นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่อง เสน่หานาคี
ในห้องถัดมามีประติมากรรมองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับบนลำตัวของงูใหญ่ขนดเป็นฐานรองพร้อมแผ่พังพานปรกเศียร
ทั้งหมดนั่งลงก้มกราบด้วยจิตศรัทธาที่มีต่อองค์พระศาสดาของพระศาสนา
ก่อนลุกเดินถัดมาที่รูปปั้นพญานาคราชเจ็ดเศียรขนดตัวดูสงบสง่าท่ามกลางดอกบัวสีขาว
..ลำตัวงูใหญ่มีสีขาวเกล็ดสีเงินยวง
มีหงอนสีทอง ดวงตาสีขาวอมฟ้า ยิ่งได้เพ่งพิศยิ่งสัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่แฝงในดวงตาสีเหมือนตามนุษย์
อุรัสยาบอกไม่ถูกว่าเหตุใดรู้สึกเคารพบูชานาคราชองค์นี้เสียเหลือเกิน
“นาคราชวทันยู”
ร่างอรชรของเลขาสร้อยจันทร์เดินมาหยุดอยู่ข้างดาราสาว ชี้ชวนให้ดูป้ายชื่อติดอยู่ที่ฐาน
ราวปรารถนาให้อีกฝ่ายได้ซึมทราบชื่อนาคราชองค์นี้อย่างลึกซึ้ง “พญานาคราชองค์นี้เป็นโอรสองค์เดียวขององค์อินทรานาคราช
อยู่ในตระกูลฉัพพยาปุตตะ แต่มีพระวรกายเป็นขาวเกล็ดสีเงินยวง ซึ่งเป็นอดีตผู้ปกครองบาดาล”
คำบอกเล่าของเลขาสร้อยจันทร์สร้างความฉงนแก่อุรัสยาเป็นอันมาก
ถึงขนาดเกือบหลุดปากถามไปว่า “แล้วท่านนาคินทร์..”
พอนึกได้ว่าตนพูดขัดขึ้นแบบนี้จะทำให้อีกสองคนที่ร่วมฟังเกิดความสงสัย จึงปล่อยให้เสียงขาดหายไปเฉย
ๆ พร้อมกลบเกลื่อนด้วยคำขอโทษ “ขอโทษค่ะที่ขัดคอ
เชิญคุณเลขาสร้อยจันทร์พูดต่อเถอะค่ะ”
“ต่อเมื่อองค์อินทราสิ้นอายุขัย ท่านนาคราชวทันยูกลับไม่สามารถรับช่วงปกครองเหล่าพิภพบาดาลได้
เพราะมีบุญบารมีไม่สูงเท่าองค์ใหม่ที่จุติมาพร้อมบุญญาธิการมากกว่า”
“เป็นโอรสยังมีบุญไม่ถึงบัลลังก์อีกหรือคะ”
ปานเลขาเลิกคิ้วพิศวง
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเพียงความเชื่อที่เล่าขานมาเป็นตำนาน แต่นับว่าเรื่องเล่านี้น่าสนใจ
“การครองบัลลังก์นครบาดาลขึ้นอยู่กับบุญบารมีค่ะ
ไม่ได้สืบทอดรุ่นสู่รุ่นเหมือนเมืองมนุษย์”
สร้อยจันทร์หันไปตอบผู้จัดการส่วนตัวสาว ก่อนหันกลับมาฟังคำถามของดาราสาวอีก
“ต่อให้เป็นโอรสหรือธิดาแต่บุญบารมีน้อยก็ย่อมเสียบัลลังก์แก่ผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่าหรือคะ?”
