก็คิดถึงเพื่อน
            'คอยดูนะ ถ้าติดต่อกุลสินีได้เมื่อไหร่ล่ะก็ จะชวนมาขุดด้วยกันซะเลย' หญิงสาวอมยิ้ม เมื่อนึกถึงใบหน้าอีกฝ่ายยามถูกชวนให้มาขุดหาซากมัมมี่ สิ่งที่คุณเธอกลัวนักกลัวหนา
            ฮาจารีโบกมือรับการคำนับจากยามรักษาการณ์หน้าประตูทางเข้าหมู่บ้านสองคน เขาพาเธอผ่านเข้าไปสู่ลานกว้าง ภายในหมู่บ้านเล็ก ๆ ผู้คนในเสื้อคลุมสีขาวจำนวนมากยืนต้อนรับผู้นำเผ่าของพวกเขา บางคนก็โห่ร้องด้วยความยินดีพร้อมโบกไม้โบกมือต้อนรับ
            "ที่นี่เป็นไงบ้าง" เขาก้มลงมากระซิบถาม สีหน้ายิ้ม ๆ
            "น่าประทับใจค่ะ" เธอตอบ เท่าที่เห็นฮาจารีเหมือนเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนเหล่านี้ ทว่าเธอกลับรู้สึกแปลก ๆ ต่อสายตาจับจ้องมาที่เธอเป็นจุดเดียว "แต่ฉันสงสัยจัง ทำไมพวกเขามองฉันแปลก ๆ แววตายิ้ม ๆ เหมือนยังกับว่า.." ยังไม่ทันจะพูดจบ ชายหนุ่มก็พูดต่อขึ้นมาหน้าตาเฉย
            "เหมือนยังกับว่าฉันได้นำพาท่านหญิงที่พวกเขารอคอยมาให้กับพวกเขาแล้ว ยังงั้นใช่ไหม"
            วาสิตาขัดเขิน เมื่อเขาคาดเดาความคิดเธอถูก
            "ฮาจารี  คุณคงไม่บอกกับคนของคุณไปแบบนั้นนะคะ" วาสิตากระซิบถาม โดยส่วนตัวเธอไม่อยากสร้างความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงให้กับคนของเขา รวมทั้งตัวเธอเอง
           "วาสิตาเธอเป็นความหวังที่คนของเรารอคอย" ฮาจารียังคงตอกย้ำความปรารถนาของเขา จากนั้นจูงมือเธอเดินเคียงกันไป ท่ามกลางสีหน้าเบิกบานของผู้คน
            เธอเร่งฝีเท้าให้ทัน พลางร้องประท้วงเบา ๆ "ฮาจารี เฮ้..คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ"
ทว่าเขาไม่ยอมหยุดฟัง
            ฮาจารีพาเธอเดินไปตามทางคดเคี้ยวมีพุ่มไม้ขนาบสองข้าง ไม่นานนักก็เห็นตัวบ้านซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียวสร้างด้วยหินเป็นก้อน ๆ วางเรียงต่อกันเป็นผนังทั้งหลัง ทางเข้าเเป็นบันไดหินรูปวงกลมซ้อนต่างระดับ
            "โอ้โห สวยจัง" วาสิตาตะลึง เพราะไม่เคยเห็นบ้านที่มีรูปแบบเป็นธรรมชาติย้อนยุคอย่างนี้ ทุกอย่างจัดวางด้วยหินสลับซับซ้อนเป็นรูปเป็นทรงของบ้านพักโบราณ เธอมาหยุดยืนมองบ้านหลังหนึ่งมีหน้าต่างด้านข้างสองบานเป็นครึ่งวงกลมขอบหน้าต่างตกแต่งด้วยอิฐสีดำเทา หลังคามีปล่องไฟโผล่พ้นนิดหน่อยคงมีห้องทำอาหารอยู่ด้านนั้น
