วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 2 นิมิต

นิยายเปิดเช่าและขาย

เสน่หานาคี






อุรัสยาวางถ้วยรางวัลเกียรติยศไว้บนหัวเตียง ก่อนเอนตัวลงนอนลืมตาหวนคิดถึงช่วงเวลาพิธีกรประกาศก้องให้เธอได้ขึ้นไปรับถ้วยแห่งเกียรติยศบนเวที แม้นาทีอันแสนพิเศษผ่านไปแล้ว แต่ความรู้สึกพิเศษยังแจ่มชัดอยู่ทุกอณู และหลังจากงานค่ำคืนนั้นเธอก็ต้องแยกจากปานเลขา เพราะเพื่อนสาวจะต้องไปทำหน้าที่ผู้จัดการให้กับชัชพิมุขที่พัทยา ก่อนไปปานเลขายังทิ้งคำถามสุดท้ายเรื่องการรับงานแสดงเรื่องล่าสุดว่าจะตอบรับหรือปฏิเสธ
อุรัสยาคงต้องตอบรับเพราะถ้าปฏิเสธไปก็เหมือนจะไม่รักษาน้ำใจ ด้วยผู้ใหญ่ต่างเอ็นดู ป้อนงานให้เธอไม่ขาด ทำให้เธอมีผลงานต่อเนื่อง ได้พัฒนาฝีมือจนกระทั่งได้รับรางวัลแห่งเกียรติยศ เช่นนี้แล้ว เธอจะปฏิเสธได้อย่างไร
แต่ก็อดฉงนถึงเหตุผลของผู้ใหญ่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเปลี่ยนคิวเรื่องให้เธอกะทันหัน หรือแม้แต่เรื่องที่เธอไม่เคยได้รับการติดต่อจากนายทุนสักครั้ง ทั้งที่ทางทีมงานพร้อมเดินทางไปจัดเตรียมกองถ่ายทำละครกันเรียบร้อยแล้ว
ทว่าคิดไปก็เท่านั้น เพราะถ้าทางผู้ใหญ่เลือกให้เธอเล่นเรื่องอะไรตอนนี้ เธอก็ต้องเล่นตามที่ได้ลงนามทำสัญญาอีกทั้งเพื่อตอบแทนบุญคุณ ฉะนั้นเก็บแรงไว้สู้งานในวันข้างหน้าดีกว่า พรุ่งนี้เธอต้องออกเดินทางไปพร้อมกับทางทีมงานแล้ว นิ้วเรียวเอื้อมกดโคมไฟ ดับความสว่างลงพร้อมกับหลับตา
โดยหารู้ไม่ว่าระหว่างที่หญิงสาวเข้าสู่ห้วงนิทรา ได้มีเงาร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาในอาณาบริเวณสองนาย นายหนึ่งนั้นย่องข้ามพ้นกำแพงที่ไม่สูงนัก ส่วนอีกนายที่ข้ามพ้นมาก่อนหน้ากำลังก้มใช้กุญแจผีไขปลดล็อกประตูอย่างชำนิชำนาญเพื่อเข้าสู่ด้านใน ซึ่งโจรสองนายต่างรู้ดีว่าภายในบ้านมีเพียงดาราสาวอยู่เพียงลำพัง นั่นเพราะมันได้ซุ่มดูแล้วเห็นว่าเหล่าเพื่อนที่ไปมาหาสู่ไม่ขาดระยะได้หายหน้าหายตาไปหลายวัน
เมื่อสองเงาเข้ามาหยุดยืนภายในบ้านสำเร็จ ต่างส่ายสายตาภายใต้หมวกคลุมหน้าไปทั่วบริเวณ ก่อนจะขยิบตาให้พากันย่องขึ้นบันไดสู่ชั้นบน
เพียงครู่เดียวทั้งสองได้มาหยุดยืนอยู่ปลายเตียง ดวงตาวาวลามเลียไปทั่วร่างงามที่นอนหลับสนิท พลางคิดว่าค่าจ้างที่ได้รับไม่อาจเทียบได้สักนิดกับการได้เชยชมดาราสาวสวยแห่งปี