“ค่ะ คุณอุ้ม” สายตาต่างประสานบ่งบอกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายได้รับรู้มาก่อนหน้านั้น
เป็นคำตอบดีอยู่แล้ว
“แล้วใครมาเป็นผู้ปกครองแทนละคะ?” ปานเลขายังยิงคำถามเจื้อยแจ้ว
เพิ่งจะรู้สึกว่าตนสนอกสนใจเรื่องราวพญานาคก็ตอนนี้
“โอรสของสองตระกูลใหญ่ค่ะ”
คำตอบสั้น ๆ แต่เรียกความสนใจใคร่รู้ฉายชัดบนใบหน้าคนถามเป็นอย่างดี
“องค์นี้บุญบารมีเยอะหรือคะ?”
“ค่ะ
ท่านจุติมาเป็นผู้ปกครองเมืองบาดาล จากเชื้อสายตระกูลเอราปถะและตระกูลวิรูปักษ์ถือเป็นสองตระกูลใหญ่ของเหล่านาคราช
บุญบารมีของท่านแผ่ไพศาลแม้เทวดายังต้องเกรงใจ” ถ้อยคำหลังนี้เหมือนเจือความเทิดทูลของผู้เล่าลงไปด้วย
“โห งั้นเชียว
ขนาดว่าเทวดายังเกรงใจนี่คงมีอิทธิฤทธิ์น่าดูทีเดียว”
ผู้จัดการส่วนตัวสาวแสดงออกถึงความตื่นเต้นในตำนานพญานาค
โดยไม่ลืมทิ้งหางตาชำเลืองชายหนุ่มข้าง ๆ ที่ยืนละม้ายหุ่นขี้ผึ้งอยู่ก็จริง แต่ภายในแววตาคมเธอมองออกว่าเขาตั้งตาจับผิดเลขาสาวทุกอิริยาบถ
ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะได้ยินเขาเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงลากต่ำ คล้ายถากถางเจ้าหล่อนมากกว่าสนใจใคร่รู้ธรรมดา
“ดูเหมือนคุณเลขาพออกพอใจกับนาคราชผู้ครองนครคนใหม่มากเลยนะครับ”
เลขาสาวรู้ตัวว่าได้เผลอหลุดความรู้สึกของตนออกมาในท้ายประโยค
ทว่าไม่ปรากฏอาการสะดุ้งสะเทือนให้เห็นแล้วยังรักษาท่วงท่าสงบไว้ ไม่ได้หวั่นไหวต่อสายตาจับจ้องของดาราหนุ่ม
“เป็นธรรมดาค่ะ ในเมื่อฉันเกิดและเติบโตในพื้นที่มีตำนานอันยิ่งใหญ่
ฉันย่อมปลาบปลื้มกับนาคราชผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน คงคล้ายกับความนิยมชมชอบดาราซุปเปอร์สตาร์ทั่วไป”
เลขาสาวปรายตาท้าทายดวงตาแข็งกร้าวของคนที่จ้องมองมาด้วยความไม่ชอบใจ ก่อนพูดต่อ
“และองค์นาคินทร์ใช่มีบุญบารมียิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียว
แต่ท่านได้ประทานน้ำท่า ทำให้พื้นที่อุดมด้วยพืชผล จึงไม่แปลกอีกเช่นกันที่ฉันและผู้คนชาวริมน้ำโขงจะยกย่องเทิดทูล”
“องค์นาคินทร์ องค์เดียวกันกับตัวละครคุณธัชหรือเปล่าอุ้ม?”
