นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องทรายร้อนซ่อนเสน่หา
บ่ายคล้อยแล้วเมื่อว่างจากการลงบันทึก
วาสิตาใช้เวลากับการนั่งทอดสายตาออกไปอย่างคนใช้ความคิด นั่นเป็นเพราะเธอรู้สึกถึงสิ่งผิดปกติของคนรอบตัวไม่ว่าฮาจารีหรือซูนัคเซน ยังไม่รวมถึงกลุ่มคนงานทำตัวลึกลับ ทุกคนต่างทำตัวแปลก ๆ ฮาจารีใช้เวลาสนทนากับเหล่าอาวุโสภายในหมู่บ้านอยู่บ่อย
ๆ
บางครั้งเขาถึงกับลุกพรวดขึ้นทันทีได้รับการรายงานจากป้าเฮลย่าว่าชาระและอัคห์เหม็ดมีเรื่องด่วน
ช่วงเวลานั้นดูเหมือนเธอจะสัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ร้ายที่อาจเกิดขึ้นในวันหนึ่ง
ทางด้านซูนัคเซน
วันนี้เขาไม่ได้นำวัตถุโบราณมาหยิบยื่นให้เธอเหมือนเคย
แต่กลับเป็นนักโบราณคดีชาวอเมริกันผู้คุมการขุดโปรเจ็กต์นี้หรือไม่ก็คนงานบางคน ซูนัคเซนมักไปขลุกอยู่กับกลุ่มคนงานว่าจ้างกลุ่มนั้น
และทุกครั้งที่เธอเหลือบแลไปยังกลุ่มคนเหล่านั้น เธอต้องเย็นสันหลังวาบเมื่อสบเข้ากับดวงตาดุดันของหัวหน้าคนงานที่ชื่อบาลัค
แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกสงสัยในการกระทำของซูนัคเซนมากขึ้น
ก็เห็นจะเป็นการสั่งห้ามคนงานทุกคนเข้าใกล้บริเวณมีหินก้อนมหึมาตั้งตระหง่านราวผาหิน
นอกจากกลุ่มคนงานหน้าตาโหดร้ายกลุ่มนั้น
ความคิดที่หลุดลอยถูกสะกิดให้กลับคืนจังหวะโอมานเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามกัน
“ว่าไงสาวน้อย ปล่อยจิตปล่อยใจไปถึงไหนแล้ว” โอมานทำตัวเหมือนโอโซนสะอาด ทำให้ผู้ใดได้สูดกลิ่นอายบริสุทธิ์รู้สึกเบิกบานใจ
“ว่าไงสาวน้อย ปล่อยจิตปล่อยใจไปถึงไหนแล้ว” โอมานทำตัวเหมือนโอโซนสะอาด ทำให้ผู้ใดได้สูดกลิ่นอายบริสุทธิ์รู้สึกเบิกบานใจ
“ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก”
โอมานมองตามสายตาเพื่อนสาวก่อนจะหันมาถาม
“เธอแอบมองพวกเขา”
“ใช่ เพราะฉันรู้สึกว่า
ขบวนการขุดค้นนี้เป็นเพียงเครื่องมือนำทางคนกลุ่มนั้นไปสู่บางสิ่งบางอย่าง
สิ่งที่พวกเขาต้องการจริง ๆ น่ะ ไม่ใช่แค่ขุดหาประวัติศาสตร์”
วาสิตาไม่ได้บอกไปมากกว่านั้นว่าเธอสัมผัสถึงสิ่ง ๆ นั้นได้ แม้มันจะถูกซ่อนเร้นด้วยอำนาจลึกลับ
วาสิตาไม่ได้บอกไปมากกว่านั้นว่าเธอสัมผัสถึงสิ่ง ๆ นั้นได้ แม้มันจะถูกซ่อนเร้นด้วยอำนาจลึกลับ
“อะไรทำให้เธอคิดอย่างงั้น”
“ก็พฤติกรรมพวกเขาน่ะสิ
ทำยังกับว่าไม่มีงานพวกนี้วางอยู่ตรงหน้าอย่างงั้นล่ะ”
หญิงสาวมองไปยังกลุ่มคนงานก้มหน้าก้มตาทำงานตามจุดต่าง ๆ สีหน้าเธอครุ่นคิด
ก่อนจะหันกลับมาพยายามอธิบายความนึกคิดของเธอให้โอมานได้เข้าใจมากขึ้น
“ฟังนะโอมาน
เมื่อก่อนฉันคิดว่าตัวเองเพ้อเจ้อ เพราะฝันเห็นอะไรที่ไม่มีอยู่ในโลกปัจจุบัน แต่หลังจากเดินทางมาอียิปต์ แล้วได้พบเรื่องราวหลายอย่าง อะไร ๆ นั้นมันก็เด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันสัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริง ไม่ใช่แค่นิมิตฝัน และเหมือนมันพยายามผลักดันให้ฉันเป็นคนนำทางไปในที่ไหนสักแห่ง อย่างที่มันต้องการ”
“นิมิตฝันที่เธอเคยเล่าให้ฟังบ่อย ๆ หรือเปล่า" โอมานเอ่ยถาม เพราะเพื่อนสาวเคยเล่าเรื่องฝันประหลาดให้ฟังอยู่บ่อย ๆ
“ใช่” วาสิตาพยักหน้ารับ
“ใช่” วาสิตาพยักหน้ารับ
โอมานเงียบขรึมครุ่นคิด ก่อนเอ่ยขึ้นลอย ๆ "โลกลึกลับ
บางทีสิ่งที่เราไม่คาดคิดอาจจะเกิดขึ้นก็เป็นได้”
ได้ฟังโอมานพูดแบบนั้น จู่ ๆ วาสิตาก็นึกอยากเอ่ยชวน
“เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ มันมีอยู่จริงหรือไม่ นายจะไปกับฉันหรือเปล่าโอมาน”
“ตามใจเธอสิ ฉันพร้อมจะไปลุยกับเธอทุกที่อยู่แล้วทูนหัว” โอมานกล่าวตอบรับ เพราะมองเห็นประกายความมุ่งมั่นฉายชัดในดวงตาเพื่อนสาว
“เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ฉันสัมผัสได้ มันมีอยู่จริงหรือไม่ นายจะไปกับฉันหรือเปล่าโอมาน”
“ตามใจเธอสิ ฉันพร้อมจะไปลุยกับเธอทุกที่อยู่แล้วทูนหัว” โอมานกล่าวตอบรับ เพราะมองเห็นประกายความมุ่งมั่นฉายชัดในดวงตาเพื่อนสาว
วาสิตาเปิดปากยิ้ม พร้อมถามย้ำเพื่อนหนุ่ม “ทุกที่จริง ๆ นะ”
“จริงสิ สัญญาอย่างลูกผู้ชายเลย”
โอมานยกมือทั้งสองขึ้นเป็นคำมั่นสัญญาต่อหญิงสาว
เมื่อหมดเวลางานวาสิตาไม่ลืมจะย้ำถึงจุดมุ่งหมายต่อโอมานอีกครั้ง ซึ่งเขาก็จำได้ดี ดังนั้นแทนที่เขาจะขับรถพาเธอไปส่งยังจุดนัดพบ
เขากลับพามาเยือนบริเวณเขตหวงห้ามของฮาจารี ทว่าทันทีทั้งสองก้าวลงจากรถก็เกิดเสียงบางอย่าง..เสียงลึกลับนั้นดังมาจากหินผา
‘ในที่สุดเจ้าก็กลับมา กลับมาเพื่อปลดปล่อยพันธนาการทั้งปวง เจ้าจะนำความสุขและความรุ่งเรืองมาสู่ลูกหลานของเรา’
‘ในที่สุดเจ้าก็กลับมา กลับมาเพื่อปลดปล่อยพันธนาการทั้งปวง เจ้าจะนำความสุขและความรุ่งเรืองมาสู่ลูกหลานของเรา’
เธอและโอมานต่างมองหน้ากัน
ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาพร้อมกัน
“เสียง/เสียง!”
“เสียง/เสียง!”
“เหมือนเสียงอะไรถูกลากออก” โอมานบ่งบอกเสียงที่เขาได้ยิน
“แต่เสียงที่ฉันได้ยิน คือเสียงคนพูด” วาสิตามองเพื่อนอย่างประหลาดใจ เพราะทั้งสองได้ยินเสียงแตกต่างกัน
โอมานส่ายหน้าอธิบาย “ไม่นะ ฉันไม่ได้ยินเสียงใคร ได้ยินแต่เสียงวัตถุเคลื่อน เหมือนถูกลาก
ถูกผลักอะไรทำนองนั้นแหละ”
“งั้นเหรอ มันเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อฉันได้ยินออกชัดเจน” วาสิตายังคงยืนยันกับตัวเองว่าเสียงนั้นเป็นเสียงคน และถ้อยคำเหล่านั้นก็ยังชัดเจนอยู่ในหู
“งั้นเหรอ มันเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อฉันได้ยินออกชัดเจน” วาสิตายังคงยืนยันกับตัวเองว่าเสียงนั้นเป็นเสียงคน และถ้อยคำเหล่านั้นก็ยังชัดเจนอยู่ในหู
“เสียงลมหวีดหวิวหรือเปล่า
เย็นลงแล้วลมจะพัดแรง
ว่าแต่ผู้ปกครองเธอจะหัวเสียเอานะถ้าฉันพาเธอกลับช้ากว่าปกติแบบนี้”
โอมานอดเป็นห่วงเรื่องเวลากลับของเพื่อนสาวไม่ได้
เพราะเขาไม่อยากให้ฮาจารีหมดความไว้วางใจในการช่วยดูแลยอดดวงใจดวงนี้ของเขา
ทว่าชายหนุ่มก็ขัดความปรารถนาของเพื่อนสาวที่น่ารักคนนี้ไม่ได้เช่นกัน
“อย่ากังวลเลยเรื่องนั้น ฉันจะอธิบายให้ฮาจารีฟังเอง ดูนั่นสิ!.” สิ้นเสียงอุทานของหญิงสาว
!!!หินก้อนใหญ่ดุจหินผาที่เคยวางตระหง่านอย่างสงบ บัดนี้เคลื่อนตัวออกจากกันเผยช่องแคบเล็ก ๆ พอคนคนหนึ่งจะเดินผ่านเข้าไปได้
ตะลึงชั่วอึดใจพอได้สติ วาสิตารีบดึงแขนโอมานตรงไปยังช่องแยก แล้วแทรกตัวผ่านช่องแคบนั้นเข้าไปภายใน
แม้ว่าชายหนุ่มจะขืนตัวรั้งเธอไว้เพราะไม่มั่นใจความปลอดภัย
“จะเข้าไปแน่หรือวาสิตา มันอาจไม่ปลอดภัย"
“แน่สิ เพราะฉันรู้สึกว่าเขาเปิดต้อนรับเรา ไปเถอะโอมาน เรามาเพื่อพิสูจน์ความจริงไม่ใช่หรือ อย่ารีรอเลย มาเถอะ” เธอลากโอมานตามเข้ามาจนได้
จากนั้นก็ต้องตกใจหินเคลื่อนตัวผสานจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน
ท่ามกลางความมืดมิดปกคลุม เสียงหอบหายใจของเพื่อนคู่หูคู่หนึ่งดังแข่งกัน
ท่ามกลางความมืดมิดปกคลุม เสียงหอบหายใจของเพื่อนคู่หูคู่หนึ่งดังแข่งกัน
“เป็นไงล่ะ แม่สาวน้อย
ถ้าเราออกไปไม่ได้ ผู้ปกครองเธอจะต้องฆ่าฉันแน่”
“ถ้านายออกไปไม่ได้
เขาก็เข้ามาฆ่านายไม่ได้หรอกน่า”
“ถามจริง เธอไม่กลัวเลยหรือวาสิตา”
โอมานทึ่งเพื่อนสาว ดวงตาก็พยายามมองฝ่าความมืดมิดอย่างนึกกังวล แปลกใจกับน้ำเสียงปกติของหญิงสาวไร้อาการตื่นกลัวใด ๆ
“ฉันก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน แปลกยิ่งกว่านั้น ฉันพอใจที่ได้เข้ามาถึงที่นี่"
“พอใจที่ได้มาติดอยู่ในหินเนี่ยนะ!”
