วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 3 นครนาคา

นิยายเปิดเช่าและขาย

เสน่หานาคี







อุรัสยาตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยสีหน้างุนงง เมื่อได้ยินปานเลขาเขย่าปลุกบอกว่าตำรวจมารอสอบปากคำ หญิงสาวรีบดันตัวลุกกึ่งนั่งกึ่งนอน แปลกใจอยู่บ้างที่เห็นผ้าห่มคลุมปิดถึงอกทั้งที่เมื่อคืนฝันเรื่องแย่ ๆ ไม่มีทางที่เธอนอนห่มผ้าเรียบร้อยเช่นนี้หรอก ก่อนสลัดศีรษะขับไล่อาการงัวเงียสักหน่อย แล้วเอ่ยถามเพื่อนระคนแปลกใจ
“เธอมาได้ไงเนี่ยกระติ๊บ แล้วเสร็จงานที่พัทยาแล้วเหรอ?”
ปานเลขานิ่วหน้า เมื่อเพื่อนเอ่ยถามในสิ่งตรงข้ามกับความร้อนใจของตน
“มามัวห่วงงานคนอื่นอีก ห่วงตัวเองก่อนเถอะ ขโมยขึ้นบ้านยังหลับอุตุอยู่ได้ ” ว่าเสร็จ ผู้จัดการส่วนตัวสาวทิ้งตัวลงนั่งข้างเพื่อนที่กำลังส่งสายตาฉงน ก่อนอธิบายต่อ “ก็ฉันได้รับแจ้งจากทางตำรวจว่าเมื่อคืนมีโจรสองคนตกจากกำแพงบ้านเรา พยายามกดกริ่งเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีคนมาเปิดประตู ตำรวจสันนิษฐานไม่มีใครอยู่ จึงได้โทรเข้าเบอร์ฉัน แล้วคนที่โทรก็ผู้กองภาวินนั่นแหละ เขาบอกอยู่เวรที่สถานีตำรวจพอดี”
ด้วยความปรารถนาความเป็นส่วนตัวให้กับเพื่อนสาวซึ่งเป็นดาราดัง ทุกการติดต่อจากภายนอกจึงใช้หมายเลขโทรศัพท์ที่ปานเลขาระบุไว้ ไม่ว่าใครจะติดเพื่อนของเธอด้วยเรื่องอะไร จะต้องผ่านการพิจารณาจากเธอก่อน ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความคิดเห็นของเพื่อนดาราเธอเหมือนกัน
“ที่ทางตำรวจระบุว่าสองคนเป็นโจร เพราะสองคนนี่ใส่ชุดดำอำพรางสวมหมวกไหมพรมปิดหน้าปิดตาอีกต่างหาก พอดีสายตรวจมาเห็นเข้าก็คุมตัวไปสอบปากคำ สองคนนั่นพูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอย คนหนึ่งบอกเห็นผี แต่อีกคนบอกเห็นงูหลายหัว ตำรวจเลยควบคุมตัวไว้ รอเจ้าทุกข์ร้องเรียนและลงบันทึก”
พูดจบ ปานเลขาขยับเข้ามากุมมือเพื่อนรัก ขณะพูดเสียงเครือ “อุ้ม ฉันกลัวมากเลยรู้มั้ย กลัวพวกนั้นจะทำร้ายเธอ”
ปานเลขาไม่ได้เล่าต่อว่าทันทีที่ได้รับแจ้งตนแทบทนรอไม่ไหว อยากจะขับรถกลับมาเสียตั้งแต่เมื่อคืน แต่หนทางก็แสนอันตราย อีกทั้งตำรวจบอกควบคุมตัวโจรสองนายไว้แล้ว เธอจึงคลายใจและรอจนกระทั่งตีห้า รีบเร่งเก็บงานและเดินทางกลับโดยมีชัชพิมุขเป็นผู้ขับ เธอรู้ว่าดาราหนุ่มเป็นห่วงแม่เพื่อนดาราหวานใจเสียหนักหนาถึงขนาดจะเข้ามาปลอบขวัญ แต่เธอจำเป็นต้องห้ามเขาไว้เพราะไม่อยากให้เพื่อนสาวตกเป็นข่าว ที่ตำรวจมาบ้านอยู่นี้ก็ไม่รู้จะหลบหลีกนักข่าวตาไวหูไวได้แค่ไหน