พอได้ยินชื่อนาคราชผู้ยิ่งใหญ่ปานเลขาถึงกลับตาโตรีบกระซิบถามเพื่อนดารา เพราะเท่าที่เธออ่านบทละครยังไม่ปรากฏประวัติตัวละครเอกนี้สักเท่าไร
“ใช่” อุรัสยาตอบสั้น ๆ โดยไม่ละสายตาจากดวงตาเฉือนคมระหว่างสองหนุ่มสาว
ที่มีทีท่าจะเกิดขึ้นเนือง ๆ ถ้าตราบใดที่ชัชพิมุขยังจับผิดอีกฝ่ายตลอดเวลา น่าเหนื่อยหน่ายพฤติกรรมชายหนุ่มจริง
ๆ
หญิงสาวถอนใจ ก่อนหันเหความสนใจมาตรงดวงตาสีแดงที่แฝงความอ่อนโยนของนาคราชวทันยู
มองแล้วทำให้เธอหวนคิดถึงเหตุการณ์ในความฝัน นาทีนั้นนางฟ้าอุรัสยาวารีกำลังปั่นสายลมพัดทำให้กระแสน้ำหมุนวนด้วยความคึกคะนอง
นาคราชหนุ่มรูปงามสวมชุดพราหมณ์ขาวสะอาดรอบกายเปล่งรัศมีสดใส
มากล่าวเตือนสติให้เธอหยุดก่อความวุ่นวายที่นำความพินาศย่อยยับมาสู่ผู้อื่น น้ำเสียงและแววตาโดยเฉพาะเจตนากล่าวเตือนของนาคราชหนุ่มยามนั้น
ล้วนเต็มไปด้วยจิตเมตตา ‘ท่านนาคราชวทันยู
ท่านเกี่ยวข้องกับนาคีอุรัสยาวารีอย่างไรกันแน่
ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าท่านเมตตานางนัก?’ เพียงแค่นึกถึงแววตาอ่อนโยนของนาคราชวทันยูมีต่ออุรัสยาวารี
หญิงสาวก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ ก่อนจะสะดุ้งกับเสียงของเลขาสร้อยจันทร์ที่ยังคงกล่าวบรรยาย
“ท่านนาคราชวทันยูเกิดจากนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ
เป็นพญานาคตระกูลสีรุ้งที่มาปกครองแทนตระกูลเอราปถะอยู่ชั่วระยะหนึ่ง
และตอนนี้เชื้อสายตระกูลเอรปถะก็ได้กลับมาปกครองอีกครั้ง อย่างที่ฉันได้กล่าวไปแล้ว”
“แล้วไม่เกิดการแย่งชิงบัลลังก์กันหรือคะคุณเลขาสร้อยจันทร์?”
ปานเลขาเอ่ยถาม
เพราะเรื่องราวการแย่งชิงบัลลังก์มีให้เห็นทั้งในโลกความจริงและโลกมายา
ซึ่งโลกใต้น้ำจะเหมือนกันไหม
“ก็อาจเกิดขึ้นได้
ถ้าไม่เผอิญอยู่ในยุคของท่านวทันยู เพราะนาคราชองค์นี้ฝักใฝ่ในการถือศีลบำเพ็ญ อีกอย่างท่านยอมรับในคุณสมบัติที่ครบคุณาประการขององค์นาคินทร์
สงครามแย่งชิงจึงไม่บังเกิด”
ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกับการเดินชมสถานที่ที่จะใช้ถ่ายละครในวันรุ่งขึ้น
ซึ่งห้องถัด ๆ ไปจะเป็นห้องที่จำลองเป็นชายป่าเนินเขา ห้องจำลองสรวงสวรรค์ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นบรรดาครุฑ
คนธรรพ์ และเหล่าเทวดานางฟ้า จนกระทั่งจบลงที่ห้องสุดท้าย
พื้นที่ในห้องสุดท้ายนี้จำลองเป็นถ้ำมรกต
มีปูนปั้นเตียงนอนสี่เสาตกแต่งหรูหรา พร้อมรูปปั้นพญานาคราชเจ็ดเศียรและพญานาคิณีห้าเศียรขนดครองคู่ประทับอยู่บนนั้นมีชื่อระบุอยู่ที่ฐานทั้งสององค์
เบื้องหน้ามีสระบัวตั้งตระหง่านโดยตรงกลางมีบัวแก้วชูช่อรองรับลูกแก้วหลากสี