“ไม่ใช่ ฉันหมายถึงพอใจที่ได้มา..
มา?.. มาอะไรก็ไม่รู้ล่ะ แค่รู้สึกว่าพอใจ”
วาสิตาอธิบายไม่ถูก ไม่รู้จริง ๆ ว่าเหตุใดจึงรู้สึกพอใจกับการพาตัวเองมาติดอยู่ในช่องหินมืด ๆ แบบนี้
ระหว่างยังงุนงง ทันใดนั้นเบื้องหน้าเธอมีแสงบางอย่างสว่างวาบ เธอและโอมานต่างจ้องตาไม่กะพริบอีกทั้งแปลกใจร่างกายของตนจู่ ๆ ไม่สามารถขยับได้คล้ายถูกตรึง ส่วนเบื้องหน้าปรากฏร่างเลือนรางมีเรือนร่างงามสง่าสวมเครื่องแต่งกายและบนศีรษะสวมมงกุฎบ่งบอกถึงฐานันดรอิสตรีสูงศักดิ์แห่งอียิปต์ พระนางมิได้เอ่ยถ้อยคำใดเลย
แววตามองตรงมาดั่งคนคุ้นเคยก่อนจะก้มลงมองมือของเธอ และด้วยพลังอันลึกลับก็ทำให้เธอต้องยกมือรับวัตถุเรืองแสงบางอย่างจากมือเรียวงาม
เพียงสัมผัสจับต้องวัตถุชิ้นนั้นก็เกิดแสงประหลาด และดับวูบลงไปอย่างช้า ๆ พร้อมการเลือนหายไปของร่างเงา เหลือไว้เพียงเหรียญดวงตาเก่าคร่ำคร่าบ่งบอกการก้าวผ่านกาลเวลามาพัน ๆ ปี
‘ เจ้าจะเป็นผู้ปลดปล่อยอิสรภาพ’
‘ เจ้าจะเป็นผู้ปลดปล่อยอิสรภาพ’
สิ้นเสียงถ้อยคำดั่งสายลมกระซิบแผ่วของสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นความมืดพลันมีแสงสว่าง
ผิวกายสัมผัสสายลมเย็นเหน็บหนาว วาสิตากะพริบตาเมื่อตระหนักว่าเธอและโอมานกลับออกมายืนภายนอกซอกหินกันแล้ว
“เราออกมาอยู่ข้างนอกแล้ววาสิตา เป็นไปได้ยังไง” โอมานกล่าว พลางกวาดตามองไปรอบบริเวณอย่างประหลาดใจ
“เค้าคงแค่ให้เราเข้าไปเอาสิ่งนี้”
หญิงสาวพูดเสียงเบา เธอชูเหรียญให้ชายหนุ่มดู
“เธอพูดเหมือนกับว่าเธอรู้มาก่อนอย่างนั้นล่ะ” ชายหนุ่มย่นคิ้วสงสัย พลางจับจ้องสิ่งที่หญิงสาวถือชูขึ้น
“ไม่รู้สิ
อาจเพราะฉันเคยฝันเห็นหินผา ฝันเห็นมาตลอดแต่มองไม่ชัด
มาวันนี้เมื่อได้มาอยู่ตรงนี้แล้ว ฉันถึงคิดได้ว่ามันไม่ใช่แค่ความฝัน ดูอย่างเหรียญดวงตานี้” วาสิตาใช้นิ้วมือสัมผัสกับเหรียญดวงตาลึกลับ ก่อนที่อำนาจอะไรบางอย่างจะบันดาลให้เธอหยิบเหรียญที่ห้อยอยู่กับคอ มาเทียบกับเหรียญที่ได้มาจากอิสตรีลึกลับผู้นั้น "เหรียญทั้งสองมีลักษณะคล้ายกัน จะต่างก็แต่เป็นดวงตาคนละข้าง" เธอเอ่ยพินิจพิเคราะห์
ทันใดนั้น
ครืนนน..!จู่ ๆ
พื้นทรายเกิดแรงสั่นสะเทือนส่วนบนฟากฟ้ามีแสงวูบวาบพาดผ่าน เพียงชั่วครู่ทุกอย่างก็สงบลง ในนาทีนั้นเองเหรียญอันใหม่ที่เธอถือคามืออยู่ก็อันตรธานหายไป
“อะ! หายไปแล้ว โอมาน
เหรียญนั่นหายไป”
วาสิตาร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง โอมานก็คงรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
เพราะเขาเห็นกับตาว่าจู่ ๆ เหรียญนั้นหายไปจากมือเพื่อนสาว
เหลือไว้เพียงเหรียญดวงตาอันเดิม
“วาสิตา เราสองคน กำลังเจอสิ่งอาถรรพ์กันหรือเปล่า" โอมานพูดกระซิบด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสู้ดี
ใบหน้าของชายหนุ่มแฝงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
วาสิตายกมือข้างนั้นขึ้นพินิจดูอีกครั้ง
เพื่อความแน่ใจว่าเธอไม่ได้ตาฝาด
จากนั้นพยายามลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ล้วนจะเกิดขึ้นภายหลังเห็นภาพในนิมิต
เธอเริ่มต้นซักถามและพูดคุญเรื่องราวต่าง ๆ กับโอมาน
เธอเริ่มต้นซักถามและพูดคุญเรื่องราวต่าง ๆ กับโอมาน
