วันอาทิตย์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทรายร้อนซ่อนเสน่หา : หนุ่มอาหรับ



นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา




สะดุ้งตื่นลืมตาสิ่งแรกวาสิตารู้สึกคือความปวดหนึบภายในศีรษะอย่างกับถูกกดทับด้วยของหนัก ปวดร้าวราวกะโหลกจะแตกเป็นเสี่ยงแต่แล้วประสาทสัมผัสหนึ่ง
'กลิ่นน้ำหอมของผู้ชายนี่นา เขาเป็นใครกัน แล้วฉันเป็นอะไรไป'เรือนร่างบอบบางนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็จำเหตุการณ์บางส่วนได้ 'ใช่สิ..ฉันถูกรถชน อืม..ฉันตายแล้วงั้นเหรอ แล้วถ้าตาย ทำไมยังได้กลิ่นน้ำหอม'
ลมหายใจอุ่น ๆกับกลิ่นน้ำหอมบุรุษเรียกสติเธอให้ตื่นเต็ม ดวงตาหญิงสาวเบิกกว้างเมื่อสบดวงตาชายแปลกหน้า เขานั่งอยู่บนเตียงเดียวกับเธอนี่เองใบหน้าหล่อเหลามีจมูกโด่งคิ้วเข้ม แม้มีหนวดเคราปกคลุมเกือบครึ่ง แต่ไม่อาจบดบังความหล่อเหลาอยู่ดี เขาเป็นหนุ่มร่างสูงใหญ่ ผิวของเขาเป็นสีทองแดง
"คุณ!" อารามตกใจ วาสิตาดีดตัวลุกพรวด ทว่าร่างกายบอบช้ำจากแรงกระแทกหลายที่ ทำให้ต้องทิ้งตัวลงนอนร้องโอดโอย พลางส่งสายตาหวาดกลัวไปยังดวงตาอ่อนโยนคู่นั้น
ฮาจารีเฝ้ามองร่างของหญิงสาวนอนนิ่งมาตลอดวันจนเกือบเที่ยงคืน พออีกฝ่ายตื่นมาก็เกิดอาการหวาดกลัว เขาคาดว่าคงเกิดจากฝันร้าย เพราะก่อนหน้าแม้อากาศภายในห้องเย็นสบายแต่บนหน้าผากมนกลับมีเหงื่อซึม อีกทั้งใบหน้าสวยขมวดคิ้วย่น ส่วนริมฝีปากขยับขมุบขมิบไม่ได้รู้สึกตัว
ชายหนุ่มยืดหลังแล้วเอ่ยน้ำเสียงทุ้มนุ่มออกมา
"เป็นเรื่องธรรมดา..ที่เธอจะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวคนแปลกหน้าแต่ฉันรับรองความปลอดภัยและจะไม่มีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นกับเธออีก"
ฮาจารีพูดจาปลอบโยน หวังคลายความตระหนกตกตื่นของหญิงสาว โดยไม่ฉุกคิดถึงภาษาสื่อกลาง แต่ไม่นานเขาก็คลายกังวลลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายพูดสื่อภาษาอาหรับได้ดี
"ขอบคุณที่ช่วยเหลือฉันค่ะ" วาสิตากล่าวกับเขา อย่างไม่ค่อยวางใจนัก ก็เธอไม่อยากโดนหนุ่มอาหรับหลอกให้อีก
หญิงสาวพยายามดันตัวขึ้นมานั่งสนทนากับเขา แต่กลับถูกเสียงเอ็ด
"เธอไม่ควรฝืนตัวเองแบบนั้น ร่างกายเธอยังไม่แข็งแรงพอ"
หญิงสาวทิ้งตัวลงนอนเหมือนเดิม ปากไม่วายจะเถียง "ฉันไม่เป็นอะไร” และเพื่อไม่เป็นการทำร้ายน้ำใจผู้หวังดี เธอจึงเริ่มต้นสนทนากับเขาด้วยคำถาม “เอ่อ..แล้วคุณเป็นใคร แล้ว..แล้วที่นี่ที่ไหนแล้วฉันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?"