‘คล้ายชั้นถ้ำท่านนาคราชเสียจริง’ อุรัสยาค่อนข้างตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
แต่ยังไม่เท่าปานเลขาที่ร้องดังออกมาด้วยความตื่นเต้น
“โห รูปปั้นสององค์นี้สวยมาก ๆ
เลยอุ้ม ดูสิ องค์นี้ต้องเป็นเธอแน่ ๆ เลยอุ้ม”
ปานเลขาชี้ชวนให้ดูพญานาคที่ระบุชื่อ
‘พญานาคิณีอุรัสยาวารี’ นั้นมีหงอนสีทอง เกล็ดตามลำตัวสีเขียวอ่อนเปล่งประกายสีทอง และมองเลยไปอีกองค์ระบุชื่อ
‘พญานาคราชนาคินทร์’ ลำตัวพญานาคราชมีเกล็ดสีเขียวสดใสเปล่งประกายสีทองกว่าพญานาคิณี และพอมาถึงจุดนี้ก็ทำให้เธอและผองเพื่อนได้รู้ว่าพญานาคผู้ชายและพญานาคผู้หญิงต่างกันอย่างไร
“พญานาคเพศผู้จะมีขนาดใหญ่ตลอดลำตัว
เศียรแผ่ขยายกว้าง ส่วนพญานาคีช่วงหัวจะใหญ่กว่าลำตัวที่เล็กเรียวไปตลอดถึงหางและหงอนจะลีบเล็กกว่ากัน
แต่ก็อีกแหละค่ะ
ถ้าพญานาคีมีบุญบารมีมากกว่าก็อาจมีหงอนและเศียรที่ใหญ่กว่าพญานาคเพศผู้ได้ค่ะ”
“แล้วนั่นลูกแก้วอะไรหรือคะ?”
อุรัสยาสะกิดใจกับดอกบัวแก้วกลางสระที่มักมีบางสิ่งบางอย่างวางไว้เสมอ
ต่างกันแค่ว่าห้องใต้ล่างนั้นเป็นหิน แต่ตรงหน้านี้เป็นลูกแก้วหลากสี
“ดวงแก้วมณีนาคาค่ะ
เป็นลูกแก้วประจำกายพญานาค แต่ละองค์จุติมาพร้อมลูกแก้วประจำตัว
แต่ลูกแก้วจะเปล่งรัศมีต่อเมื่อพญานาคองค์นั้นถึงวัยอันควร”
“น่าสนใจนะคะ
ฉันเคยอ่านเจอว่าลูกแก้วนี้สามารถเนรมิตตามคำขอได้ อย่างที่เรียกกันว่าแก้วสารพัดนึก
แฮะ ๆ ฉันเข้าไปอ่านในเว็บเกี่ยวกับพญานาค ไว้เป็นฐานข้อมูลรองรับการแสดงของเธอ”
ปานเลขายิ้มหยีกับการจ้องมองอย่างแปลกใจของเพื่อนสาว
เพราะตลอดมาผู้จัดการสาวหาได้สนใจเรื่องเหล่านี้
“เนรมิตได้ค่ะ
แต่เฉพาะผู้เป็นเจ้าของดวงแก้วมณีเท่านั้น ที่สำคัญดวงแก้วมณีจะมีอิทธิฤทธิ์มากน้อยตามบุญบารมีของพญานาคองค์นั้นค่ะ”
“ว้า บุญบารมีอีกแระ
อย่างนี้พญานาคทุกองค์ไม่ต้องถือศีลบวชกันหมดหรือคะ
กว่าจะได้ลูกแก้วประจำตัวที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ๆ” ปานเลขาทำหน้ายู่ ทั้งที่ลึก ๆ
สนุกสนานกับเรื่องราวที่ได้รับฟังตรงหน้า
“แต่อุ้มว่ากระติ๊บบวชได้
เพราะกระติ๊บไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักน่าจะได้บุญอยู่นะ” คนพูดอมยิ้มไปด้วย
จนคนฟังค้อนขวับวงใหญ่
“เชอะ
ที่ฉันไม่กินเนื้อสัตว์เพราะมันทำให้รู้สึกปวดหัว ใช่ว่ามีใจอยากบวช
แค่ไหว้พระทำบุญก็พอแล้ว”
อุรัสยาขบขันกับการได้พูดเย้าเพื่อน
พลางสังเกตเห็นสีหน้าซ่อนยิ้มของดาราหนุ่มที่เผลอมองเพื่อนสาวของเธอด้วยสายตาเอ็นดู
ก่อนจะได้ยินเขาเอ่ยถามเลขาสาวด้วยเสียงเรียบ
“งูตัวนั้นล่ะครับ คือใคร?”