“จำได้มั้ยโอมาน ตอนเรารู้จักกันใหม่
ๆ แล้วนายถามฉันว่า ฉันมีอดีตเกี่ยวข้องกับอียิปต์หรือไงถึงสนใจบ้านเมืองนี้นัก
ตอนนั้นฉันแค่คิดว่าฉันสนใจจะศึกษางานทางโบราณคดีเหมือนอย่างงานของอา
แต่พอตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันมีความเกี่ยวข้องกับอียิปต์จริง ๆ”
“เพราะความรู้สึกที่เธอได้รับจากเหตุการณ์แปลก
ๆนี่ใช่มั้ย”
“ใช่
อีกทั้งเสียงที่คอยย้ำเตือนฉันอยู่เสมอ”
“ย้ำเตือนเธอเรื่องอะไร”
น้ำเสียงโอมานตื่นเต้นกับสิ่งที่เขากำลังจะได้ยิน
“ฉันมักได้ยินคำว่า
‘ผู้ปลดปล่อยอิสรภาพ’ บางครั้งก็มากับความฝัน
แต่บางครั้งก็เหมือนเสียงนี้สะท้อนมาจากที่ไหนสักแห่ง
แต่ตัวฉันจะเข้าไปเกี่ยวข้องในแง่ไหนนี่สิที่ฉันอยากรู้ เพราะหลายครั้งหลายครา ภาพในนิมิตและภาพทับซ้อนพยายามย้ำเตือนให้ฉันรำลึกถึงอะไรสักอย่าง
แต่ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
วาสิตาจ้องหน้าคมเข้มของเพื่อนชายซึ่งนิ่งงันฟังโดยตลอด
“ภาพในนิมิตมีอะไรเกี่ยวโยงถึงกันได้บ้างล่ะ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ”
“คน เป็นหญิงชายคู่หนึ่ง
แล้วหนึ่งในนั้นก็มีสิ่งของ” หญิงสาวชี้เหรียญสุริยะที่ห้อยคอตนอยู่
“อืมม์..” โอมานพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนลงความเห็นว่า “ถึงเธอจะไม่รู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับเรื่องราวเหล่านี้ยังไง แต่มั่นใจได้ว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหรียญสุริยเทพแน่นอนแม่สาวน้อยวาสิตา”
ภายในกระโจมพักคนงานของทีมงานขุดค้นสุสาน ร่างสูงของชายหนุ่มชาวอาหรับคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังผู้เป็นหัวหน้าเผ่าแมกนาผู้ปลอมตัวมาเป็นหัวหน้าคนงาน
เขากำลังรายงานเรื่องถูกใช้ให้ไปสืบ พอรายงานเสร็จ ชาไฮน์ทิ้งความคิดอยู่กับนกเหยี่ยวยืนสง่าบนคอน มันทำท่าเชิดหน้าตาคมดุใส่เขาจังหวะเขาหันกลับมายืนประจันกับผู้สืบข่าว
“ข้าได้เห็นดินแดนอาถรรพ์ตามที่เล่าลือกันแล้ว”
ชาไฮน์บอกพร้อมกับมองการโค้งคำนับเป็นการตอบรับความเข้าใจของลูกน้อง
จากนั้นสายตาคมเหี้ยมเปล่งประกายบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน
เสียงสั่งการแข็งกร้าว“ให้ท่านซูนัคเซนมาพบข้า”
“ครับ ท่าน”
ผู้สืบข่าวรับคำสั่ง พร้อมถอยหลังออกไปจากกระโจมที่พักส่วนตัวในนามบาลัคหัวหน้าคนงานทันที
ชาไฮน์อยากสัมผัสดินแดนอาถรรพ์ในตำนานว่าเป็นอย่างไรเสียที
ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวนิทานปรัมปราเล่าต่อๆ
กันมาจะมีอยู่จริง
แสดงว่าเขาลงแรงไปไม่สูญเปล่า
ชาไฮน์ยืนรอด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
เขายิงคำถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจใส่ผู้เดินเข้ามาทันที
“ซูนัคเซน เหตุใดท่านจึงปล่อยให้สองคนนั่น
เข้าไปสำรวจเขตหินผาตามอำเภอใจ ทั้งที่ท่านออกคำสั่งเองว่าห้ามผู้ใดเฉียดไปใกล้"
“หญิงสาวต่างแดนคือผู้นำพาเราไปสู่ศิลาศักดิ์สิทธิ์น่ะสิ”
ซูนัคเซนตอบเสียงเรียบ
จากนั้นเริ่มบอกเล่าถึงการกลับมาของผู้ครอบครองเหรียญ อันเป็นกุญแจสำคัญไขไปสู่ศิลาบันทึกคาถาโบราณ
“แล้วท่านเคยคิดจะบอกเรื่องนี้กับเราเมื่อไหร่?”
“ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับระหว่างเรา ไม่นานท่านก็จะรู้ เราแค่ขอให้เกิดความมั่นใจมากกว่านี้เท่านั้น”
สายตาคมกริบของชาไฮน์จ้องจดส่อความหมายข่มขู่
ซึ่งเกิดจากความไม่ไว้ใจชายหนุ่ม ผู้ไม่มีสิ่งใดจะให้เขาได้ยึดถือ ก่อนกล่าวน้ำเสียงลากต่ำ "คนของเรามีดวงตาดุจเหยี่ยว ท่านคงไม่คิดทรยศต่อเรา”
ซูนัคเซนไม่พยายามแก้ไขความเข้าใจของหัวหน้าเผ่าแมกนา
เพราะเขามองไม่เห็นความจำเป็นในการที่จะต้องอธิบาย.. เวลาเท่านั้น จะทำให้ทั้งเขาและสหายหัวหน้าเผ่าผู้นี้ค้นพบคำตอบที่แท้จริง
หมู่บ้านอัล-ซาฮาน
สีหน้าฮาจารียังไม่คลายจากอารมณ์คุกรุ่นพร้อมจะก่อโทสะ เนื่องจากวันนี้รอการกลับมาของหญิงสาวจนเกือบค่ำ แต่เจ้าหล่อนกลับบอกหน้าตาเฉยว่าหายไปกับโอมาน ระหว่างรอคอยหัวใจของเขากระสับกระส่าย นึกเป็นห่วงอีกฝ่ายขึ้นมาจับใจ แต่เมื่ออัคห์เหม็ดเข้ามารายงานว่า
คนที่เขากำลังเป็นห่วงอยู่นั้นไปทำอะไรที่ไหนกับใคร
ร่างกายของเขาแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยแรงโทสะ
เสร็จจากภารกิจเขาก็เดินตรงมาห้องนั่งเล่น เพราะรู้ว่าหญิงสาวต้องมานั่งรอเพื่ออธิบายเหตุผล เมื่อเดินเข้ามาภายในฮาจารีก็พบว่าหญิงสาวกำลังนั่งพับเพียบอยู่บนเบาะ
พลางชื่นชมเหรียญสุริยเทพที่เขามอบไว้ให้คุ้มครองป้องภัย
ร่างสูงใหญ่เดินผ่านร่างแน่งน้อยไปทรุดตัวลงบนเบาะในตำแหน่งผู้นำเผ่า ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงเข้มงวด
“ทีหลังอย่ากลับผิดเวลาเช่นวันนี้อีก!”
“โธ่ฮาจารี ฉันขอโทษคุณไปแล้ว”
วาสิตาพูดเสียงอ่อน เพราะรู้ดีว่าเธอทำไม่ถูก ปล่อยให้เขามายืนรอตั้งสองชั่วโมง โดยไม่รู้ว่าเธอแอบแวะไปไหน
หญิงสาวสวมสร้อยคอกลับเข้าที่เดิม
ใบหน้าสวยเงยขึ้นยิ้มสู้ดวงตาคมวาวกำลังออกอาการดุดันเอาเรื่อง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายแสดงความรู้สึกผิดแล้ว
สีหน้าของฮาจารีก็ค่อย ๆ คลายความบึ้งตึงลง
ได้จังหวะหญิงสาวจึงสารภาพและเล่าทุกอย่างออกไปตามตรง
“ฮาจารีคะ เรื่องที่ฉันจะบอกคุณต่อไปนี้ มันเป็นเรื่องที่ฉันทำผิดค่ะ แต่ฉันไม่หวังให้คุณอภัยความอยากรู้อยากเห็นของฉันหรอกนะคะ”
“เธอทำอะไรล่ะ?” ฮาจารีถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
เขาพร้อมจะรับฟังคำบอกเล่าจากหญิงสาวอย่างใจเย็น
“ฉันแอบเข้าไปในเขตหวงห้ามค่ะ”
“พบอะไรหรือเปล่า” ฮาจารีย้อนถาม ใบหน้าเขานิ่งปกติ
“ถ้ำค่ะ ฉันเจอถ้ำเล็กแคบอยู่ในผาหิน”
“ถ้ำในผาหิน?” เขาทวนคำด้วยท่าทางแปลกใจ ชายหนุ่มไม่เคยรู้เลยว่าในผาหินมีถ้ำ
“ค่ะ มันเหมือนปาฎิหาริย์ที่จู่ ๆ
หินผาแยกออกจากกันเป็นทางให้เราเดินผ่านเข้าไป”
“เรา..เธอเข้าไปในที่แห่งนั้นกับเจ้าหนุ่มนั่น!” แม้จะรู้ว่าหญิงสาวอยู่กับใครแต่ก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะเข้าไปในที่ลับตาด้วยกัน มันน่าโมโหนัก
เห็นดวงตาเขาวาวขึ้น เธอก็พยักหน้ายิ้มแหย ๆ
เห็นดวงตาเขาวาวขึ้น เธอก็พยักหน้ายิ้มแหย ๆ
“อย่าเพิ่งโกรธนะคะ
ฉันชวนให้เขาไปเป็นเพื่อน ลำพังฉันคนเดียวไปไม่ได้หรอก”
หญิงสาวพยายามหาเหตุผลมาอ้าง เมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของคนตัวโตตรงหน้า
“มีเหตุผลอะไรที่ทำให้เธอต้องไปที่นั่น”
“คุณจะเชื่อฉันมั้ยคะ ถ้าฉันจะบอกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างดลใจให้ฉันต้องไป ซึ่งฉันมองว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับภาพเก่า ๆ ในอดีตที่มักปรากฏขึ้นมาให้ฉันเห็นอยู่บ่อย ๆ
ค่ะ”
“ฝันแปลก ๆ” ฮาจารีทวนคำหญิงสาวพลางขมวดคิ้วมุ่น
“ดูเหมือนเธอไม่เคยเล่าให้ฉันฟังนะ”
“ฉันฝันว่าพระนางไอซิสมาพูดบางสิ่งบางอย่างกับฉันค่ะ”
วาสิตาอธิบาย อีกฝ่ายจึงถามกลับ
“มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่”
“ก่อนที่คุณจะพาฉันมาที่นี่ค่ะ”
“พระนางกล่าวถึงสิ่งใด
พอจำได้หรือเปล่า” ร่างสูงเอ่ยถามหญิงสาวเป็นงานเป็นการขึ้นทันที
“พระนางพูดถึงเหรียญศักดิ์สิทธิ์
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองไปเกี่ยวข้องอะไรกับเหรียญ”
“เหรียญศักดิ์สิทธิ์”
ฮาจารีจ้องมองไปที่เหรียญสุริยะที่ห้อยคอหญิงสาว
“หมายถึงเหรียญที่ฉันให้เธอหรือเปล่า?”