คำถามยาวเป็นพรวนจนคนถูกถามเปิดปากยิ้ม
"ดูเหมือนเธอฟื้นมาพร้อมคำถามมากมาย เอาล่ะฉันจะตอบเธอทีละคำถามแล้วกันก่อนอื่นเธอบอกว่าเธอไม่เป็นอะไร นั่นไม่จริงรายงานของหมอเป็นพยานได้ ส่วนชื่อของฉันคือ ฮาจารี อัซซาร์ อิบปาชาและสถานแห่งนี้คือบ้านของฉันเองทำตัวตามสบายและไม่ต้องกลัวภัยอันตรายใด ๆ มันจะไม่เกิดขึ้นกับเธออีกแล้ว”
"ขอบคุณนะคะที่คุณช่วยเหลือแล้วยังช่วยดูแล แต่ถ้าคุณจะกรุณาฉันอีกซักนิด ช่วยพาฉันไปส่งสถานทูตไทยได้ไหม" วาสิตาอ้อนวอน แม้เขาจะเป็นผู้มีพระคุณแต่เขาก็เป็นหนุ่มแปลกหน้า ที่เธอจะไว้ใจใครไม่ได้อีกแล้ว
"ฉันไม่ปฏิเสธจะช่วยเหลือเธอในเรื่องนั้นหรอกเพียงแต่ตอนนี้ร่างกายเธอยังอ่อนแอ รักษาตัวให้หายเป็นปกติแล้วฉันจะไปส่งเธอเอง"ฮาจารีให้เหตุผล พลางนึกหงุดหงิดใจกับเสียงดื้อดึงของคนเจ็บ
"ฉันแข็งแรงพอ เดินทางได้สบาย” หญิงสาวยังไม่ทันพูดจบ เสียงเขาเอ็ดแทรกขึ้นมาทันควัน
"เหลวไหล!หมอบอกร่างกายเธอบอบช้ำภายใน ต้องนอนรักษาตัวอย่างน้อยสี่ห้าวัน"
"ห๊ะ ไม่ได้ค่ะ ทางบ้านฉันต้องเป็นห่วงแน่ ถ้ารู้ว่าฉันไม่ได้ติดต่อกลับไป" ข้าวของก็หายหมด มีทางเดียวที่เธอจะติดต่อกุลสินีได้คือไปสถานฑูตไทย
"พวกเขาจะเป็นห่วงมากกว่า ถ้าได้เห็นเธออยู่ในสภาพของคนเจ็บ ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย” เขาเอ่ยเตือนสติ เข้าใจว่าหญิงสาวร้อนรนจะไปสถานทูตให้ได้เพราะไม่ไว้ใจในตัวเขา แต่เพราะความห่วงใยจึงไม่อาจตามใจ
"ฉันจำเป็นต้องติดต่อทางบ้านค่ะ คุณต้องเข้าใจว่าคนในครอบครัวหายไป ทางบ้านต้องวุ่นวายมาก” วาสิตายืนยันโดยให้เหตุผลเช่นกันอย่างน้อยกุลสินีก็กำลังรอเธออยู่ซึ่งถ้าฝ่ายนั้นไม่ได้รับการติดต่อกลับจากเธอแม่เพื่อนสาวต้องร้อนใจแน่
"ฉันเข้าใจล่ะ เอาเถอะเธอตื่นมาพรุ่งนี้เช้า ฉันจะต่อสายถึงครอบครัวของเธอให้ ตกลงไหม" ฮาจารีต่อรอง
วาสิตาครุ่นคิด พลางพินิจหนุ่มอาหรับเคราดกตรงหน้าอย่างชั่งใจผู้ชายคนแรกเข้ามาตีสนิททำให้เธอหลงเชื่อว่าเขาจะช่วยเหลือจนทำให้เธอต้องมามีสภาพเป็นคนป่วยแบบนี้ส่วนผู้ชายคนนี้เธอควรจะเชื่อเขาดีไหมนะ"ฉันไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของคุณหรือเปล่า เพราะฉันเชื่อคนแปลกหน้าถึงถูกเขาหลอกจนต้องมานอนเจ็บอยู่อย่างนี้ไง"
"เธอจะเจอกับอะไรมาขอให้เชื่อเถอะว่าฉันปรารถนาดี อยากให้ร่างกายเธอกลับมาแข็งแรงเป็นปกติจริง ๆ "
น้ำเสียงของเขา นุ่มนวลอ่อนโยน
"ฉัน.." เสียงของเธอขาดหาย ก้ำกึ่งด้วยความไม่แน่ใจ อีกทั้งประดักประเดิดถ้าจะบอกเขาไปตรง ๆ ว่าเธอกลัวเขาหลอกอีก
"เราค่อยคุยกันอีกที ตอนนี้ร่างกายที่ไม่ได้รับอาหารมาหลายชั่วโมง ควรมีอะไรรองท้องบ้าง"