“ขอบใจนะกระติ๊บเธอดีกับฉันที่สุดเลย แล้วนี่ตำรวจคงรอแย่แล้ว เดี๋ยวฉันอาบน้ำแต่งตัวจะรีบลงไป วันนี้ต้องออกเดินทางพร้อมกองถ่ายด้วย”
“จริงสิ ดีเลยจะได้หลบนักข่าวด้วย อีกอย่างฉันจะได้เตรียมตัวไปพร้อมเธอ แต่เดี๋ยวโทรบอกความคืบหน้าให้คู่จิ้นของเธอรู้ก่อนไม่งั้นคงกระวนกระวายไม่เป็นอันอยู่ โผล่มาตอนนี้ยุ่งเข้าไปอีก เธอเตรียมตัวเถอะฉันจะลงไปรอข้างล่าง”
อุรัสยาส่งยิ้ม นึกขอบคุณในความเอาใส่ใจของเพื่อน ไม่ว่าใครคนใดที่ใกล้ชิดเธอ ปานเลขามักจะให้การดูแลอย่างดี ทำให้เธอรู้สึกตลอดเวลาว่าเพื่อนของเธอคนนี้เป็นตัวแทนของเธอได้ทุกเรื่อง เพราะได้รับการต้อนรับจากทุกคนไม่ต่างกัน
เช่นบางเวลาที่เธอป่วยไข้ไม่สามารถเข้าฉากได้ ถ้าเป็นฉากใหญ่ก็ต้องมีการเลื่อนด้วยการตัดฉากของเธอไปก่อน แต่ถ้าเป็นฉากย่อยที่ต้องเก็บมุมใหม่ในบางฉากโดยไม่จำเป็นต้องเห็นใบหน้าของเธอ ทางผู้กำกับก็ไม่ปฏิเสธที่จะให้ปานเลขาเข้าฉากแทน การแสดงของปานเลขาไม่ค่อยติดขัดมากนัก เป็นผลจากการเป็นผู้จัดการส่วนตัวต้องดูแลเธอในบทบาทของดารามาโดยตลอด ทำให้ปานเลขาซึมซับทักษะการแสดงไปในตัว ซึ่งถือเป็นเรื่องดี
อุรัสยาอาบน้ำแต่งตัวเพียงชั่วครู่ วันนี้เธอเลือกใส่ชุดเสื้อยืดกางเกงยีนทะมัดทะแมงเพื่อการเดินทาง จากนั้นลงมาเตรียมพร้อมกับการให้ปากคำต่อตำรวจสองนายซึ่งนั่งรออยู่ยังโต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบหกที่นั่ง เบื้องหน้าพวกเขานอกจากกาแฟคนละถ้วยด้านข้างยังมีแฟ้มงานอีกปึกหนึ่ง ในขณะที่เธอเดินมาถึงปานเลขาก็ลุกชี้ชวนให้เธอนั่งลงข้างกัน และในจังหวะที่นายตำรวจสองนายกำลังกล่าวแนะนำตัว เขาทั้งสองก็ต้องลุกพรวดขึ้นเมื่อมีอีกบุคคลหนึ่งเดินเข้ามา
“ผู้กองมาพอดี” คำกล่าวจากตำรวจหนึ่งในสองนาย
“ผมเพิ่งออกจากเวร พวกคุณทำงานกันต่อเถอะ ผมขอร่วมฟังงานนี้เท่านั้น” ผู้กองภาวินกล่าวอย่างเป็นทางการ เขาไม่ลืมก้มศีรษะทักทายปานเลขา และเงยขึ้นส่งยิ้มทักทายเธอ
“ทำตัวตามสบายนะอุ้ม เมื่อคืนพี่ติดต่ออุ้มไม่ได้ ดีนะครับที่อุ้มทิ้งเบอร์คุณกระติ๊บไว้ ไม่งั้นไม่รู้จะติดต่อกันยังไง เพราะไม่รู้ว่าอุ้มอยู่ในบ้านหรือเปล่าเห็นว่ากดกริ่งตั้งนานบ้านก็ยังเงียบสนิท”