“ค่ะ”
เธอชูสร้อยที่มีเหรียญสุริยะเพื่อยืนยันถึงสิ่งนี้จริง ๆ ที่ปรากฏในความฝัน
“แล้วหลังจากเข้าไปอยู่ในถ้ำล่ะ?”
“ฉันพบกับผู้หญิงคนหนึ่ง
เธอผู้นั้นแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ของสตรีผู้สูงศักดิ์ราวกับเป็นราชินีอียิปต์โบราณ
และเธอผู้นั้นก็มอบเหรียญสุริยะด้านที่ไม่เคยเห็นให้กับฉันค่ะ”
“สุริยะตาซ้าย” ชายหนุ่มรำพันขึ้น
“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้า
“แล้วเหรียญนั้นอยู่ไหนล่ะ”
“หายไปแล้วค่ะ” วาสิตาบอกตามตรง
“พอฉันรับเหรียญมาไว้ในมือก็ปรากฏว่าฉันกับโอมานมายืนอยู่ข้างนอกถ้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
จากนั้นเหรียญศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อย ๆ จางหายไปกับมือของฉัน ฮาจารีคะ
มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญใช่มั้ยคะ คงไม่มีใครทำให้เรื่องบังเอิญกลายเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ไปได้”
“สำหรับเธออาจจะคิดว่ามันเป็นความบังเอิญ
แต่สำหรับชนกลุ่มเรา
เราถือว่าเป็นปาฏิหาริย์เกิดจากความศรัทธาที่เรามีต่อคำปฏิญาณของเทพเจ้า ซึ่งพระองค์จะประทานสิ่งที่คู่ควรให้เราเมื่อถึงเวลา”
ฮาจารีอธิบายให้หญิงสาวฟังด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฮาจารีอธิบายให้หญิงสาวฟังด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เรื่องคู่ครองนะหรือคะ” จู่ ๆ
เธอก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ไงไม่รู้
และพอถามออกไปแล้วนวลแก้มเหมือนจะระเรื่อเป็นสีชมพูด้วยความเขินอาย
“ใช่
และถ้าเธอได้รับเหรียญจากพระหัตถ์องค์เทวี แม้เพียงนิมิต นั่นก็หมายถึงองค์เทวีได้เลือกเธอแล้ว”
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะมองสบดวงตากลมโตของหญิงสาว
ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะมองสบดวงตากลมโตของหญิงสาว
“เลือกฉัน..
คุณจะไม่รวบรัดเกินไปหรือคะ แล้วจะเอาอะไรมาพิสูจน์ล่ะกับข้อสันนิษฐานนี้”
ตอนแรกก็อาย พอตอนนี้เกิดอาการหมั่นไส้ แหมพ่อคุณเล่นโยงใยเรื่องทั้งหมดเข้าด้วยกันได้เนียนเหลือเกิน
“ข้อพิสูจน์มีอยู่แล้ว แต่ถึงเวลานั้นเธอจะรู้เอง”
“ถึงเวลาอีกแล้ว คุณไม่เคยให้ความกระจ่างกับฉันซักเรื่องเลยนะคะฮาจารี”
หญิงสาวเอ่ยติดงอน กี่ครั้งกี่หน เมื่อพูดกันถึงเรื่องทำนองนี้เขาก็มักอ้างองค์เทพบ้างล่ะ อ้างเวลาบ้างล่ะ
“วาสิตา ใจเย็นหน่อยสิ"
แววตาของเขาขอความอะลุ้มอะล่วย เธอจึงใจอ่อน
แววตาของเขาขอความอะลุ้มอะล่วย เธอจึงใจอ่อน
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะรอเวลานั้นมาถึง”
เธอชำเลืองมองเขา ก่อนจะพูดต่อด้วยความหมั่นไส้ “คุณยังรอฉันได้เลยนี่”
มุมปากฮาจารีกดลึกเป็นรอยยิ้ม
คำพูดประชดประชันของหญิงสาวแสนสวยตรงหน้าทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ
ขยับเข้าไปใกล้ จนอีกฝ่ายรู้เจตนารีบขยับหนีไปอีกนิด และตีหน้ายักษ์ใส่
“อยู่ห่าง ๆ กันแหละดีแล้วค่ะ
อย่าใกล้กันเลย”
“แม่สาวน้อย
งอนฉันเรื่องอะไรล่ะนี่”
“งอนเรื่องอะไรน่ะหรือคะ..ถึงเวลา
คุณก็จะรู้เอง” หญิงสาวได้ทีย้อนคำพูดของเขากลับคืน แถมด้วยค้อนวงใหญ่ ก่อนจะขอตัวกลับห้องพักของตนไปเสียดื้อ ๆ
ฮาจารีมองด้วยความงุนงง ก่อนจะเปิดปากยิ้มอย่างสุขใจ
ฮาจารีมองด้วยความงุนงง ก่อนจะเปิดปากยิ้มอย่างสุขใจ
ช่วงเช้าวันใหม่วาสิตามาทำงานตามปกติ
แม้ว่าจะติดใจสงสัยกับสายตาแปลก ๆ มุ่งจับจ้องเธอทุกทิศทาง
แต่เธอก็มีสมาธิพอกับงานตรงหน้า จะเสียสมาธิอยู่บ้างก็ตอนเผลอเผลอนึกถึงฮาจารี
เพราะเวลาเธอนึกถึงเขาทีไร ก็ให้รู้สึกโมโหขึ้นมาทุกที
เพราะเวลาเธอนึกถึงเขาทีไร ก็ให้รู้สึกโมโหขึ้นมาทุกที
เมื่อวาน
ชายหนุ่มทำท่าหัวเสียไปกับโอมาน แต่เธอก็อธิบายทุกอย่างให้เขาฟังหมดเปลือก
แต่เขาสิแค่ตอบคำถามเกี่ยวกับบทพิสูจน์ในคำปฏิญาณของเทพเจ้า ก็เที่ยวอ้างโน้นอ้างนี่บ่ายเบี่ยงจนเธออดน้อยใจไม่ได้
'ทีกับเธอนะต้องบอกเขาทุกเรื่อง' แต่พออยากรู้เรื่องของเขาบ้าง ก็อ้างเวลา..ฉะนั้นเมื่อคืนถูกเธองอนใส่ก็สมควรแล้ว
'ทีกับเธอนะต้องบอกเขาทุกเรื่อง' แต่พออยากรู้เรื่องของเขาบ้าง ก็อ้างเวลา..ฉะนั้นเมื่อคืนถูกเธองอนใส่ก็สมควรแล้ว
เมื่อนึกถึงสีหน้าเจื่อน ๆ ของฮาจารี
หญิงสาวก็ยิ้มออกมาได้..