เดินดูมาตั้งนาน ทั่วบริเวณไม่มีอะไรสะดุดใจชัชพิมุข เท่างูสามเศียรเกล็ดสีดำขดตัวคล้ายกิริยาหมอบราบอยู่ข้างก้อนหินติดผนัง
ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะมองไม่เห็น ซึ่งชายหนุ่มหวังว่าจะได้รับคำอธิบายจากเลขานำเที่ยวเหมือนคนอื่น
ๆ บ้าง แต่ผิดคาด เมื่ออีกฝ่ายพูดปัดไปเสียดื้อ ๆ
“เป็นแค่งูบริวาร
ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ
นี่ก็เดินครบกันทุกห้องแล้ว ฉันว่าพนักงานคงจัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว เชิญทุกคนกลับขึ้นไปห้องอาหารพร้อมรับประทานมื้อกลางวันกันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยว! คุณยังไม่ได้ให้คำตอบผม
เพราะถึงงูบริวารตัวนี้คุณไม่ถือว่าสำคัญ แต่ผมเอ่ยถามคุณ คุณก็ต้องให้คำตอบผม”
ร่างอรชรหันหลัง
เตรียมจะก้าวเดินจาก แต่ถูกน้ำเสียงฉุนเฉียวของดาราหนุ่มฉุดรั้งไว้ก่อน สร้อยจันทร์พยายามระงับอารมณ์พลุ่งพล่านก่อนหันมาตอบอย่างเสียมิได้
“นาคีตนนี้ชื่อแสงแก้ว เชื้อสายตระกูลกัณหาโคตมะ
จัดอยู่ในนาคตระกูลสีดำ นางไม่มีบทบาทอะไรหรอกนอกจากคอยรับใช้พญานาคิณีเท่านั้น
หวังว่าคุณชัชพิมุขคงพอใจกับคำตอบของฉันแล้วนะคะ”
ท่วงท่าจ้องตาต่อตาฟันต่อฟันของทั้งสอง
ช่างทำให้อุรัสยาวิตกกังวลไปกับผลที่จะเกิดต่อพวกเขา ปานเลขาคงจะรู้สึกเช่นกัน
จึงดุนแขนให้เธอรีบพาสร้อยจันทร์ไปให้พ้นจากสถานการณ์สงครามปะทะนี้เสียที
ซึ่งเธอขยับตัวจะทำตามอยู่แล้ว ถ้าพงศกรไม่เดินเข้ามาพร้อมเมธิตาเสียก่อน
ซึ่งเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงสงครามปากได้ยุติลงแล้ว
“ห้องนี้ห้องสุดท้ายแล้วสินะคะคุณเลขา”
เมธิตาเอ่ยลอย ๆ ขณะสายตากวาดไปรอบบริเวณ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าต้องการคำตอบ
เพราะเธอกำลังตื่นตาตื่นใจกับความหรูหราของสถานที่ที่แม้จะจำลองลักษณะเป็นถ้ำ และก็แอบเบ้ปากเล็กน้อยกับชื่อพญานาคิณีสาว
ก่อนจะหยุดสายตาจ้องจดไปที่งูตัวสีดำขนดตัวอยู่ข้างก้อนหิน และเพียงแค่สายตาดาวร้ายคนสวยหยุดอยู่ที่ฐานระบุชื่อ