            เยื้องมาด้านข้างตัวบ้านเป็นสวนหย่อมมีน้ำพุที่พุ่งจากบ่อตรงกลางไม่สูงนัก มีปลาแหวกว่ายอยู่ในบ่อหลายตัวให้ได้นั่งดูเพลิน ๆ  บ่อน้ำพุเป็นที่นั่งซึ่งเป็นหินก้อนขนาดคนตัวใหญ่อย่างฮาจารีนั่งได้สบาย ๆ เธอคิดว่าถ้าได้นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งวันก็คงไม่เบื่อ ด้วยสภาพแวดล้อมทั้งสวยงามทั้งร่มรื่น เท่าที่สังเกตเห็นดูเหมือนบ้านหลังนี้น่าจะเป็นที่พำนักของผู้ปกครองเผ่า เพราะปลูกแยกออกมาจากบ้านหลังอื่นซึ่งอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
           หญิงสูงวัยคนหนึ่งนางเกล้าผมโดยมีผ้าขาวคลุม โค้งคำนับฮาจารีก่อนสาวเท้ามาโอบกอดเขาด้วยความรักใคร่ ถัดไปข้างหลังมีหญิงสาวอีกหลายคนออกมายืนรอต้อนรับ ใบหน้าพวกนางยิ้มแย้มแจ่มใส
            "ยินดีต้อนรับกลับบ้านนายท่าน" เสียงสั่นน้อย ๆ ของหญิงสูงวัยกล่าวขึ้น
            ตามความคิดของวาสิตา อาจจะเป็นเพราะหมู่บ้านตระกูลอัล-ซาฮานตั้งอยู่ห่างไกลจากความแออัดภายในเมือง จึงทำให้พวกเขามีใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความแจ่มใส ไม่หม่นหมองและคร่ำเคร่งเหมือนคนในเมืองไคโรที่ต้องผจญกับมลภาวะเป็นพิษ และการแก่งแย่งของผู้คนที่คลาคล่ำเต็มเมือง
            เมื่อกล่าวทักทายฮาจารีแล้ว ทั้งหญิงสูงวัยและผู้หญิงสาวต่างทิ้งความสนใจมาที่เธอ ทำเอาคนกลายเป็นเป้านิ่งถึงกับประหม่าจากสายตาที่ยิงมาทุกสารทิศ
            "วาสิตา นี่ป้าเฮลย่า เปรียบเสมือนแม่คนที่สองของฉัน" ฮาจารีเอ่ยแนะนำ หญิงสูงวัยผู้มีรอยยิ้มบนใบหน้าแสดงออกถึงความเป็นมิตรนางยื่นมือมาเกาะกุมมือเธออย่างอ่อนโยน
            "หญิงสาวแสนสวย ฉันชื่อเฮลย่า ยินดีต้อนรับคุณสู่บ้านของเรา มาสิท่านหญิงเราจะดูแลคุณอย่างดี" ป้าเฮลย่าพูดพร้อมหันไปส่งยิ้มให้เจ้านายหนุ่ม ที่กำลังมีสีหน้าระรื่น
ป้าเฮลย่านำพาเธอเข้าไปภายในบ้านหินหลังนั้น
            วาสิตาเข้ามาหยุดยืนอยู่ภายในบ้านที่ประดุจดั่งวิมานบนดิน ภายนอกตัวบ้านว่าสวยงามแล้วภายในยังสร้างความตื่นตาตื่นใจไม่น้อยไปกว่ากันอีก หน้าต่างแต่ละบานมีผ้าม่านสีครีม เป็นผ้าผืนถักทอด้วยมือลวดลายเส้นสีที่ปักลงไปคล้ายงานผ้าปักฝีมือของคนไทย แม้ทุกสิ่งทุกอย่างภายในตัวบ้านจะเน้นความเป็นธรรมชาติ ทว่าสิ่งของทุกชิ้นล้วนบ่งบอกความดูดีมีรสนิยม ผนังที่ก่อด้วยหินแต่ละก้อนมีขนาดใหญ่เกือบเท่าตัวเธอด้วยซ้ำคงทั้งหนาและหนักมาก
            บรรดาช่างก่อสร้างที่สร้างบ้านหลังนี้คงใช้ความอุตสาหะอย่างมาก การใช้หินสร้างเคหสถานของชาวอียิปต์เป็นไปได้ยาก อย่างแรกหินหายากพอ ๆ กับไม้ที่ต้องสั่งมาจากประเทศอื่น คนส่วนใหญ่ที่อยู่ชั้นแรงงานจึงต้องสร้างบ้านโดยใช้อิฐที่ทำจากโคลนผสมต้นกก แล้วนำมาตากแห้งพอแข็งเป็นก้อนจึงนำมาต่อเติมเป็นตัวบ้าน
