นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่อง เสน่หานาคี
อุรัสยาไม่อยากให้มีคำถามที่เธอไม่สามารถหาคำตอบได้เกิดขึ้น
จึงลงมือทำความสะอาดพื้นที่เปรอะเปื้อน ยังดีที่นอนยังไม่เลอะมาก ปัดเพียงนิดคราบดินก็หายหมดเกลี้ยง
จากนั้นเกรงว่าเพื่อนสาวจะรอนาน เธอจึงใช้เวลาไม่มากในการอาบน้ำแต่งตัว
ช่วงเวลาเหล่านั้นเธอได้ขบคิดถึงเรื่องราวต่าง
ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาให้เห็นเป็นฉาก ๆ ซึ่งคงเป็นฝีมือของนายทุนนาคราชนั่นล่ะที่กำหนดให้เธอได้เห็น
แต่อะไรก็ไม่ติดใจเท่าตัวละครทุกตัวที่โผล่มาแต่ละครั้ง ล้วนเป็นตัวละครที่มีใบหน้าเหมือนคนใกล้ชิดไม่ว่าจะเป็นชัชพิมุข ผู้กองภาวิน หรือแม้แต่ตัวเธอเอง นี่ก็เหลือแต่ปานเลขาว่าจะเป็นหนึ่งในตัวละครเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า
คิดถึงเพื่อน
เพื่อนก็มา ปานเลขาคงคำนวณเวลาการแต่งตัวของเธอจนชิน
เสียงเคาะประตูทำให้ร่างสูงหุ่นระหงในชุดกระโปรงผ้าพลิ้วลายดอกไม้สีชมพูอ่อน ๆ รีบเดินไปเปิด
เพื่อนของเธอยังคงสวมชุดเสื้อเชิ้ตสีสดใสพับแขนตรงข้อศอกเข้าคู่กับกางเกงยีนส์เตรียมพร้อมกับการทำงานอยู่เสมอ
แม้จะมีโอกาสพักผ่อนเพื่อเตรียมงานสองวันก็ตามที
ดาราสาวเบี่ยงตัวหลบเพื่อนที่พอประตูเปิด
ก็ผลุบเข้ามาข้างในอย่างรีบร้อน
“มีอะไรหรือกระติ๊บ
ดูเธอร้อนรนชอบกล” ได้มานั่งด้วยกันภายในห้องแล้ว อุรัสยาจึงเอ่ยถาม ด้วยเห็นท่าทางกระวนกระวายใจของอีกฝ่าย
ทำให้คาดเดาว่าเรื่องที่เธอกำลังจะรับรู้ต้องเป็นเรื่องที่ไม่สู้จะดีนัก
ซึ่งไม่กี่นาทีจากนั้น เธอก็ได้รับคำบอกเล่าถึงสิ่งที่เธอได้คาดเดาถูกต้อง
“ก็เรื่องโจรสองคนนะสิ
เมื่อคืนผู้กองภาวินโทรมาจะขอคุยกับเธอให้ได้ แต่ฉันบอกเธอนอนหลับแล้ว
คุยกับฉันได้ เขาบอกผลการสอบสวนว่าโจรนั่นถูกว่าจ้างมา
แล้วคนที่ว่าจ้างพวกมันเป็นคนเล่นของจำพวกหมองู ชื่ออาจารย์อาคม”
ปานเลขามองอาการพิศวงแกมตื่นตระหนกของเพื่อน แต่ไม่ปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายซักถาม ด่วนเล่าต่อให้จบ
“ตำรวจถามถึงที่อยู่คนว่าจ้างว่าอยู่แถวไหนก็ตามไปจับกุม
แต่พอไปถึงบ้านที่เปิดเป็นตำหนักปิดเงียบ ถามชาวบ้านละแวกนั้นได้รับคำตอบว่าหมองูหายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
คงจะรู้ว่าเจ้าสองคนนั่นทำงานพลาดเลยรีบหนี
เดี๋ยว ฉันขอเล่าให้จบก่อน” คำท้ายปานเลขาหยุดหายใจ แต่ยังห้ามเพื่อนให้เงียบรอฟังตนเล่าให้จบ
เพราะเก็บกลั้นมาตั้งแต่เมื่อคืนยันเช้า อกแทบระเบิด
“ผู้กองภาวินกลัวว่าหมองูจะเดินทางมาที่นี่
เขาก็เลยขอตามคดีนี้เอง วันนี้ท่าจะมาถึงเย็น ๆ” เล่าจบเสียงถอนหายใจยาวดังขึ้น บ่งบอกว่าแม้จะถ่ายทอดคำพูดไปหมดแต่ก็ยังไม่คลายวุ่นวายใจอยู่ดี
“แล้วฉันไปเกี่ยวข้องกับพวกหมองูพวกนี้ได้ยังไง?”