หญิงสาวเดินทางมาถึงไคโรตอนรุ่งสาง แต่มองผ่านม่านบาง ๆออกไปยังด้านนอก ก็เห็นว่าฟ้ามืดสนิทเธอคงหลับทั้งวัน"หลับไปหลายชั่วโมงเลย" วาสิตาพึมพำกับตัวเอง แต่อีกคนก็ได้ยิน
ใช่ เธอหลับตลอดวันเลย”
เขาส่งยิ้มอบอุ่น เธอสังเกตเห็นมือหนาเอื้อมหยิบกระดิ่งเล็ก ๆมาสั่นเบา ๆ สักพักหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ นำมาวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียงและก้มศีรษะลงคล้ายทำท่าเคารพ ทั้งที่เธอเป็นเพียงผู้อาศัยแปลกหน้าคนหนึ่ง
เสียงเขาแนะนำ "มาเรียจะมาเป็นผู้ดูแลเธอระหว่างที่ต้องนอนพักอยู่บนเตียงนี้เธอต้องการอะไรก็บอกกับมาเรีย" เอ่ยจบ เขาก็หันไปกล่าวกับมาเรีย "เธอพูดภาษาของเราได้ ไม่ต้องกังวลหรอกมาเรีย"
สาวใช้มาเรียยิ้มโล่งใจ แล้วเอ่ยกับเธอ "มาเรียยินดีรับใช้ค่ะท่านหญิง"
ท่าทางนอบน้อมของมาเรียก็ไม่แปลกที่นางจะปฏิบัติต่อแขก แต่การเรียกขานสรรพนามแทนตัวเธอนี่สิ ไม่คุ้นหูเลย
"ฉันกำลังรบกวนพวกคุณ" เรือนร่างบอบบางเกร็ง ด้วยความเกรงใจ เกิดเหตุการณ์ร้าย ๆ ทำให้ใครต่อใครมาเสียเวลาดูแลตัวเอง
ชายหนุ่มไม่พ้นส่งเสียงเอ็ดมาอีก "รบกวนอะไรกัน เธอควรห่วงตัวเองก่อนนะ"
จากนั้นเขาพยักหน้าให้มาเรีย สาวใช้รู้งานรีบขยับถาดอาหารมาวางไว้ใกล้ตัวเธอแล้วร่างเล็กของมาเรียก็ถอยไปยืนรอ
"หมอบอกร่างกายเธอบอบช้ำเพราะเกิดจากแรงกระแทก ดีที่ว่าไม่กระทบกระเทือนถึงสมองไม่งั้นอาจเจ็บหนักมากกว่านี้ หมอจ่ายยาให้เธอนอนหลับยาวเพราะอาการประสาทหลอนของเธออาจทำให้เธอหลับไม่สนิทเมื่อตื่นขึ้นจะรู้สึกเพลียมาก ฉันจึงสั่งให้คนของฉันเตรียมอาหารอ่อน ๆไว้ให้"
วาสิตาแอบยิ้มขำ กับการร่ายยาวของเขา
ชายหนุ่มมองใบหน้าของหญิงสาวต่างแดน ที่สวยบาดตาด้วยความฉงนในท่าทีนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ "ฉันรู้ว่าเธอยังหวาดกลัวต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาและทำให้ไม่อยากไว้ใจใคร แต่ฉันขอรับรองจะไม่มีใครทำร้ายเธออีกกินอาหารพวกนี้ซะ ร่างกายของเธอจะได้กลับมาเป็นปกติเร็ว ๆ "
ฟังเขาพูดจบ วาสิตามองอาหารในถาด ซึ่งเป็นอาหารอ่อน ๆสำหรับผู้ป่วยพักฟื้น เธอหิวจนเผลอกลืนน้ำลายพลางใคร่ครวญอีกทีว่าเธอจะลองเสี่ยงเชื่อเขาไหม
"ฉันรู้ว่าเธอพบกับสิ่งเลวร้ายมาแต่คนเราใช่จะร้ายเหมือนกันทุกคน โดยเฉพาะตอนนี้ร่างกายเธอบาดเจ็บ เชื่อฉันสิกินอาหารเพื่อให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม ฉันจะไม่รบกวนเธอ แต่จะไปรออยู่ตรงนั้น” เขาชี้นิ้วไปยังโซฟายาวข้างผนังตรงข้าม “ขอให้เธอกินอย่างสบายใจ”
คงสบายใจได้หรอก’ วาสิตามองพิเคราะห์เขาอีกครั้ง ก่อนตกลงใจเชื่อหนุ่มอาหรับคนนี้อีกสักหน ดังนั้นเมื่อเห็นเขาลุกไปนั่งโซฟาแล้ว เธอจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่ง ตักอาหารใส่ปากท่ามกลางสายตาจับจ้องของสองนายบ่าว