“ขอโทษค่ะพี่ภาวิน อุ้มหลับเป็นตายเลย” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าเอียงอาย เพราะถึงขนาดกระหน่ำกดเรียกเธอแบบนั้น เธอก็ยังหลับไม่ตื่น
“นอนอย่างนี้ไฟไหม้จะรู้ไหมเนี่ย ฉันว่าเธอเริ่มพกโทรศัพท์ไว้ให้ฉันคอยกดหาดีกว่า เคราะห์ร้ายจะได้เตือนกันทัน” คนอดไม่ได้ รีบเสนอแนะตัวช่วยให้เพื่อนทันที
“แหม กระติ๊บ เหนื่อยและเพลียมากก็หลับอย่างนี้ทุกคน” อุรัสยาแย้งเพื่อน แต่ยังไม่วายหลบสายตาด้วยอายต่อข้อแก้ต่างของตัวเอง
“เอาเถอะ ตอนนี้คุณตำรวจรอบันทึกปากคำอยู่ เสร็จเรื่องแล้วจะได้รีบออกเดินทาง ก่อนพวกนักข่าวจะแห่กันมาเต็มหน้าบ้าน ยิ่งมหาชนยิ่งแล้วใหญ่ถึงขั้นปิดถนนกันเชียวนะเธอ อย่าลืมตำแหน่งขวัญใจมหาชนของเธอเสียล่ะ” ปานเลขารีบตัดบท เพราะอยากเร่งรีบให้เพื่อนสาวได้หลบหลีกนักข่าวไว ๆ ตัวเธอเองก็ต้องรีบไปแจ้งงานที่สถานีเพื่อจะขอเดินทางพร้อมกันในวันนี้ ไหนจะพระเอกหนุ่มที่เธอต้องดูแลอีก นั่นก็ยุ่งชะมัด ตั้งท่าจะตามเพื่อนเธอท่าเดียว ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าตัวเองเป็นดาราขวัญใจสาว ๆ เหมือนกัน มาตามติดดาราสาวขวัญใจด้วยกัน เพิ่มดีกรีข่าวคู่จิ้นเนียน ๆ เข้าไปอีก
ก็อย่างว่า เพื่อนสาวของเธอคนนี้สวยไม่พอยังดูอ่อนวัยกว่าอายุจริง ตัวเธอเองยังรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงทางรูปกาย แต่ดาราเพื่อนรักกลับตรงกันข้าม เหมือนความสาวเจ้าหล่อนสวนกระแสกาลเวลา  ไม่เป็นไปตามวัยอย่างที่ควรเป็น ดูสิ ทั่วสรรพางค์กายของสาวอายุยี่สิบห้าแต่กลับมีผิวพรรณเปล่งปลั่งลออตาดุจดรุณีรุ่นสิบเจ็ดสิบแปด
ทว่าผู้จัดการส่วนตัวสาวก็ประมาณความเป็นไปได้ว่า เพื่อนรักเป็นดาราจึงได้เข้าคอร์สบำรุงผิวพรรณอยู่เนือง ๆจึงทำให้ดูเด็กกว่าอายุจริง
รำพึงรำพันในใจจบ สายตาเฉียบคมของผู้จัดการสาวชำเลืองไปทางนายตำรวจหนุ่ม ซึ่งกำลังตั้งอกตั้งใจฟังคำให้การของเพื่อนเธอ คราวนี้ยิ่งถอนใจลึกเร้นเข้าไปใหญ่ เพราะนี่ก็ตัวปัญหาอีกคน