พวกมันเคลื่อนกายเข้ามาใกล้ ๆ ต่างก้มหัวลงหวังเชยชิดใบหน้าสวยหวานด้วยสายตาหื่นกระหาย แต่ทว่าแค่เพียงย่นระยะห่างระหว่างสายตาและใบหน้า ชั่วพริบตาที่เห็นว่านวลแก้มขาวอมชมพู ก็พลันเปลี่ยนเป็นสีเขียวและปรากฏลวดลายคล้ายเกล็ดบนพื้นผิว
โจรร้ายต่างชะงักงันหันสบตากันด้วยคำถามว่าตาฝาดกันไปหรือเปล่า ก่อนจะก้มลงมองใบหน้าสวยหวานอีกครั้ง และสิ่งที่เห็นก็ถึงกลับทำให้พวกมันขนหัวลุก เพราะใบหน้าที่เห็นสวยหวานบัดนี้เต็มไปด้วยเกล็ดงู! อีกทั้งกำลังกลายเป็นหัว และไม่ได้มีเพียงหัวเดียว แต่มันมีถึงห้าหัว!
“งูห้าหัว! เว้ย!” โจรร้ายต่างร้องอุทานด้วยประสาทหวาดผวาสุดขีด ก่อนจะพากันวิ่งจ้ำออกไป ช่วงจะวิ่งลงบันไดทั้งสองยังติดใจเงาดำที่เคลื่อนผ่านตนไป จึงหันกลับไปดูและก็เห็นว่าเจ้าสิ่งนั้นมีลักษณะลำตัวยาวเห็นแค่ส่วนหางเลื้อยผ่านประตูที่เปิดอ้าเอาไว้ จากนั้นจู่ ๆ ประตูก็ปิดลง โจรร้ายประสาทผวาและออกวิ่งอีกครั้งโดยไม่ลืมปีนออกทางกำแพง ซึ่งสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวส่งร่างของพวกตนตกไปจากกำแพงลงไปนอนแอ้งแม้งทับกันอยู่บนพื้น
ขณะสัตว์ตัวใหญ่เลื้อยคลานเข้ามาใกล้เตียง ก็เริ่มปรากฏเท้าก้าวเดิน ช่วงลำตัวค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์ จนกระทั่งส่วนหัวที่มีถึงเจ็ดเศียรต่างหดเข้ากลายเป็นศีรษะของชายหนุ่มที่ใบหน้ามีเครื่องเคราหล่อเหลา สุดท้ายดวงตาสีแดงฉานเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว
พญานาคราชนาคินทร์กำลังส่งสายตาคมมองปราดไปทั่วร่างนางผู้ตกเป็นเป้าหมายของเหล่าโจร ด้วยดวงจิตที่ใกล้สิ้นอายุขัยการเป็นมนุษย์เข้าไปทุกที จึงทำให้โจรกระจอกทั้งสองได้มองเห็นร่างอันเป็นกายธรรมชาติในยามหลับใหลของหญิงสาว
พญานาคราชหนุ่มขยับกายสูงใหญ่เข้ามาใกล้อีกนิด หวังใช้มือหนาลูบไล้ไปบนเนื้อนวลที่ถวิลหามานานกว่าสองร้อยปี ซึ่งหัวใจที่เคยเชยชิดสนิทเสน่หากันมาก่อน ทำให้สภาวะจิตใจแข็งกร้าวของนาคราชหนุ่มอ่อนลง ทว่าชั่วอึดใจแววตาดำที่อ่อนแสงก็กลับลุกวาวเป็นสีแดงดั่งเพลิง เมื่อตระหนักถึงหัวใจที่เคยถูกทำร้ายด้วยการทรยศ
พญานาคราชนาคินทร์หันหลังจะก้าวจาก และก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะพ้นจากกายทิพย์เพื่อเข้าสู่กายเที่ยงแท้ เปลือกตาที่เห็นปิดสนิทพลันตื่นลืมขึ้น ซึ่งไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่การที่เขามาอยู่ในห้องส่วนตัวของเธอ ก็ถือว่าเขาเป็นแค่ผู้บุกรุก