‘นาคีแสงแก้ว’ ก็ร้องโวยวาย
“ต๊าย! อย่าบอกนะว่าฉันได้เล่นเป็นเจ้างูตัวดำนี่”
เพราะมองงูตัวนี้กับงูบนเตียงมันเทียบกันไม่ติดเลย แล้วหญิงสาวอย่างเมธิตาที่ปรารถนาสายตาทุกคู่จ้องมองเธอด้วยความชื่นชมในความสวยโดดเด่นตลอดมา
จะยอมรับตัวละครที่หาความเจริญตาไม่ได้เช่นนี้หรือ ดาราดาวร้ายหันมาเล่นงานเลขาสาวทันที
“บทที่คุณเลขาให้ฉันมา
บอกว่าแสงแก้วเป็นธิดาเจ้าบาดาล แล้วนี่อะไร งูรับใช้ ต่ำต้อยสิ้นดี
ถ้ารู้ว่าต้องมาแสดงเป็นงูตัวนี้ฉันไม่รับตั้งแต่แรกหรอก” เมธิตาเจ็บใจ
ที่ไม่มีโอกาสรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าเลย เพราะต่างต้องทำตามเงื่อนไขของนายทุนที่จะส่งบทให้นักแสดงวันต่อวัน
เธอจึงรู้แค่ประวัติเบื้องต้นว่านาคีแสงแก้วเป็นเชื้อสายของอดีตเจ้านครบาดาล ถ้ารู้ว่าต้องมาเป็นไอ้งูตัวดำเมี่ยม
เธอไม่ดันทุรังแย่งงานคนอื่นแน่
“โถ ๆ เป็นนักแสดงมืออาชีพ
ต่อให้ได้รับบทบาทงูรับใช้ก็ต้องถ่ายทอดออกมาให้สมจริงได้ จริงไหมคะผู้กำกับ”
ปานเลขาได้ที ใช้น้ำเสียงล้อเลียนในถ้อยคำที่คู่ปรับเคยได้พูดตอกหน้าเธอไว้ด้วยความสะใจ
เมธิตาหันขวับมาจ้องดวงตาวาว มือกำแน่น
สะกดใจที่จะไม่เข้าไปตบปากคนพูด
นี่ถ้าอยู่ในฉากละครเธอคงใช้โอกาสทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่ต้องกลัวว่าจะติดคุก
เพราะอ้างได้ว่าการแสดงสมจริงต้องใช้ความเป็นมืออาชีพ แต่นี่มันไม่ใช่ฉากในละคร
เธอจึงทำได้แค่ยืนกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
เพื่อคลี่คลายความรู้สึกที่ดาวร้ายสาวสวยมีต่อตัวละครนาคีแสงแก้ว
สร้อยจันทร์จึงอธิบายขึ้นว่า “แสงแก้วไม่ใช่ตัวละครธรรมดานะคะ
นางเป็นธิดาอดีตผู้ปกครองนครบาดาล
เพียงแต่เปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์นางจึงอยู่ในระดับบริวารขององค์นาคินทร์เท่านั้น
และที่ไม่ได้ตั้งรูปปั้นนางโดดเด่นเหมือนนาคองค์อื่น
เพราะนาคีแสงแก้วเป็นนาคที่เก็บตัว ไม่ค่อยเที่ยวเล่นนอกวัง แต่ขอบอกว่าตัวละครตัวนี้มีความโดดเด่นมากทีเดียว”
“โดดเด่นยังไงคะคุณเลขา?”