อุรัสยาบอกตำรวจไม่ถูกว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น จำได้แค่ยืนชื่นชมถ้อยรางวัลเสร็จก็เข้านอน ไม่ได้รับรู้สิ่งผิดปกติ ซึ่งเธอไม่ได้เล่าต่อว่าลืมตาขึ้นมาพบชายแปลกหน้า อาจเรียกชายแปลกประหลาดอีกประการ เพราะสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตามันเหลือเชื่อเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟัง โดยเฉพาะผู้ชายคนนั้นหายตัวได้ ลืมไป กลายเป็นงูให้เห็นก่อนต่างหาก มันทำให้เธอฉงนสนเท่ห์กับภาพที่เห็นนั้นมันนิมิตฝันหรือเรื่องจริง
คิดไม่ตกกับคำตอบ อุรัสยาจึงอุปาทานว่าตนได้รับบทบาทตัวละครเป็นพญานาคี จึงเก็บภาพงูใหญ่มาฝันเป็นตุเป็นตะเสียมากกว่า คิดว่าลืม ๆ มันไปไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟัง  เดี๋ยวเขาจะหาว่าเธอให้ปากคำไม่อยู่กับร่องกับรอยเหมือนโจรสองคนนั้นอีก
การสอบปากคำจบลงอย่างรวดเร็ว เพราะทุกคำตอบแสดงให้เห็นว่าดาราสาวไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตบ้านของตนเลย ทางตำรวจจึงได้แต่ลงบันทึกในความเห็นว่าดาราสาวนอนหลับสนิทจริง ๆ
เสร็จสิ้นคดีโจรขึ้นบ้านแล้ว ภาวินขอตัวกลับไปพร้อมกับตำรวจสองนาย ก่อนไปเขาขอให้เธอดูแลตัวเองดี ๆ และให้สัญญาว่าจะคอยปกป้องเธอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ซึ่งถ้อยคำของนายตำรวจหนุ่มไม่พ้นทำให้ปานเลขาเกิดอาการคลื่นไส้ เพื่อนสาวของเธอกระซิบบอกว่านายตำรวจหนุ่มมีแววเจ้าชู คงชอบที่จะแจกขนมหวาน ๆ กับสาว ๆ ไปทั่ว และไม่วายหันมากำชับกำชาให้เธอระวังอย่าหลงลมปากของเขาเป็นอันขาด

อุรัสยาเดินทางมาถึงสถานที่ทำงานก่อนใคร ๆ  เพราะปานเลขาให้เหตุผลว่าต้องการหลบนักข่าว เธอและเพื่อนสาวจึงต้องหอบสังขารมากินอาหารเช้ากันที่ทำงาน ระหว่างนั้นเธอชำเลืองหาใครสักคนซึ่งปานเลขาเดาใจว่าเธอมองหาใครอยู่ จึงสารภาพว่าตนเตือนดาราหนุ่มอยู่ห่างไว้ ถ้าอยากคุยอะไรค่อยไปคุยกันที่บึงกาฬ มิน่าเธอจึงมองไม่เห็นแม้เงาของเขา พลางนึกชมเพื่อนสาวที่เหมาะสมตำแหน่งผู้จัดการส่วนตัวดาราจริงเชียว
“ฉันยังไม่รู้เลยกระติ๊บว่านายทุนคนนี้ชื่ออะไร” อุรัสยาลืมคำถามนี้นานแล้ว จู่ ๆ นึกขึ้นได้ หลังจากคุยรอเวลาเดินทางกันเกือบสองชั่วโมง
“ฉันไม่รู้เหมือนกัน เห็นผู้ใหญ่ใช้คำว่าท่านแทนตัว พวกเราก็เลยเรียกท่านตาม ๆ กัน ที่มีรู้ก็แค่ชื่อโรงแรม”
“ชื่อโรงแรมอะไร?” ใบหน้าสวย ๆ ของดาราสาวเจิดจรัสเบิกบานผสมผสานความสนใจใคร่รู้ไปในตัว แต่ขณะเดียวกันก็ม่อยลงกับน้ำเสียงของหญิงสาวอีกคนที่ดังแทรกขึ้นมา
“นครนาคา”