“คุณเป็นใคร! มาทำอะไรในห้องฉัน!” อุรัสยาลุกพรวดมานั่ง มือรีบดึงผ้าห่มขึ้นคลุมชุดนอนเนื้อผ้าบางไว้ ใจเต้นระทึกหวั่นกลัวผู้ชายที่มายืนจังก้าในห้องของตน
“ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง?” เธอถามย้ำ เมื่อยังเห็นว่าเขายืนหันหลังนิ่ง แต่พอเธอจะตะโกนซ้ำ เขาก็หยุดเสียงของเธอด้วยการเบนใบหน้ามามอง และก็ทำให้เธอถึงกลับอึ้งพูดไม่ออก เพราะใบหน้าที่เห็นชัดขึ้นนั้นมันคล้ายกับใบหน้าของคนที่คุ้นเคย มันเป็นไปได้ยังไง ร้ายยิ่งกว่านั้นคือชายผู้บุกรุกคนนี้กำลังทำในสิ่งที่เธอแทบไม่เชื่อตาตนเอง เพราะร่างชายหนุ่มที่เห็นอยู่ตรงหน้าจู่ ๆ ก็กลับกลายเป็นร่างงู!
กรี๊ด!!! เสียงร้องหยุดลงพร้อมกับร่างหญิงสาวที่สลบไป ดวงตาวาวของพญานาคราชหนุ่มส่งพลังอำนาจทำให้ร่างที่หมดสติได้นอนอยู่ในท่าหลับสบาย ผ้าห่มคลุมกายมิดชิด
“ไม่นานหรอกเจ้าก็จะรู้จักข้า พร้อม ๆ กับที่รู้จักตัวเจ้าเองอุรัสยาวารี” สิ้นคำสุดท้าย ร่างใหญ่ยาวหลายวาก็เลื้อยหายตัวไป

อาคารหลังเล็ก ๆ ห้องเดียว ที่ผู้มีจิตศรัทธาในพระศาสนาอุทิศปัจจัยมาสร้างทานที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีใจใฝ่ปฏิบัติธรรม ร่างแม่ชีวัยกลางคนยืนนิ่งสงบ มืออูมมีริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนังตามกาลเวลาจับยึดราวระเบียงที่ยื่นจากประตูห้องไม่มากนัก ขณะส่งสายตาอ่อนโยนทอดไปบนท้องฟ้าที่โรยความมืดมิดลงมาปกคลุม ยังดีที่มีดวงจันทร์สาดแสงนวลลงมาให้พอได้มองเห็นรอบบริเวณได้บ้าง
 แม้ว่าก่อนหน้านั้นอัญญาจะบอกลูกว่าอยากมาบวชชีพราหมณ์เป็นอุบาสิกาถือศีลแปดเท่านั้น แต่ตอนนี้จิตใจของนางสัมผัสความปลงในสังขารได้ จึงปลงผมเป็นนางชีเพื่ออยู่ในโลกธรรมตลอดชีวิต
ที่นางสัมผัสถึงความปลงเพราะสังขารคนไม่เที่ยงแท้ เฉกเช่นสังขารของอุรัสยาลูกสาวที่เป็นทั้งดวงจิตดวงใจของนาง เมื่อถึงเวลาแล้วนางก็คงได้เห็นแต่เถ้ากระดูกที่ถูกโปรยไปตามผืนน้ำ ชีวิตคนเราก็เท่านี้เมื่อถึงเวลาก็ต้องสลายกลายเป็นเถ้าธุลีกันเสียทุกคน ไม่มีผู้ใดฉุดรั้งอายุขัยแห่งตนได้ เช่นนี้แล้วจะมีสิ่งใดจีรังเท่ากับกุศลผลบุญที่ได้สะสมกันเล่า
ครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแม่ชีอัญญาถอดจากสมาธิหลังจากภาพในนิมิตบ่งบอกช่วงเวลาที่ใกล้มาถึง ช่วงเวลาแห่งความสูญเสีย บุตรสาวนางจะต้องกลับไป กลับไปยังที่ที่จากมา ถึงนางจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อหลีกหนีจากความสูญเสีย หากไม่สามารถหลุดพ้นจากชะตาของบุตรสาวที่ถูกกำหนดมาไว้แล้ว ตั้งแต่กำเนิด
โดยเฉพาะนางมิอาจปฏิเสธความจริง ว่านางเป็นเพียงแม่บุญได้อุ้มชูเด็กน้อยผู้เกิดจากดวงแก้วมณีซึ่งนางได้รับมาในนิมิตเท่านั้น ทว่าก็มีความจริงอีกเรื่องคือไม่มีแม่คนใดไม่รักและห่วงหาอาทรลูกที่ตนได้อุ้มท้องมาเช่นกัน
“อุ้ม ไม่ว่าลูกจะกลับไปเป็นผู้ใด ขอให้รู้ลูกจะอยู่ในหัวใจแม่เสมอ”
เมื่อย้อนกลับไปเมื่อคราวที่นางใช้ชีวิตครอบครัวกับมาร์ตินสามีชาวสวีเดน อยู่กินกันมาหลายปีไม่มีวี่แววจะมีลูก จนกระทั่งมาร์ตินคิดอยากทำสารคดีบั้งไฟพญานาคเพื่อลงนิตยสารที่เขาทำอยู่ เธอจึงพาเขาเดินทางมาบึงกาฬบ้านเกิด บ้านหลังนี้เธอได้ปิดทิ้งร้างนานแล้ว เพราะไม่มีญาติหลงเหลืออยู่ในพื้นที่จะมีแต่เพื่อนบ้านที่รู้จักกันเพียงผิวเผิน เนื่องจากเธอเดินทางมาเรียนต่างประเทศตั้งแต่อายุสิบแปด จำได้ว่ากลับมาครั้งสุดท้ายตอนมาเผาศพมารดา
มาร์ตินดีใจมากที่เขาสามารถเก็บภาพพุลอยขึ้นเหนือน้ำได้หลายภาพ ซึ่งทุกภาพถ่ายล้วนสวยงามและเด่นชัด เป็นเพราะเธอพาสามีมาตั้งกล้องตรงริมน้ำเยื้องมาทางหลังบ้านเล็กน้อย เป็นมุมที่ทำให้การรอคอยจับภาพได้สงบเงียบไม่มีสิ่งรบกวน เพราะไม่มีใครเยียบย่างเข้ามาในพื้นที่ของเธอนั่นเอง
ในนาทีที่เธอเห็นพุสีสันสดใสลอยขึ้นเหนือผิวน้ำพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เหมือนผืนพรมสีดำ เธอก็อดจะนึกถึงการเซ่นสรวงพญานาคีที่ครอบครัวของเธอปฏิบัติกันมาทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ไม่ได้ เธอจึงได้นำน้ำสะอาดและผลไม้มาไหว้
ค่ำคืนนั้นเองที่เธอและสามีเข้านอนแล้ว ก็เกิดนิมิตฝันว่าชายผู้หนึ่งนุ่งขาวราวผู้ทรงศีลมายื่นลูกแก้วสีสดใสให้ ลูกแก้วมีขนาดเท่ากับไข่เป็ดถูกวางบนมือของเธอ เธอยิ้มขอบคุณชายลึกลับที่ดูท่าทางมีจิตเมตตา จากนั้นร่างนั้นก็หายไป เมื่อตื่นขึ้นเธอก็กลับพบว่าตนมีอาการแปลก ๆ คือร่างกายปรารถนาแต่น้ำและผลไม้ตลอดเวลา ถ้าไม่ได้กินจะมีจิตกระสับกระส่าย มาร์ตินจึงได้พาเธอไปตรวจร่างกาย ผลการตรวจออกมาว่าเธอตั้งครรภ์ทำให้เธอและสามีดีใจมาก เธอได้เล่าให้มาร์ตินฟังถึงการเซ่นสรวงศาลพญานาคี มีตอนหนึ่งมาร์ตินพูดให้เธอฉุกคิดว่าการได้เซ่นสรวงแล้วได้บุตรเช่นนี้ ผู้ที่เกิดอาจเป็นพญานาคที่ปล่อยดวงจิตลอยขึ้นเหนือน้ำก็ได้