ฮาจารีอดไม่ได้จะสำรวจรูปลักษณ์อันชวนพึงใจของหญิงสาว เขาย้อนนึกถึงยามเฝ้ามองอีกฝ่ายตอนนอนหลับ ทั้งดวงหน้า จมูก แก้ม คางผิวพรรณขาวผุดผ่อง เส้นผมสีดำยาวก็นุ่มมือ ซึ่งพินิจคุณลักษณะต่าง ๆ ก็เหมือนอีกฝ่ายจะถูกเสกสรรปั้นแต่ง ให้เกิดมาสวยราวเทพธิดา
วาสิตากินอิ่มแล้ววางช้อนลง ช่วงเวลาจัดการอาหารตรงหน้า เธอรู้สึกตลอดเวลาถึงสายตาจ้องมองของเขาขณะเดียวกันมาเรียก้าวมาหาพร้อมถาดทองใบจิ๋ว ในถาดมีแก้วน้ำและขวดเล็ก ๆบรรจุเม็ดยาภายใน เสียงมาเรียกล่าว
ยานี้หมอจัดให้คุณกินหลังอาหารทันที"
น้ำเสียงมาเรียนั้นนอบน้อมมาก แต่เธอยังลังเล จนชายหนุ่มออกคำสั่งมาอีก
"กินซะ ทั้งอาหารและยาจะทำให้เธอหลับสบาย และรุ่งเช้าเธอจะรู้สึกดีขึ้น"
ฮาจารีตระหนักถึงความลังเลของหญิงสาวด้วยสภาพจิตใจที่ไม่พร้อมจะเชื่อใจใครได้ง่าย ๆแต่เขามีความปรารถนาดีต่อหญิงสาวอย่างจริงใจ และหวังว่าอีกฝ่ายจะมองเห็นบ้าง
วาสิตาชั่งใจ ก่อนตัดสินใจเอาไงเอากันไหน ๆหนุ่มอาหรับผู้นี้ได้ช่วยเหลือเธอ ดูแลอย่างดี ถ้าจะกินยาตามคำสั่งอีกสักอย่าง จะเป็นไร
ดังนั้นยาทุกเม็ดในขวดจึงเข้ามาอยู่ในปากตามด้วยน้ำหมดแก้ว จากนั้นเธอจึงล้มตัวลงนอน มาเรียช่วยดึงผ้ามาห่ม
ใบหน้าหนุ่มหล่อจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก พึงพอใจกับอากัปกิริยาของหญิงสาว ที่ยอมเชื่อใจและยอมปฏิบัติตามทุกอย่าง เมื่อมาเรียยกถาดอาหารเดินออกไปแล้ว เขาจึงลุกมายืนข้างเตียง แล้วเริ่มสนทนากับหญิงสาวต่างแดนอย่างเป็นทางการ
"ยานี้จะออกฤทธิ์ภายในสิบนาทีและในระหว่างนั้นฉันอยากฟังรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอ เธอชื่ออะไร มาจากประเทศไหน?"
วาสิตาตระหนักว่ากำลังถูกเขาซักประวัติ พอคิดได้ตอนนี้ตนนอนอยู่ในบ้านของเขา ย่อมเป็นเรื่องปกติที่เจ้าบ้านจะต้องรู้ประวัติคนแปลกหน้า
"ฉันชื่อวาสิตา”
"วาสิตา" ฮาจารีทวนชื่อ ขณะเดียวกันเขาก็หันไปลากเก้าอี้มานั่ง เหมือนเป็นการเริ่มต้นสืบสวนคดีอย่างจริงจัง
"ฉันเป็นคนไทย"วาสิตาพยายามเรียบเรียงคำพูด แม้จะฝึกภาษาอาหรับมาอย่างดี แต่ก็ยังไม่คล่องพอจะพูดรัวเหมือนเจ้าของภาษา บางคำจึงออกจะติดขัดเล็กน้อย
"ฉันหมายถึงว่า ฉันเป็นคนไทยเดินทางไปเรียนต่อในประเทศอังกฤษ กำลังจะจบในเร็ว ๆ นี้ค่ะ แต่ก่อนจบฉันต้องหาข้อมูลมาทำวิทยานิพนธ์ ซึ่งอียิปต์โบราณอยู่ในความสนใจของฉันค่ะ”
"เธอสนใจโลกอดีตงั้นหรือ"
"ค่ะ ฉันสนใจเรียนรู้เกี่ยวกับโบราณคดีโดยเฉพาะโบราณคดีอียิปต์ฉันรู้จักประเทศของคุณราวกับเป็นบ้านเกิดฉันตั้งใจไว้ว่าเรียนจบแล้วก่อนจะเดินทางกลับบ้านจะต้องเดินทางมาเที่ยวที่นี่มาสัมผัสประเทศอียิปต์จริง ๆ และการมาครั้งนี้ก็เป็นการทำโปรเจ็กต์สุดท้ายของฉันค่ะ"