ทั้งเธอและปานเลขาต่างหันขวับไปมองต้นเสียงพร้อมกัน ในตอนนั้นเธอได้ยินเสียงแม่เพื่อนสาวร้องถามออกไป ด้วยน้ำเสียงคล้ายว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์
“คุณเมย์ นี่อย่าบอกนะว่าคุณได้ร่วมงานนี้”
“ละครเรื่องนี้ผู้ใหญ่ให้ความสำคัญ จะไม่มีนักแสดงมืออาชีพอย่างฉันได้ยังไง” เมธิตาหลิ่วตาให้คู่ปรับสาว ก่อนจะคิดไปว่า กว่าเธอจะได้สับเปลี่ยนบทกับนักแสดงผู้ได้รับการคัดเลือก เธอต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปหลายยก แต่การลงทุนน่าจะคุ้ม เพราะเท่าที่ฟัง ๆ มา นายทุนคนนี้มีอิทธิพลกับผู้บริหารสถานีอยู่พอสมควร ฉะนั้นการได้ร่วมงานและร่วมเดินทางไปใกล้ชิดสนิทสนมกับนายทุน ที่ทุกคนแทนตัวเขาว่า ท่าน ก็น่าจะดีกว่าคอยเป็นที่ระบายอารมณ์ของผู้บริหารหื่น
เมธิตาคิดกระหยิ่มใจ ถ้างานนี้เธอได้ท่านนายทุนมาเป็นน้ำเลี้ยง เธอจะเล่นตัวงานอื่น ๆ เพื่อเรียกค่าตัวแพง ๆ เสียให้เข็ด
“เซ็ง!” ปานเลขาบ่นพร้อมทอดถอนใจ ไม่เกรงใจคนฟังที่จีบปากจีบคอพูดโต้กลับมา
“โอ้ยแม่คุณ ถ้าไม่อยากร่วมงานกับฉัน ก็ขอถอนตัวสิ”
โดนท้ามาแบบนี้ผู้จัดการส่วนตัวสาวห้าวหาญไม่กลัวใครอย่างปานเลขา ก็แกล้งจีบปากจีบคอยอกย้อนกลับไปบ้าง
“อยากถอนจะแย่ แต่ท่านนายทุนดันระบุมาเป็นตัวเต็ง ยังบอกอีกว่าตัวละครอื่นจะเป็นใครก็ช่าง แต่นาคีสาวพราวเสน่ห์เขาเลือกคนเดียวคืออุรัสยา แย่จริง  มันถอนตัวไม่ได้ฮ่า..”
ปานเลขายังแถมท้ายด้วยเสียงหัวเราะยียวนกวนประสาท จนอีกฝ่ายทนไม่ได้สะบัดหน้าขึ้นสีเลือดเดินฮึดฮัดจากไป อุรัสยาเห็นว่าคู่พิพาททิ้งห่างแล้ว เธอจึงหันมาสะกิดเพื่อนที่หัวเราะค้างให้ระงับสติอารมณ์
“พอแล้วกระติ๊บ แค่นี้เขาก็ไม่ต้องใช้บลัชออนแล้วล่ะ ดูสิ แก้มแดงยังกะตูดลิง”
“ฮ่า..ช่างเปรียบ เธอก็ร้ายไม่หนักไม่เบาไปกว่าฉันหรอก” ปานเลขาตบหัวไหล่ของเพื่อนเบา ๆ อย่างถูกอกถูกใจ
อุรัสยาพลอยหัวเราะไปกับเพื่อนด้วย จังหวะเดียวกันเธอสังเกตเห็นพนักงานเริ่มขนสัมภาระมากอง คงรวบรวมเตรียมขึ้นรถตู้ของทางสถานีกันแล้ว แต่เธอยังไม่เห็นรถตู้ขับมาจอดรอรับสักคัน เธอเอ่ยถามเพื่อน
“ตกลงกำหนดเวลาการเดินทางของเรากี่โมงกันเนี่ย”
“เก้าโมง อีกสิบนาทีคงมาถึง” ปานเลขาตอบเสียงเรียบ ไม่ได้ยีหระกับการรอคอย
“หมายความว่ายังไงคงมาถึง” ดาราสาวเลิกคิ้วฉงน
..รถตู้ของสถานีจอดอยู่ในอู่ใต้ตึก จะต้องใช้คำว่าคงมาถึงเหมือนรถวิ่งมาจากที่ไกลทำไมกัน?