นี่คือสิ่งแรกที่อุรัสยารอจังหวะเอ่ยถาม หลังจากตั้งตาฟังเพื่อนเล่าเรื่องจนจบ
“ฉันเองยังงง เราไม่เคยเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้
แต่กลับมีการว่าจ้างมาทำร้ายเธอถึงในบ้าน ฉันแปลกใจไม่ต่างจากเธอ
แล้วก็กลัวแทนเธอมากด้วย ดีนะที่ผู้กองรับทำคดีเอง ยังแถมเดินทางมาเพื่อปกป้องเธอถึงที่นี่
พอจะให้อุ่นใจขึ้นบ้าง”
‘เกิดอะไรขึ้นกับเธอ
ช่วงนี้ถึงมีเหตุการณ์แปลก ๆ เกิดขึ้นกับเธอเสมอ’
อุรัสยาลอบมองสีหน้ากังวลของเพื่อนสาวพลางคิดว่าเก็บเรื่องชั้นใต้ดินนั่นเอาไว้
อย่าให้ปานเลขารู้ดีกว่า เพราะแค่เรื่องหมองู เพื่อนของเธอก็เครียดจะแย่แล้ว
รู้เรื่องถ้ำงูอีกคงไม่เป็นอันทำอะไรพอดี
ทว่าท่ามกลางเรื่องราวร้าย ๆ
ดาราสาวก็กลับมองเห็นทัศนคติเปลี่ยนไปในทางที่ดีของเพื่อนที่มีต่อผู้กองหนุ่ม
ซึ่งเหมือนอีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดของเธอจึงรีบอธิบายเป็นพัลวัน
“ผู้กองเป็นห่วงเธอมาก เขาติดต่อขอพักที่นี่แต่ทางโรงแรมบอกยังไม่เปิดรับคนเข้าพักเป็นทางการ
เขาจึงต้องโทรจองห้องพักในเมือง ผู้กองคนนี้ฉันดูออกว่าเขาห่วงใยเธอจริง ๆ
ไม่ใช่แค่ว่าอยากจีบ ฉันรู้สึกแบบนั้นก็เลยมองเขาในแง่ดีขึ้น ก็เท่านั้นแหละย่ะ
เลิกมองเป็นคำถามเสียที”
อุรัสยายิ้มตอบสายตาค้อนขวับของเพื่อน เธอเชื่อมั่นในสายตาอ่านคนของปานเลขา
จึงยินยอมให้เพื่อนสนิทที่สุดของเธอคนนี้
คัดกรองผู้ที่จะเข้ามาในวงจรชีวิตของเธอด้วยความยินดี
“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย
แค่รู้สึกดีใจที่เขาทำให้เธอมองเห็นในแง่ดีได้” อุรัสยาตัดสินใจไม่เล่าเรื่องที่เธอลงไปพบเจออะไรมาเมื่อคืน
เพราะห่วงว่าเพื่อนจะเกิดอาการกลัว ‘ยิ่งเครียดเรื่องหมองู
ถ้ายังเพิ่มเรื่องถ้ำงูคงแย่เข้าไปอีก เงียบไว้ดีกว่า’
หญิงสาวเพียงส่งยิ้มอ่อน ๆ ขอบคุณความรักความห่วงใยที่เพื่อนมีต่อเธอ
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตีความเป็นอย่างอื่นเสีย
“ยิ้มอะไร อย่าบอกนะว่าดีใจที่ผู้กองเดินทางมา
ไม่กลัวรถไฟชนกันหรือยังไง”
“ฮื่อ..เธอคิดไปเอง ทั้งเรื่องธัชและผู้กอง
สองคนนี้เป็นเพื่อนฉันเท่านั้น ไม่มีลึกซึ้งกว่านี้ ฉันคบพวกเขาในฐานะเพื่อนด้วยความจริงใจ” อุรัสยาส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนจะยิ้มยียวนเมื่อยอกย้อนอีกฝ่าย
“แต่เธอสิ คิดต่างหรือเปล่า
รู้นะยอมดูแลเขาเพราะอยากใกล้ชิดกับเขา ใช่ไหมล่า...”