"เธอบอกว่าเป็นคนไทย แต่เธอพูดภาษาอาหรับได้ดี" เขาตั้งข้อสังเกต
"เพื่อนชาวอาหรับสอนให้ฉันค่ะ เขาใจดีและมีความอดทนในการสอนฉันพูดมาก ๆ จนเดี๋ยวนี้เรากลายเป็นเพื่อนสนิทกัน”
"เขางั้นหรือ" จู่ ๆ ฮาจารีเหมือนจะเคืองใจอย่างไร้เหตุผล
"ค่ะ เขา ผู้ชาย.." วาสิตาเริ่มไม่แน่ใจว่าพูดสื่อสารอะไรผิดไป สีหน้าของคู่สนทนาจึงดูขรึมแปลก ๆ
"คงเป็นคนรัก" ฮาจารีไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเขาจึงต้องถามออกไปแบบนั้นราวกับเขากำลังหึงหวง
หญิงสาวรีบปฏิเสธ "ไม่ใช่ค่ะ เราเป็นเพื่อนกัน และอีกอย่างเขาก็มีภรรยาแล้วด้วย"
วาสิตาคิดว่าเธอเห็นแววตาฮาจารีเป็นประกายเจิดจ้าสักครู่ก็กลับมานิ่งตามปกติความเป็นเพื่อนระหว่างเธอกับโอมานมีความหมายอย่างไรกัน
ร่างกายหญิงสาวเรียกร้องอยากนอนหลับเพราะฤทธิ์ยาแล้ว แต่ชายหนุ่มยังจ้องจะยิงคำถามใส่เธอไม่หยุดหย่อน
"เธอมาอียิปต์ในฐานะนักศึกษา"
ก็ไม่เชิง ถึงจะมาหาข้อมูลทำงานส่งเป็นชิ้นสุดท้าย แต่ลึก ๆแล้วฉันก็อยากมาเที่ยวตามความใฝ่ฝัน"
หญิงสาวรู้สึกง่วงแทบจะบังคับเปลือกตาไว้ไม่ได้ และเมื่อความง่วงทวีมากขึ้นเพราะยาออกฤทธิ์เต็มที่แล้ว น้ำเสียงที่ได้ยินจึงค่อย ๆ เบาลง ๆ
"ได้เรียนสถาบันการศึกษาหรู ๆ ยังแถมมีเงินเดินทางมาเที่ยวไกลแบบนี้ เธอคงเป็นลูกสาวของครอบครัวมีฐานะ"ฮาจารียังสนทนาไปเรื่อย โดยไม่ทันสังเกตอาการง่วงงุนของฝ่ายตรงข้าม
วาสิตาต้านทานฤทธิ์ยาไม่ไหวจึงปิดเปลือกตาลง กระนั้นเธอยังทันได้เห็นดวงตาเข้มคมจับจ้องมาไม่วางตา"ฉันไม่ได้.."
เธออยากจะบอกเขาว่า เธอเป็นลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ก็จริงแต่เธอเดินทางมาเที่ยวด้วยเงินทำงานพิเศษ เธอคิดไว้แล้วว่าจะต้องมาอียิปต์ให้ได้ และถ้าขอทุนรอนจากครอบครัวบุพการีทั้งสองต้องไม่ยอมแน่ จึงได้ทำงานพิเศษและเก็บเงินเพื่อเดินทางมาโดยไม่บอกกล่าวคนทางบ้าน เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นกังวลในความปลอดภัย แต่ไมทันเสียแล้วเมื่อความง่วงคืบคลานครอบคลุมเธอก็ผล็อยหลับไป
หลังจากนั้น ฮาจารีออกมานั่งบนศาลาในสวนหย่อมด้านหลังคฤหาสน์อยู่ริมแม่น้ำไนล์สายน้ำแห่งชีวิตของชนชาวอียิปต์ตั้งแต่ครั้งบรรพกาลจวบจนปัจจุบันชายหนุ่มมองเลยไปยัง'เรือใบเฟลุกกะ'เรือลำเล็ก ๆ ล่องตามกระแสลมและกระแสน้ำเรือใบโบราณรุ่นนี้ยังคงมีให้เห็นมาถึงปัจจุบันจากเรือขนถ่ายสินค้ากลายมาเป็นพาหนะสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวได้นั่งล่องรับลมชมจันทร์กันทั้งกลางวันและกลางคืน
ในขณะชายหนุ่มกำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่นั้น เสียงลูกน้องคนสนิทเอ่ยถาม
"นายท่านครับ นายท่านจะให้อัคห์เหม็ดกลับไปก่อนหรือ"