อารมณ์ดีขึ้นแล้ว วาสิตาก็หันไปให้ความสนใจกับคนงานกลุ่มใหญ่ตรงหน้า การขุดค้นดำเนินการไปอย่างรวดเร็ว
ถ้านำดินที่โกยมากองทับกันไว้คงจะสูงขึ้นเป็นภูเขาลูกขนาดย่อม
คนงานจะย้ายบริเวณขุดตามแผนงานความเชี่ยวชาญในการทำงานของเหล่าคนงาน
ทำให้ไม่เกิดความเสียหายต่อสถานที่รวมทั้งชิ้นงานทุกชิ้น
วัตถุทุกชิ้นทยอยส่งมาให้เธอได้ลงรายละเอียดและจดลงบันทึกมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
วัตถุทุกชิ้นทยอยส่งมาให้เธอได้ลงรายละเอียดและจดลงบันทึกมีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน
หญิงสาวรู้สึกมีความสุขและสนุกกับงานทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเวลาวัตถุทุกชิ้นทยอยส่งมาให้เธอได้ลงรายละเอียด สักพักเธอก็นึกถึงเพื่อนชายนายโอมาน แปลกใจสายป่านนี้แล้ว ยังไม่เห็นวี่แววเขาจะโผล่มา
“โอมาน ไปไหนของเขานะ?”
วาสิตาพยายามมองหาเพื่อนทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ก็ทำได้ไม่มากนัก
เพราะเธอกวาดตาไปรอบ ๆ ครั้งใด มักจะพบกับสายตาจ้องจับจากกลุ่มคนงานของบาลัค
อีกทั้งตัวบาลัคเอง พวกเขาพยายามมองให้เธออยู่ในสายตาของพวกเขาตลอดเวลา
ซูนัคเซนก็อีกคน ดูเขามองเธอแปลกไป
พวกเขาสงสัยอะไรในตัวเธอหรือ..? หรือว่าพวกเขารู้เรื่องที่เธอกับโอมานเข้าไปในผาหินนั่น
โอมานได้บอกเล่ากับผู้ปกครองของเขาหรือเปล่า? แล้วถ้าซูนัคเซนรู้แล้วทำไมเขาถึงปิดปากเงียบ
ไม่เอ่ยถามอะไรเธอสักคำ..?
หลายคำถามประดังเข้ามาในความคิด
เมื่อเธอสังเกตว่าบาลัคและซูนัคเซนมองมาจ้องมาอีก
ผ่านไปหลายนาที ซูนัคเซนก็เดินเข้ามาหา ใบหน้าของเขามียิ้มอ่อนโยน ขณะเอ่ยถาม
ผ่านไปหลายนาที ซูนัคเซนก็เดินเข้ามาหา ใบหน้าของเขามียิ้มอ่อนโยน ขณะเอ่ยถาม
“ฉันรู้สึกว่าตอนนี้สติของเธอกำลังลอยเคว้งคว้าง คิดถึงใครอยู่หรือวาสิตา”
“ฉันแค่กำลังนึกถึงความมหัศจรรย์ของทะเลทรายค่ะ
ฉันหมายถึงทะเลทรายเก็บประวัติศาสตร์ของคนทั้งประเทศได้อย่างดีเยี่ยมจริง ๆ ดูสิคะชิ้นงานบางชิ้นยังอยู่ในสภาพที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นพันปีด้วยซ้ำ
ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ นะคะ”
“หึ ๆๆๆ”
ซูนัคเซนปล่อยเสียงหัวเราะเบา ๆ
วาสิตาทำหน้าเหลอหลา หลงเข้าใจว่าตัวเองได้กระทำท่าทางขบขัน นักอียิปต์ศาสตร์หนุ่มจึงรีบโบกมือปฏิเสธแล้วอธิบายไขข้อข้องใจ
วาสิตาทำหน้าเหลอหลา หลงเข้าใจว่าตัวเองได้กระทำท่าทางขบขัน นักอียิปต์ศาสตร์หนุ่มจึงรีบโบกมือปฏิเสธแล้วอธิบายไขข้อข้องใจ
“ฉันไม่ได้หัวเราะกับความคิดของเธอ
เพียงแต่คิดว่า คนเดินทางมาจากแดนไกล กลับสัมผัสได้ถึงสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ได้มากกว่าคนพื้นถิ่นอย่างฉันเสียอีก”
“ทุกสิ่งทุกอย่างใต้ผืนทราย สำหรับฉันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ค่ะ ฉันชอบที่นี่นะคะ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำไนล์
ผืนทรายสีขาวแล้วก็ภูเขาทุกลูก โดยเฉพาะยามตะวันตกดินมันช่างสวยงามเหลือเกิน ”
ความรู้สึกนั้นบ่งบอกถ่ายทอดออกมาจากสายตาหญิงสาวเป็นอย่างดี เมื่อนึกไปถึงความเลื่อมพรายพรรณของท้องฟ้าราวบันทึกไว้ในความทรงจำมิลืมเลือน