หญิงสาวแกล้งลากเสียงยานคางหยอกล้อเพื่อน
เพราะเธอรู้ว่าภายใต้อากัปกิริยาไม่ชอบหน้า ปานเลขาแอบปลื้มดาราหนุ่ม
“ยัยอุ้ม จู่ ๆ มาพาฉันออกนอกประเด็นได้ไง
ฉันยิ่งกลุ้มเรื่องคนที่จ้องทำร้ายเธออยู่นะ”
ปานเลขาเลือกที่จะดึงอารมณ์ความรู้สึกกังวลกลับมากลบเกลื่อนความอาย
ที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา ชนิดที่ว่าดิ้นไม่หลุดมือเลยทีเดียว
ฟังถ้อยคำว่ากลุ้มของเพื่อนสาวแล้ว อุรัสยาพบว่าตัวเธอไม่ค่อยกังวลเรื่องโจรคนร้ายสักเท่าไร
อาจเพราะมีเรื่องนาคราชนาคินทร์เข้ามาเกาะกินใจ
และให้เธอต้องคอยขบคิดเรื่องของเขาอยู่
จึงไม่มีความรู้สึกต่อสิ่งอื่นมาแผ้วพานเวลานี้
ซึ่งต่างจากปานเลขา ทั้งเจ้าตัวบอกอุ่นใจที่จะมีตำรวจตามมาดูแลเธอ
แต่ยังไม่วายกลุ้มอกกลุ้มใจ จนเธออดไม่ได้ที่จะถามเรื่องราวสืบสวนต่อจากนั้น
“งั้นเล่าต่อสิ ผู้กองติดตามคดีต่อไปยังไง”
“ให้ลูกน้องคนหนึ่งตามสืบประวัติ
ส่วนตัวผู้กองเดินทางมาเพื่อตั้งหลักรอจับอยู่ที่นี่
เพราะเขามั่นใจว่าหมองูนั่นต้องตามเธอมา”
“อะไรทำให้เขาแน่ใจอย่างนั้น?”
ดาราสาวเลิกคิ้วพิศวง ในเมื่อเธอไม่เคยมีศัตรูที่ไหนโดยเฉพาะพวกเล่นวิชาอาคม ยิ่งเป็นเรื่องแปลกอัศจรรย์เข้าไปใหญ่
“คำให้การของสองโจรนั่นนะสิ
มันบอกว่าอาจารย์อาคมคนนี้เหมือนมีเป้าหมายบางอย่างกับตัวเธอ ..” ปานเลขาอึกอักตั้งใจหยุดเรียบเรียงความคิด
แต่ก็ถูกอีกฝ่ายคะยั้นคะยอ
“เล่าต่อเร็ว อย่ามาค้างคาให้ต่อมอยากรู้ของฉันทำงานหนัก”
“โดยเฉพาะสิ่งที่ติดตัวเธอมา เป็นลูกแก้วกลม ๆ
ซึ่งมันก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกแก้วอะไร”
“หมายความว่าสองคนนั้นถูกว่าจ้างมาให้ค้นหาลูกแก้วอะไรสักอย่าง
ที่มันคิดว่าอยู่กับฉันหรือกระติ๊บ?”
“ใช่ พอตำรวจถามมากเข้า พวกมันปฏิเสธว่าไม่รู้แล้ว
ถูกว่าจ้างด้วยเงินจะให้ทำอะไรมันก็ทำแค่นั้น ยังดีนะที่ยังไม่ทันค้นตัวเธอ
มันเกิดเห็นงูผีอะไรไม่รู้โผล่มาเสียก่อน
เลยเผ่นไม่คิดชีวิตจนปีนตกกำแพงลงมาให้โดนตำรวจจับนั่นแหละ ฉันยังนึกขอบคุณสิ่งที่พวกมันเห็น เพราะถ้าไม่โผล่มาได้จังหวะเธอคงถูกมันจัดการแน่”
“ใช่ ถ้าไม่ได้..”
อุรัสยาตั้งสติได้ทันก่อนจะเผลอเอ่ยนามผู้นั้นออกมา “ตัวอะไรที่ทำให้สองโจรนั่นกลัวจนเผ่น
ฉันคงถูกพวกมันทำร้าย ฉันต้องขอบคุณ..” หญิงสาวกล่าวขอบคุณภายในใจขณะชำเลืองไปที่กรอบรูปบนหัวเตียง
เพื่อขอบคุณ..ท่าน แต่ต้องรีบเบนสายตากลับมามองเพื่อน
เมื่อได้ยินเสียงอุทาน
“อุ้ย อุ้ม!”
“อะไรอีกกระติ๊บ แล้วมายืนจ้องตาฉันทำไม?”