ไม่ว่าคำพูดของมาร์ตินจะเกิดจากทฤษฎีไหนก็ตาม แต่คำพูดของเขาสะกิดความใคร่รู้ของเธอ เธอจึงไปขอให้หลวงตาที่วัดได้เข้าญาณตรวจดวงชะตาเด็กที่จะเกิด และสิ่งที่หลวงตาได้บอกมาก็ไม่ผิดจากที่มาร์ตินพูดสักนิด พญานาคมาเกิดกับเธอจริง ๆ หลวงตาบอกว่าการอุ้มท้องคราวนี้เป็นการอุ้มบุญอย่างหนึ่งของเธอ แต่เธอจะต้องทำใจเผื่อไว้ เพราะว่าลูกสาวคนนี้มีอายุขัยอยู่แค่ยี่สิบห้าปี เมื่อถึงเวลาก็จะกลับลงสู่ผืนน้ำโขงเช่นเดิม
อัญญาได้ฟังเช่นนั้นไม่อาจทำใจได้ เธอคิดว่าถ้าอยู่ห่างน้ำโขงลูกสาวเธอก็จะไม่ต้องจากไป เธอจึงประกาศขายที่ทันที ยังดีมีเศรษฐีผู้หนึ่งให้คนมาติดต่อขอซื้อที่ไว้ทั้งหมด เธอขายโดยไม่เสียดายจากนั้นจึงอุ้มท้องลูกไปคลอดที่บ้านสามีที่สวีเดน ไม่ไม่คิดหวนคืนกลับมา
แต่ชะตาถูกกำหนดไว้แล้ว มันก็ไม่อาจบิดเบือนผิดจากนั้นได้ เมื่อลูกสาวของเธอเติบโตมาพร้อมความสวยมีเสน่ห์ต่อคนรอบข้าง อีกทั้งมีความสามารถทางการแสดง อุรัสยาเป็นดาวเด่นตั้งแต่อายุยังน้อย มีผู้คนหลงใหลชื่นชมลูกสาวของเธอมากมาย ตลอดเวลาที่เธอได้ส่งเสริมให้ลูกได้เดินอยู่บนเส้นทางบันเทิงนั้น ได้ส่งผลให้เธอลืมเลือนความกังวลบางอย่างไป สามปีที่แล้วครอบครัวของเธอเดินทางมาซื้อบ้านในกรุงเทพฯ เพราะมาร์ตินรู้จักสนิทสนมกับผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ จึงได้พาอุรัสยามาเซ็นสัญญานักแสดงที่เมืองไทย และเมื่อมาร์ตินจากเธอไปเมื่อสองปีที่ผ่านมา ในช่วงเวลาแห่งความสูญเสียก็ทำให้ความกลัวที่ซุกซ่อนผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อคลายเศร้ากับการจากไปของสามี เธอก็เริ่มหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจโดยการชักนำจากแม่ชีคำ ทำให้เธอได้เข้าสู่สำนักปฏิบัติธรรมในกรุงเทพ นานเข้าเธอก็เริ่มออกต่างจังหวัดเพื่อค้นหาสิ่งที่จะทำให้เธอไม่ต้องสูญเสียลูกสาว แต่แล้วการได้นั่งสมาธิวิปัสสนาเป็นกิจวัตรทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นในดวงจิต และนั่นก็ทำให้เธอมองเห็นคำตอบแห่งธรรมในที่สุด
“แม่ชีอัญญา นอนไม่หลับหรือ?”