ฮาจารีรับรู้ว่าคนสนิท กังวลความปลอดภัยของเขา
"ใช่ เจ้าอยู่กับเราคนเดียวก็พอชาระ" ฮาจารีสบตาชาระผู้เป็นลูกน้อง เขาสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจจากนัยน์ตาคมคู่นั้น
"หมายความว่านายท่าน.." ยังไม่ทันชาระจะพูดจาคาดเดา ผู้เป็นนายก็เอ่ยแทรกขึ้นก่อน
"เราจะอยู่ที่นี่สักพัก"
"เพื่อดูแลผู้หญิงคนนั้นหรือนายท่าน" ชาระไม่พ้นคาดเดาความหมายของเจ้านาย เพราะมองออกว่านายหนุ่มพึงพอใจหญิงสาวต่างแดนผู้นั้นมาก แต่ด้วยความเป็นข้ารับใช้ผู้ภักดีจึงอดเป็นห่วงความไม่ปลอดภัย ซึ่งหญิงสาวผู้นั้นอาจนำมาสู่ผู้เป็นนายของตนได้
"ชาระ เจ้าน่าจะรู้ดีว่าหน้าที่ของเจ้าคืออะไร!"น้ำเสียงราบแต่แฝงอำนาจของฮาจารีทำให้ลูกน้องคนสนิทรู้ในทันทีว่าเขาต้องการจบคำถามในเรื่องนี้
"ครับ นายท่าน ข้าจะคอยอารักขาท่านเอง"ชาระโค้งศีรษะลงเคารพถ้อยคำสั่งของเจ้านายข้ารับใช้อย่างเขาเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวนายหนุ่มการสืบเชื้อสายโดยตรงเพื่อรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าอีกทั้งสติปัญญาชาญฉลาดทำให้ฮาจารีอัซซาร์ อิบปาชา เป็นที่เคารพนับถือของคนในเผ่าเป็นอย่างมาก
รุ่งเช้าของวันใหม่ วาสิตาตื่นลืมตา ก็พยายามคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ชั่วขณะที่ขยับตัวจะลุก อาการปวดหนึบตรงศีรษะก็ทำให้เธอต้องล้มตัวลงนอนอีก
"โอย..ปวดหัวชะมัด" หญิงสาวพึมพำพลางหลับตานิ่งเพื่อตั้งสติจนเมื่อร่างกายผ่อนคลายลงมาก ก็เริ่มส่ายตาสำรวจรอบห้อง ซึ่งทุกอย่างที่เธอเห็นล้วนเป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบา ๆก่อนบานประตูเปิดออกให้หญิงสาวอาหรับชื่อมาเรียได้ก้าวเข้ามา สาวใช้รูปร่างเล็ก ใบหน้าค่อยข้างยาวแต่รวมเครื่องหน้าดูกลมกลืนน่ารัก มาเรียสวมเครื่องแต่งกายคล้ายสาวอาหรับทั่วไปผิวของมาเรียคล้ำแต่เกลี้ยงเกลาผมยาวนั้นก็ถักเปียไว้ด้านหลัง
"ฉันจะเช็ดตัวแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ให้คุณค่ะ"มาเรียเอ่ยสำเนียงพื้นเมือง บอกต่อเธออีกว่า "นายท่านบอกให้ฉันดูแลคุณค่ะ"
วาสิตามองท่าทางสำรวมของมาเรีย ซึ่งในมือถือชุดมาหนึ่งชุด
"ฉันขอบใจมาเรียมากนะ ที่มาดูแลฉันแบบนี้" เธอรู้สึกเกรงใจพวกเขา เป็นคนแปลกหน้าแท้ ๆ แต่มานอนพักให้เขาต้องมาดูแลกัน
หญิงสาวค่อย ๆ ขยับตัวลุกนั่งพิงพนักเตียง
"อย่าคิดมากเลยค่ะ คุณควรรักษาตัวเองให้หายเร็ว ๆ"
น้ำเสียงสาวใช้อ่อนโยน จริงใจ เธอยิ้มขอบคุณ แล้วถามหาผู้เป็นเจ้านาย
"แล้วนายของมาเรียล่ะ"
"นายท่านจะไม่ข้ามมาฝั่งนี้ จนกว่ามาเรียจะทำงานเสร็จเรียบร้อยค่ะ"เอ่ยจบมาเรียเดินไปในห้องน้ำเล็กจัดเตรียมกะละมังใส่น้ำกับผ้าผืนเล็กสำหรับเช็ดตัว