ความรู้สึกนั้นบ่งบอกถ่ายทอดออกมาจากสายตาหญิงสาวเป็นอย่างดี เมื่อนึกไปถึงความเลื่อมพรายพรรณของท้องฟ้าราวบันทึกไว้ในความทรงจำมิลืมเลือน
ซูนัคเซนมองหญิงสาวที่มีเรือนร่างบอบบางทว่าสมส่วนเฉิดฉาย ดวงตากลมโตคู่สวยสกาวสดใส จมูกโด่งตรงปลายเชิดขึ้นน้อย ๆ
รับกับเรียวปากอวบอิ่มน่าสัมผัส
ผิวสีขาวของวาสิตายามนี้สะท้อนกับแสงแดดยามสายช่างงดงามยิ่งนัก
การได้อยู่ใกล้ชิดกันเกือบสองอาทิตย์ทำให้เขามองเห็นด้านจริงจังของหญิงสาว ซึ่งแฝงอยู่ในมุมอ่อนหวานของเจ้าหล่อน สิ่งเหล่านี้หลอมรวมเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ซึ่งเขาถูกใจ
“ซูนัคเซนคะ ดูเหมือนคนงานจะเจอกับอะไรน่าอัศจรรย์ให้ฉันได้ลงบันทึกอีกแล้ว
คุณมีอะไรจะพูดกับฉันอีกหรือเปล่าคะ”
วาสิตาเอ่ยขอตัวไปทำงานต่อ เพราะรู้สึกแปลก ๆ
กับท่าทีของอีกฝ่าย
“ไม่หรอก เธอไปทำงานของเธอเถอะ
ฉันแค่ไม่อยากให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวในขณะคู่หูหายไปทำงานในไคโร”
“อ๋อ โอมานไปไคโรนี่เอง
ฉันก็หลงคิดว่าเขาอู้งานคุณเสียอีก” หญิงสาวเอ่ยกลั้วหัวเราะ
ให้กับเพื่อนหนุ่มแม้จะเห็นท่าทางร่าเริงขี้เล่น ทว่าเพื่อนชายเธอคนนี้ได้ซ่อนบุคลิกเคร่งครัดในการทำงานของเขามาก
ข้อนี้ผู้ปกครองของเขาก็คงจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็พูดเออออตามน้ำให้ได้ขบขันกัน
“ก็คงจะหนีไปอู้ไกลหูไกลตานั่นล่ะ”
คล้อยหลังวาสิตาไปได้สักพัก
ชาไฮน์ในคราบของหัวหน้าคนงานก็ได้เดินเข้ามาหาซูนัคเซนแล้วเอ่ยขึ้น
“ท่านซูนัคเซน!
ยืนฝันอย่างนี้ไม่ช่วยให้เราหาศิลาได้เร็วไวหรอกนะ!”
สิ้นคำพูดของอีกฝ่าย ซูนัคเซนก็หันขวับมาตามเสียงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ขณะหัวหน้าเผ่าแมกนามองจ้องตอบด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเช่นกัน
ชาไฮน์เฝ้าดูพฤติกรรมคนคนนี้ด้วยอาการหงุดหงิดรุ่มร้อน พวกเขาทุ่มเทแรงขุดค้นจนเลือดแทบซึมออกทางผิวหนัง แต่เจ้านี่กลับใช้เวลาป้วนเปี้ยนอยู่กับผู้หญิง
ชาไฮน์เฝ้าดูพฤติกรรมคนคนนี้ด้วยอาการหงุดหงิดรุ่มร้อน พวกเขาทุ่มเทแรงขุดค้นจนเลือดแทบซึมออกทางผิวหนัง แต่เจ้านี่กลับใช้เวลาป้วนเปี้ยนอยู่กับผู้หญิง
“พรุ่งนี้วันเมคคีร์แล้วนะท่าน
เรายังหาสิ่งนั้นไม่เจอ ท่านยังมีแก่ใจมายืนคุยเล่นกับผู้หญิง”
ซูนัคเซนไม่ได้ตอบโต้คำพูดของอีกฝ่าย
เขามองการกระทำของหัวหน้าเผ่าแมกนาอย่างเหยียดหยาม พวกอพยพจะรู้อะไรกับมารยาทอันดีงาม เขากัดฟันข่มอารมณ์ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับความคิดที่ว่า
อำนาจที่ยิ่งใหญ่จะทำให้เขาสามารถขจัดเศษสวะพวกนี้ออกจากทะเลทรายแห่งนี้ได้
ทรายร้อนซ่อนเสน่หา
ทำมือขาย: 180 + 40 = 220 บาท
ยอดโอนยืม ราคาปก249 + 40 = 289
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่งร้านรับคืนหนังสือแล้วโอนคืนลูกค้า 249-24=225 บาท
เงื่อนไขราคาเช่า : เช่าเหมา 7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ตัวอย่างการยืม
เช่น นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว
จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