“ค่ะ” นางชีอัญญาเดินสำรวมกิริยาลงบันไดสามขั้นมาหานางชีคำผู้มีวัยอาวุโสกว่า พร้อมบอกเหตุผล” ก็เรื่องลูกเหมือนเดินค่ะแม่ชีคำ”
“อ้อ จะถึงกาลแล้ว แม่ชียังปล่อยวางไม่ได้อีกหรือ” แม่ชีคำผู้รู้เรื่องราวของนางชีอัญญามาตลอดกล่าวในเชิงเตือนสติมากกว่าจะหวังเอาคำตอบ
“พอจะได้บ้างแล้วค่ะแม่ชี แต่ยังมีภาพในนิมิตมาให้เห็นอยู่บ่อย ๆ บางครั้งจึงอดคิดถึงลูกไม่ได้”
“นิมิตเกิดจากจิตที่มีบ่วงโซ่ต่อกัน ลูกก็เหมือนโซ่ทองคล้องใจ จะให้ตัดขาดเสียสิ้นมันเป็นไปได้ยาก แต่แม่ชีอัญญาก็รู้มาแต่เนิ่นแล้วมิใช่หรือว่าลูกของเรานั้นเป็นใครมาเกิด แล้วก็ยังรู้อีกว่ามีอายุขัยที่จะต้องกลับบ้านของเขา เช่นนี้แล้วแม่ชีจะยังเหนี่ยวรั้งเขาไว้ทำไม”
ถ้อยคำเตือนสติของแม่ชีคำซึมแทรกเข้าถึงเนื้อหัวใจนางชีอัญญา อย่างยากจะปิดกั้นความจริงนี้ได้ นางจึงได้แต่ก้มศีรษะลง มือประสานกันนิ่งอยู่เบื้องหน้าพร้อมกับกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย
“ขอบคุณแม่ชีคำที่คอยเตือนสติที่มักหลงไปเวียนวนอยู่ในหล่มทุกข์ ตอนนี้ฉันรู้แล้ว และจะหมั่นเข้าศีลภาวนาเพื่อให้ลูกได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยค่ะ”
“แล้วแต่แม่ชีอัญญาเถอะ อย่านอนดึกนักล่ะ พรุ่งนี้จะต้องสวดมนต์กันก่อนฟ้าสางอีก เออ ช่วงนี้คนจะมาทำบุญ   บ้างก็มาพักทำสมาธิมากขึ้น เพราะใกล้วันบุญบั้งไฟ ยังไงจะยุ่งขึ้นสักนิดนะแม่ชี”
นางชีอัญญาก้มศีรษะนอบน้อมต่อแม่ชีผู้มีเมตตาจิตต่อนางอีกครั้ง ก่อนจะขึ้นห้องพักของตน นั่งภาวนาให้จิตสงบนิ่งดีแล้วจึงเอนตัวลงนอน
ภายใต้แสงนวลแห่งดวงจันทร์ ร่างเลือนรางในชุดขาวยืนด้วยท่าทางสงบอยู่เหนือพื้นดิน สายตาเปล่งประกายสีขาวสดใสขณะมองไปยังอาคารไม้หลังเล็กขนาดห้องเดียว
“เจ้าจะมิต้องสูญเสียนางไปหรอกอัญญา เพียงแค่เจ้าอยู่ในศีลในธรรมเช่นนี้ตลอดไป”
นางชีอัญญาเพิ่งจะหลับใหลไปพร้อมกับดวงจิตใสสะอาด ทว่ารับรู้ได้กับคำกล่าวของผู้ที่ปรากฏอยู่ในนิมิต ถ้อยคำนั้นทำให้นางสัมผัสความสุขใจ ในนิมิตฝันนางจึงเห็นตัวนางเองยกมือขึ้นประนมกล่าวขอบคุณเขาผู้นั้น
“ขอบคุณค่ะท่าน ขอบคุณที่ประทานลูกสาวมาให้อุ้มชู”
 












 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น