วาสิตานั่งนิ่ง ๆ สะดวกต่อมาเรียเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดใหม่ให้พลันหญิงสาวนึกถึงโอมานเพื่อนชายผู้เป็นคนสอนภาษาอาหรับ เขาเคยหยอกล้อเธอว่า"ระวังนะ ฝึกพูดภาษาของผม ซักวันมันจะกลายเป็นชีวิตประจำวันของคุณ"
'ชีวิตประจำวันเหรอ..คงหมายถึงมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่สินะ ไม่ไหวมั้ง..มาวันแรกยังแทบเอาชีวิตไม่รอด' วาสิตาคิดในใจ ขณะนั้นมาเรียเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เธอเสร็จแล้ว
"คุณใส่ได้พอดีเลย และสวยมาก"
มาเรียกพูดชม สีหน้ายิ้มเบิกบานเมื่อเห็นหญิงสาวต่างแดนสวยราวเทพธิดาสวมใส่ชุดที่เตรียมมาได้งดงาม
ทางด้านหญิงสาว มองดูชุดว่าเป็นผ้าสีสดใสก็จริง แต่เนื้อผ้านุ่มบางเบาเปิดเผยเหลือเกิน
"คุณทานข้าวต้มอีกสองมื้อนะคะเพราะหมอสั่งห้ามให้อาหารย่อยยากกับคุณ" หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หญิงสาวเสร็จสรรพสาวใช้ร่างเล็กก็จัดที่นอนให้ใหม่จากนั้นเดินออกไปและกลับเข้ามาพร้อมถาดอาหารอ่อน ๆ ของผู้ป่วย
มาเรียวางถาดอาหารลงใกล้ตัวหญิงสาวและหยิบขวดยามีปริมาณเม็ดยาเท่ากับเมื่อคืนลงข้าง ๆ แก้วน้ำเสร็จแล้วก็ถอยออกไปยืนรอ ให้โอกาสเธอรับประทานอาหาร
วาสิตาลงมือตักอาหารใส่ปากอย่างช้า ๆ เช้าแบบนี้ร่างกายของเธอไม่ค่อยเรียกร้องอาหารสักเท่าไร ฝืนกินเอาใจมาเรียอีกคำสองคำก็วางช้อนเพียงเห็นว่าหญิงสาวหยุดกิน สาวใช้ก็หยิบขวดยาส่งให้ และตามด้วยแก้วน้ำ
"คุณกินอาหารน้อยมาก" มาเรียเอ่ยเจือน้ำเสียงห่วงใยมือเก็บสำรับอาหารไปด้วย ก่อนจะออกไปสาวใช้บอกกำชับอีกที "ยานี้จะทำให้คุณง่วงนอนและหลับยาวไปอีกสักพัก"
"มาเรียพูดอย่างนี้ก็แปลว่าฉันยังลุกจากเตียงนี้ไปไหนไม่ได้หรือ" วาสิตาอยากไปติดต่อเอกสาร เพื่อขอวีซ่าเดินทางกลับอังกฤษเร็วไว
"นายท่านบอกให้คุณนอนพักสักสองวัน จากนั้นถ้าอาการหายดีเป็นปกตินายท่านจะอนุญาตให้คุณออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ค่ะ"
วาสิตาฟังถ้อยคำถ่ายทอดจากมาเรียอย่างอ่อนใจ ตัวไม่อยู่ก็ไม่วายสั่งการสาวใช้ไว้ เออหนอ..จู่ ๆ สาวมั่นอย่างเธอก็มีเจ้าชีวิตขึ้นมาได้ เห็นแก่ความหวังดีของพวกเขาหรอกนะ เธอจึงพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเข้าใจ อย่างน้อยผู้ดูแลจะได้ไปรายงานผู้เป็นนายอย่างสบายใจ
ซึ่งไม่นาน ภายในห้องทำงานของตึกอีกฝั่ง มาเรียกำลังรายงานการดูแลหญิงสาวต่างชาติต่อผู้เป็นนายฮาจารีรับฟังคำบอกเล่าของสาวใช้อย่างตั้งใจสรุปว่าวาสิตายังคงร้อนรนกระวนกระวายกับความต้องการที่จะเดินทางกลับโดยไม่คิดถึงว่าร่างกายของตัวเองนั้นยังไม่แข็งแรงพอ