            ป้าเฮลย่านำเข้ามาห้องพักที่ได้จัดไว้ให้ก่อนหน้านั้น มันเป็นห้องทรงสี่เหลี่ยมหรูหรา พรมหนาสีเทาลายกุหลาบปูบนพื้นหินอ่อนสีเข้ม หน้าพรมเช็ดเท้าสีขาวขนนุ่มมีบานกระจกใสตั้งอยู่ให้ได้อวดโฉมตั้งแต่หัวยันเท้า มีม่านลายดอกบัวแขวนประดับผนังอย่างสวยงาม เตียงขนาดห้าฟุตปูด้วยผ้าต่วนและคลุมด้วยผ้าแพรสีแดงเลือดนกตั้งตระหง่านกลางห้อง บนโต๊ะเตี้ยข้างหัวเตียงมีตะเกียงทรงโบราณตั้งอยู่หนึ่งอัน หมอนสองใบวางเคียงกันบนเตียงปักลวดลายเดียวกับผ้าม่านและผ้าปู
            วาสิตาทิ้งสายตาเนิ่นนานกับที่นอนหนาซึ่งคงจะนุ่มสำหรับแผ่นหลังมาก ถ้าเธอได้ลองทิ้งตัวลงนอนสัมผัส คงแทบจะหลับไปในทันทีเลยเชียว
            "ฉันแน่ใจว่า คุณต้องพอใจกับห้องนอนนี้" ป้าเฮลย่ายิ้มแย้มขณะกล่าว เมื่อเห็นว่าเธอพอใจกับสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาได้จัดเตรียมไว้ เสียงผู้อาวุโสพูดต่อ "ทาธิยาจะมาให้การปรนนิบัติคุณ ระหว่างพักอยู่ที่นี่ขอให้คุณอยู่สุขสบาย"
            "เอาล่ะท่านหญิง คุณควรจะได้พักผ่อนสักนิด ถ้ามีสิ่งใดที่คุณต้องการกรุณาบอกเรา เราจะจัดเตรียมให้คุณในทันที"
           ป้าเฮลย่าขอตัวออกไปโดยที่วาสิตาไม่มีโอกาสได้เปิดปากอธิบายถึงความเข้าใจของพวกเขา จนเมื่อเวลาผ่านไปราวชั่วโมงเศษ ฮาจารีเดินเข้ามาภายในห้อง น้ำเสียงเขาฟังดูนุ่มนวลขณะมองเธอนั่งเอกเขนกบนเบาะให้ความสนใจกับทัศนียภาพภายนอกหน้าต่าง
            "ที่นี่มีห้องสมุดที่เก็บสะสมบันทึกโบราณด้วย ถ้าเธอสนใจนะ"
            "หืมม์..จริงหรือคะ อยากเห็นจัง" วาสิตาหันมาตื่นเต้นกับสิ่งที่ได้รับรู้ นอกจากยังดำรงวิถีชีวิตตามประเพณีโบราณแล้ว บรรพบุรุษของเขายังมีเรื่องน่าศึกษาค้นคว้าเป็นรูปเล่มอีกหรือนี่ ช่างน่าสนใจเหลือเกิน
            ทว่าเมื่อได้ฟังถ้อยคำต่อมา ถึงกลับทำให้เธอเกิดอาการหมั่นไส้
            "เธอต้องชอบแน่ หนังสือเยอะกว่าการสะสมผู้หญิงในฮาเร็มของฉันเสียอีก"
            "หึ..คุณเปรียบผู้หญิงกับการสะสมหนังสือเนี่ยนะคะ ชอบตายล่ะ" วาสิตาลากเสียงประชด แต่ก็ยังอยากจะไปห้องสมุดที่ว่านั่นอยู่ดี "ห้องอยู่ตรงไหนล่ะคะ"
            "ตามฉันมา" ฮาจารีหยุดหัวเราะ จากนั้นเดินนำเธอออกไปทันที
            ภายในอาคารหินแห่งนี้ห้องแต่ละห้องเชื่อมต่อกันโดยใช้ทางเดินในรูปแบบอุโมงค์ มีเชิงเทียนทรงโบราณตั้งตามจุดต่าง ๆ ชายหนุ่มเดินนำมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ซึ่งมองผ่านบานประตูที่เปิดอ้าอยู่แล้วก็เห็นว่าเป็นห้องทำงาน