เมธิตาลากเสียงถาม หลังจากระงับอารมณ์ร้าย ๆ ภายในตัวได้สำเร็จไปกว่าครึ่ง
ซึ่งคำตอบที่เธอได้รับก็เหมือนเลขาสาวจะเดาว่ามันจะถูกอกถูกใจเธอยิ่งนัก
“เพราะความที่นาคีแสงแก้วเป็นธิดาของอดีตเจ้านครบาดาล
แล้วยังเป็นเพื่อนสนิทของพญานาคิณี นางจึงเป็นนาคีสาวที่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยสง่า
มีเพชรนิลจินดาประดับกายมากมายตลอดเรื่อง
ต่างจากอุรัสยาวารีในบทบาทของพญานาคิณีชอบแอบหนีเที่ยวเมืองมนุษย์
จึงถูกลงโทษให้นุ่งขาวนั่งบำเพ็ญศีลไถ่บาปอยู่บ่อย ๆ ไม่ค่อยได้แต่งกายเฉิดฉายเทียบเท่านาคีตนนี้เลย”
เมธิตายิ้มร่า นับว่าคำตอบของเลขาสร้อยจันทร์ทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีต่อตัวละครแสงแก้วขึ้นมาบ้าง
สร้อยจันทร์มองว่าเมธิตาพึงพอใจในตัวละครของตนแล้ว
เธอจึงนำขบวนทุกคนกลับขึ้นมาบนห้องอาหาร เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน โดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าฉงนของดาราสาวอีกคน
ซึ่งในระหว่างรับประทานอาหารอุรัสยาคิดทบทวนไปด้วยว่า
ทุกห้องในชั้นบาดาลต่างระบุตำแหน่งตัวละครไว้ทุกตัว
แต่เธอไม่เห็นห้องหนึ่งห้องใดจะมีรูปปั้นพญาครุฑาดลฤทธิ์อยู่เลย
และจังหวะที่เธอกำลังคิดถึงใบหน้าพญาครุฑคนหน้าเหมือนพญาครุฑก็โผล่มา
ปานเลขารับโทรศัพท์แล้วหันกระซิบเบา
ๆ ว่าผู้กองภาวินมารอเธอที่หน้าประตูโรงแรม
ฟังทีแรกยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่เดินเข้ามา
แต่พอคิดว่าทางโรงแรมเคยประกาศว่ายังไม่เปิดบริการ เธอจึงเข้าใจถึงเหตุผล
หญิงสาวขอตัวเลี่ยงออกมาจากโต๊ะในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารพร้อมสนทนากันอย่างออกรส
เพื่อจะมาเห็นว่าชายหนุ่มในชุดลำลองกำลังยืนชะเง้อคอยเธออยู่ด้านหน้าประตู
และเมื่อเธอเปิดให้เขาได้เดินเข้ามาด้านใน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
งูตัวเขื่องผุดจากข้างประตูเลื้อยดิ่งมาหาด้วยความเร็ว
ใกล้มากแล้วผงาดลำตัวแผ่แม่เบี้ย เตรียมลิ้นฉกพิษเข้าที่ขาชายหนุ่ม
วินาทีนั้นอุรัสยารู้สึกว่าตนมีพลังอำนาจบางอย่าง เพราะเพียงแค่เธอจ้องตางู
มันก็ถึงกลับหดหัวล่นลง เอี้ยวลำตัวเลื้อยหายไป
“อะไรหรือครับอุ้ม?” ภาวินเลิกคิ้วเอ่ยถาม
พร้อมหันไปมองตามสายตาที่จ้องเขม็งผ่านตัวเขาไป
จังหวะที่ผู้กองหนุ่มหันหลัง
อุรัสยาลอบถอนใจที่เขาไม่มีโอกาสเห็นสิ่งที่เธอได้กระทำต่ออสรพิษตัวนั้น พร้อมเกิดคำถามท่ามกลางความตกใจแกมประหลาดใจต่อเธอว่า
‘เป็นไปได้ยังไง
เราบังคับงูตัวนั้นได้’
เสน่หานาคี
ทำมือขาย: 280 + 40 = 320 บาท
ยอดโอนยืม ราคาปก 399 + 40 = 439
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่งร้านรับคืนหนังสือแล้วโอนคืนลูกค้า 399-39=360 บาท
เงื่อนไขราคาเช่า : เช่าเหมา 7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ตัวอย่างการยืม
เช่น นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว
จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น