"ฉันฝากดูแลเธอด้วยนะมาเรีย ผู้หญิงคนนั้นเจอกับเรื่องร้าย ๆ มาคงยังไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ การดูแลของเจ้าจะทำให้เธอเชื่อใจเจ้าไปเอง"ฮาจารีบอกสาวใช้เขาไว้วางใจให้มาเรียดูแลผู้หญิงทุกคนที่เดินทางมาพักคฤหาสน์แห่งนี้
"ค่ะ..นายท่าน มาเรียคิดว่าเธอเป็นคนดี และมาเรียชอบเธอค่ะ"
มาเรียกล่าวราวปรารถนาจะให้หญิงสาวเป็นคนพิเศษ อาจเพราะเธอมีหน้าที่เตรียมนางในให้เจ้านาย จึงทำให้สังเกตเห็นความเสน่หาในดวงตานายหนุ่มมีให้หญิงสาวต่างแดนแตกต่างจากหญิงสาวคนอื่น ๆ
เมื่อมาเรียเดินออกไปแล้ว ชาระเดินสวนเข้ามารายงาน
"นายท่าน อัคห์เหม็ดกลับเผ่าแล้ว แต่ยังจะไม่เข้าหมู่บ้าน ขอไปสำรวจบริเวณชายแดนก่อน”
"ก็ดี อัคห์เหม็ดคงรู้ว่าเขาจะต้องระวังภัยจากเผ่าไหนอยู่แล้วแล้วเรื่องซูนัคเซน"ฮาจารีเอ่ยถามกลาย ๆ ถึงบุคคลผู้ที่คนในเผ่าแทบไม่มีใครอยากจะเอ่ยนาม
"เขากำลังวิ่งเต้นขอใบอนุญาตขุดสำรวจบริเวณเมืองโบราณอีกไม่นานคงจะสำเร็จ" ชาระรายงาน น้ำเสียงบ่งบอกถึงใจแค้นเคืองนี่ถ้าผู้เป็นนายไม่ห้ามปรามไว้ ป่านนี้เขาคงจัดการคนผู้นั้นไปแล้ว
"ถ้ายังไม่ก่อเรื่องอะไรมากนัก ก็ปล่อยเขาไปก่อน"
ชาระคำนับรับคำสั่ง "เสร็จจากธุรกิจเหมืองเหล็ก นายท่านจะอยู่ที่นี่อีกกี่วัน" ชาระถามผู้เป็นนายราวหยั่งเชิงด้วยรู้อยู่แก่ใจว่านายหนุ่มมีสิ่งห่วงใยหลับใหลอยู่ตึกอีกฝั่ง
"จนกว่าเธอจะหายเป็นปกติ”ฮาจารีไม่ปิดบังความเสน่หาที่เขามีต่อหญิงสาวต่างแดน เพราะเขาถือว่าผู้อารักขามือหนึ่งเป็นเพื่อนสนิท
"เธออาจเป็นผู้หญิงที่นายท่านรอคอยก็เป็นได้"ชาระเอ่ยหยอกเย้า  ก่อนก้มคำนับและเดินออกไป ทิ้งถ้อยคำให้ผู้เป็นนายได้เอ่ยไล่หลัง
"เจ้าช่างพูดราวมีตาอยู่บนฟ้าอย่างงั้นแหละ"
ฮาจารีปรารถนาดูแลหญิงสาวจนหายเป็นปกติ นั่นเพราะผลการตรวจของหมอบ่งบอกถึงอาการบอบช้ำภายใน ซึ่งอาจเกิดจากแรงกระแทกก่อนหน้าแล้วมาปะทะกับรถของเขาเข้าอีก โดยแรงกระแทกซ้ำซ้อนทำให้ร่างกายของหญิงสาวเจ็บหนัก จึงต้องพักฟื้นหลายวัน
ฮาจารียอมรับว่าตนรู้สึกหัวใจวูบไหวทุกครั้งที่มองสบตาหญิงสาว จะด้วยรสเสน่หาในอิสตรีเขาก็ไม่เคยขาด แต่หากอาการแบบนี้กลับเกิดขึ้นเฉพาะหญิงสาวต่างแดนคนนั้น ช่างน่าประหลาด แม้บุตรสาวของท่านอาวุโสของเผ่าอิสตรีผู้งดงามเพียบพร้อมเหมาะสมกับเขาทุกประการ นางก็ยังไม่เคยทำให้หัวใจก่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา
 
ทรายร้อนซ่อนเสน่หา
ทำมือขาย: 180 + 40 = 220 บาท 
ยอดโอนยืม ราคาปก249 + 40 = 289
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่งร้านรับคืนหนังสือแล้วโอนคืนลูกค้า 249-24=225 บาท 

เงื่อนไขราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ตัวอย่างการยืม เช่น นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ 
 





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น