            "ห้องทำงานของคุณหรือคะ" เธอเดาว่าห้องนี้น่าจะเป็นห้องทำงานของเขา
            "ใช่ เข้ามาสิ" เขาไม่รีรอให้เธอได้ตัดสินใจ จัดการลากแขนเธอให้ตามเข้ามายืนอยู่ภายใน ห้องรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสไม่กว้างมากนักนอกจากโต๊ะทำงานขนาดกว้างและยาวมากแล้วก็มีเพียงชั้นหนังสือ
หนังสือจัดเรียงบนชั้นเกือบเต็มแต่ก็ไม่ถือว่ามากมายถึงขนาดจะเรียกว่าเป็นห้องสมุดได้
            "ดูเหมือนของสะสมของคุณคงยังไม่มากพอที่จะคุยนะคะฮาจารี"
            วาสิตาพูดพลางหันมายิ้มให้กับชายหนุ่มขี้โอ่ แต่แล้วรอยยิ้มล้อเลียนของเธอก็ต้องหุบลง เมื่อเขาชี้นิ้วไปที่มุมหนึ่งของห้อง เธอถึงเห็นว่าบริเวณผนังหินด้านนั้นมีรอยกรีดแยกคล้ายประตูขนาดความสูงร้อยห้าสิบเมตร เขากดบางอย่างลงตรงช่องข้างผนังใกล้ ๆ เธอถึงได้รู้ว่านั่นเป็นประตูกล
            "มีห้องใต้ดิน" ดวงตาสวยหันมาสบดวงตาคมเป็นคำถาม แต่ชายหนุ่มมอบเพียงรอยยิ้มแทนคำตอบ
            ตอนนี้ล่ะที่วาสิตาเข้าใจแล้วว่าห้องหนังสือจริง ๆ อยู่ข้างล่างต่างหาก เธอเดินมามองบันไดที่ทอดตัวลงไป จากนั้นเบี่ยงตัวให้ร่างใหญ่เดินลงไปก่อน แล้วจึงตามเขาลงไป
            "โอ้โห! หนังสือกระดาษปาปิรุส" วาสิตาเบิกตาตะลึง ก็ใครจะไปคิดว่าจู่ ๆ เธอจะได้มีโอกาสมายืนอยู่ท่ามกลางหนังสือที่บันทึกเรื่องราวตั้งแต่อดีตกาล เป็นบันทึกโบราณที่เรียกได้ว่ามีแห่งเดียวในโลกเพราะเป็นบันทึกประจำวันของบรรพบุรุษอียิปต์ที่บรรพบุรุษของเผ่าอัล-ซาฮานได้บันทึกไว้
            เสียงชายหนุ่มบอกเล่า
            "ห้องใต้ดินแห่งนี้จัดเก็บหนังสือประจำวันของเผ่าโดยเฉพาะ อยู่ใต้ดินแต่ไม่อับชื้น บรรยากาศคล้ายสุสานที่อยู่ในพีระมิด ทำให้สามารถกักเก็บสิ่งของให้อยู่ในสภาพเดิมได้เป็นพันปี ห้องนี้เก็บทุกสิ่งที่เกี่ยวกับอดีตของเราทั้งหมด" ฮาจารีหยุดเล่า ไล่สายตาไปตามชั้นหนังสือ ก่อนกล่าวต่อ "เมื่อก่อนเป็นห้องใช้สำหรับเก็บสิ่งของหัวหน้าเผ่าผู้ล่วงลับ ตอนหลังท่านปู่ของฉันท่านเปลี่ยนมาเป็นห้องเก็บบันทึกและหนังสือหายาก ท่านชอบการค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อมาพัฒนาเผ่า รวมทั้งเหมืองเหล็ก"
            วาสิตาเลือกหยิบหนังสือลงมาจากชั้นเล่มหนึ่ง เธอให้ความสนใจกับเนื้อหาภายในหนังสือแม้เธอจะอ่านไม่ออกไม่รู้ว่ากล่าวถึงเรื่องใด แต่จากภาพประกอบเธอสามารถเดาได้เลยว่าเป็นการทำพิธีกรรมโบราณอย่างหนึ่ง