“ทางท่านนายทุนเขาจะส่งรถมารับเอง เรื่องนี้ฉันรู้มาพร้อมชื่อโรงแรมของเขานั่นล่ะ ฉันเห็นว่ามันไม่ได้สำคัญอะไร ก็เลยไม่ได้บอกเล่าให้เธอฟัง เพราะใจจริงแล้วฉันอยากขับรถส่วนตัวไปเองมากกว่า เธอจะได้สะดวกมากกว่าปล่อยดาราดังอย่างเธอนั่งรถรวม ๆ กันไป”
“เรื่องนี้ฉันไม่ถือหรอก แต่จะว่าไปท่านคนนี้ลงทุนเยอะนะ ขนาดการเดินทางยังมีรถมารับถึงที่”
ผ่านไปไม่ถึงสิบนาที รถที่รอคอยก็มาถึง ซึ่งรถที่ทางนายทุนจัดมารับเป็นรถทัวร์สองชั้นระดับวีไอพี พนักงานต่างฮือฮากับความทันสมัยเมื่อได้เข้าไปนั่งข้างใน ชั้นแรกจะเป็นของพนักงานในกองถ่าย ส่วนชั้นสองจะเป็นที่นั่งของนักแสดงและผู้กำกับ เธอนั่งคู่กับกระติ๊บในเก้าอี้แถวหน้า ถัดมาเป็นผู้กำกับ หลังไปนั้นจัดส่วนให้เมธิตาผู้เฉิดฉายตลอด เพราะเจ้าหล่อนเติมแป้งทาปากทุกหนึ่งชั่วโมง ด้านหลังดาวร้ายสาวคือส่วนของชัชพิมุข ซึ่งเขานั่งเงียบมาตลอดทาง นั่นเพราะกระติ๊บสั่งให้อยู่ห่างกันจนกว่าจะถึงโรงแรมที่พัก ซึ่งมันจะได้ไม่เป็นที่จับตาของคนในกองถ่ายที่ไม่รู้ว่าใครเป็นเหยี่ยวคอยฉกข่าวไปขายให้กับปาปารัสซี่บ้าง
ทีมกองถ่ายพร้อมนักแสดงขึ้นนั่งเบาะตามที่เจ้าหน้าที่ได้จัดให้เสร็จแล้ว รถทัวร์ก็เคลื่อนตัวออกจากตึกทำการของสถานีโทรทัศน์ ในขณะรถเคลื่อนไปบนท้องถนนอุรัสยารู้สึกว่ารถขับเคลื่อนนิ่มนวลไม่มีการกระเทือนแม้แต่น้อย เหมือนลอยบนพื้นถนนมากกว่าแล่นไปตามทางธรรมดา
ผ่านไปเก้าชั่วโมงรถทัวร์แล่นเข้าสู่เขตหนองคาย อุรัสยารู้สึกว่าเมืองนี้เหมือนเมืองพญานาค สังเกตจากป้ายจังหวัดที่โค้งเหนือถนนมีสัตว์กึ่งเทพที่ชาวบ้านให้ความนับถือทอดตัวตามความยาวอยู่บนนั้น เลยเข้ามาก็เห็นสิ่งนี้มากมายหลายจุด ทั้งสิ่งปลูกสร้างทางศาสนา ป้ายถนน แล้วยังมีธรรมชาติพื้นถิ่นที่เต็มไปด้วยความพิศวงให้เห็นเต็มไปหมด จึงดูเหมือนสถานที่ของพญานาคมากกว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์
เวลาหัวค่ำ สิบชั่วโมงกับการเดินทางเข้าสู่เขตบึงกาฬจังหวัดสุดขอบแม่น้ำโขง สีทึมเทาโรยตัวไปทั่วบริเวณ รถยังคงแล่นฉิวด้วยชำนาญทาง หักเลี้ยวออกเส้นทางหลัก มุ่งเข้าเส้นทางแคบ ๆ  จนในที่สุดมาถึงจุดหมายด้วยผ่านประตูทรงโค้งมีรูปปั้นพญานาคสามเศียรขนดอยู่บนเสาต้นสองข้าง มาจอดบนลานด้านหน้าอาคารสามชั้น บนป้ายมีสัญลักษณ์พญานาคอยู่เคียงข้างชื่อโรงแรม นครนาคา
ทุกคนต้องตื่นตะลึงแน่ กับทัศนียภาพโดยรอบในเขตนครนาคา เพราะแม้จะเห็นสิ่งต่าง ๆ เป็นเงาตะคุ่ม แต่ก้อนหินสีดำทะมึนขนาดใหญ่เรียงรายไปตามริมทางท่ามกลางไม้ยืนต้นที่มีใบลักษณะแปลก ๆ ดึงความตื่นตาตื่นใจทุกคนได้ดี ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่ได้เห็นผ่านมาตลอดเส้นทาง รวมทั้งสัญลักษณ์พญานาคที่มีอยู่เต็มนคร ทำให้ต่างลงความเห็นว่านครแห่งนี้เสมือนเมืองพญานาคจริง ๆ 
 
 ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
 
 

ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก  คิดค่าส่ง 40 (พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
เช่น นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้ จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
สรุปยอดโอนลูกค้า 200 + 40 = 240 บาท หลังจากร้านได้รับหนังสือคืนแล้วจะโอนคืนให้ในยอด 200-20= 180 บาท
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น