            "ทุกคนที่นี่เชื่อในเรื่องการกลับชาติมาเกิด" ฮาจารีไขข้อข้องใจ   เขาสังเกตว่าหญิงสาวให้ความสนใจต่อรูปพิธีกรรมในหนังสือ
            วาสิตาเงยหน้า สบดวงตาของเขาขณะเอ่ยถาม "แม้แต่ตัวคุณซึ่งอยู่ในโลกปัจจุบันหรือคะ"
            "ใช่" ฮาจารีพยักหน้า ก่อนเอ่ยตอบเสียงหนัก "สิ่งที่เรียกว่าตาย คือร่างที่สลาย แต่จิตวิญญาณของคนซึ่งเราเรียกว่า..บา  จะยังรอคอยที่จะกลับมามีตัวตนอีกครั้ง หรือถ้าได้เกิดใหม่คนที่เคยผูกพันกันก็จะกลับมาหากันอีกครั้งเช่นกัน"

           "คุณกำลังบอกฉันถึงสิ่งที่คุณเชื่อว่าคนเคยมีความสัมพันธ์กันเมื่อชาติที่แล้ว มีโอกาสจะกลับมาพบกันอีกครั้งในชาตินี้อย่างแน่นอน งั้นหรือคะ"
            "แม้จะฟังดูงมงาย แต่ฉันเชื่ออย่างนั้น เพราะทันทีที่ฉันได้เจอเธอมันทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงสิ่งที่รอมานานแสนนาน ยิ่งนานวันที่ได้อยู่ใกล้ฉันก็ยิ่งเบิกบานใจและไม่อยากให้เธอจากไปไหนอีก"
            ชายหนุ่มเอื้อมมากุมมือเธอไว้ ลมหายใจอุ่น ๆ สัมผัสได้ในระยะใกล้ ส่วนตัวเธอเองรับรู้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นเป็นลำดับ เมื่อนึกถึงความเชื่อของเขา
           วาสิตามองมือที่แสนอบอุ่น มือที่ทำให้เธอรู้ถึงรสสัมผัสอันซาบซ่านหัวใจ แต่ความเป็นจริงระหว่างเธอกับเขา ช่างเหมือนมีกำแพงใหญ่หนากางกั้น
            ในขณะที่ทั้งสองกำลังตกอยู่ในภวังค์ เสียงของป้าเฮลย่าก็ดังขึ้นตรงบันไดทางลง
            "นายท่านทั้งสองขออภัยเถอะท่านทั้งสองอยู่ห้องใต้ดินข้างล่างนั้นหรือไม่?" เสียงป้าเฮลย่าตะโกนถามจากภายนอกประตูกลที่ยังคงเปิดอ้าอยู่
            "ฮาจารีคะ เรากลับขึ้นไปข้างบนกันเถอะค่ะ เวลานี้ป้าเฮลย่าคงกำลังมองหาเรา" วาสิตาลอบถอนใจ ค่อย ๆ ถอนมือออกจากการเกาะกุม พลางนึกขอบคุณป้าเฮลย่าอย่างน้อยเสียงนั้นก็ช่วยทำลายบรรยกาศที่ชวนอึดอัดใจ ทว่าฮาจารีกลับไม่ยอมปล่อยมือ กลับยึดมือเธอไว้แน่นพร้อมส่งสายตาเว้าวอน
            ดวงตาสวยถูกตรึงด้วยสายตาคมซึ้ง ทุกถ้อยคำที่เขาพูดออกมา ทำให้หัวใจเธอคล้ายถูกบีบ ด้วยว่าความรักระหว่างเธอและเขาต้องอาศัยเวลา และบางครั้งอาจขึ้นอยู่กับความเหมาะสมซึ่งเธอคิดว่าเธอไม่มีอะไรเหมาะสมคู่ควรกับเขาเลย ที่สำคัญ เธอรู้สึกสับสนซึ่งเธอเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเธอจึงรู้สึกถึงการรอคอยเช่นเดียวกับเขา แต่พอใคร่ครวญถึงความเป็นจริงแล้วเธอก็ได้แต่เตือนให้ต้องตัดใจ
 

 




 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น