อุรัสยาอุทานขึ้นบ้าง เมื่อปานเลขาทำสีหน้าตื่น ๆ พร้อมกับลุกขึ้นมาจับบ่า
เพื่อมองสบตากันตรง ๆ
“ก็เมื่อกี้ฉันเห็นตาเธอเป็นสีเขียว
เป็นแบบประกายสีเขียวมรกตเชียวนะ” ปานเลขาจำได้ว่าเธอมองดวงตาสวยหวานของเพื่อนสาวขณะอีกฝ่ายชำเลืองไปทางหัวเตียงอยู่ดีๆ
จู่ ๆ ดวงตาที่มีแววหวานกลับเปล่งประกายสีเขียว แม้เพียงชั่วแวบเดียว
แต่มันดึงความสนใจให้เธอต้องลุกมาดูให้แน่ใจ ซึ่งดวงตาสวยงามตามปกติที่เธอเห็นอยู่นี้ทำให้เธอเชื่อว่าตัวเองตาฝาดไปจริง
ๆ
“ฉันตาฝาดไปเอง เห็นตาเธอเป็นสีเขียว ดูดี ๆ
ก็ไม่มีอะไร” ปานเลขาถอนหายใจแล้วถอยกลับไปนั่งลงเก้าอี้เหมือนเดิม ยกมือขึ้นกุมขมับพลางกล่าวอย่างลุแก่โทษ
“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ พักนี้มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นกับเธออยู่บ่อย ๆ
ฉันเลยอดห่วงไม่ได้ อย่ารำคาญฉันเลยนะอุ้ม”
อุรัสยาดึงมือเพื่อนออกจากขมับเพื่อมากุมปลอบโยน
“โธ่ ฉันสิต้องเป็นฝ่ายขอบคุณเธอ
ขอบคุณนะกระติ๊บที่ห่วงใยฉันมาตลอด
แต่ฉันจะรู้สึกผิดมากถ้าทำให้เธอต้องเครียดเพราะเรื่องของฉัน ฉันอยากให้เธอพักผ่อนมากกว่า อะไรปล่อยวางได้ก็ปล่อยเถอะกระติ๊บ เพราะถ้าอะไรมันจะเกิดเราก็ห้ามลิขิตไม่ได้”
“เธอพูดเหมือนรู้ว่าจะเกิดอะไรกับตัวเองงั้นแหละ
แต่..เออ.. ฉันจะเชื่อเธอ อย่างน้อยเราก็มีกันอยู่สองคน ไม่เชื่อเธอจะเชื่อใคร”
ปานเลขาพลิกมาตบหลังมือเพื่อนเบา ๆ บุคลิกมาดมั่นตามปกติเหมือนถูกเรียกกลับมาขณะลุกขึ้นกล่าว
“ฉันหมดเรื่องพูดแล้ว เราลงไปห้องอาหารดีกว่า ป่านนี้คุณธัชคงชะเง้อคอยาวมองหาเธอแย่”
อุรัสยาดูออกว่าเพื่อนสาวของเธอเพียงปั้นบุคลิกสาวมั่น
เพื่อตัดบทสนทนามากกว่าจะยึดถือคำเตือนของเธอจริงจัง หญิงสาวจึงได้แต่ปรารภภายในใจ
‘เรื่องหมองูยังทำกระติ๊บเครียดได้ขนาดนี้ ถ้ารู้สิ่งที่เธอเผชิญในชั้นล่างสุด
จะเครียดหนักขนาดไหน’
ภายในห้องอาหารที่เปิดให้บริการช่วงเช้าเจ็ดโมงครึ่ง
ตามโต๊ะมีลูกทีมและเจ้าหน้าที่ในกองถ่ายนั่งจับกลุ่มสนทนาพร้อมรับประทานอาหารเช้ากันอยู่แล้ว
อุรัสยากับปานเลขาผ่านประตูเข้ามาหยุดยืนหาที่นั่งสักครู่
แต่พอเห็นดาราหนุ่มโบกไม้โบกมือให้มานั่งด้วยกัน พวกเธอจึงเดินไปหา
“ได้เจอกันซะทีนะครับอุ้ม ถูกกีดกันอยู่นาน” ชัชพิมุขเปิดฉากทักทายดาราคู่ขวัญด้วยคำเย้าแหย่คนที่เดินมาคู่กัน
ซึ่งคนถูกสะกิดต่อมโทสะแต่เช้าถลึงตาพร้อมส่งค้อนขวับเข้าให้ เรียกเสียงหัวเราะทั้งตัวเขาและเธอได้ดีทีเดียว
“แหมธัชก้อ
กระติ๊บเขาห่วงสวัสดิภาพดาราหนุ่มขวัญใจมหาชนหรอกน่า กลัวเรตติ้งตกน่ะ”
อุรัสยาได้ทีเสริมทัพชายหนุ่ม พาลให้เพื่อนของเธอถึงกลับโวย
“ตกลงจะรุมกินโต๊ะฉัน แทนอาหารเช้าใช่ไหม ห๊ะ!”
“โธ่กระติ๊บใครจะกล้าทำอย่างนั้นกับเพื่อนรักล่ะจ๊ะ”
อุรัสยาโอบแขนรอบบ่าเพื่อน คล้ายปลอบโยน
“เหรอ แล้วที่หนุนทัพเขาเนี่ยมันหมายความว่าไง
ยัยอุ้ม” ปานเลขาจับแขนเพื่อนออกอย่างติดงอน ก่อนมองค้อนเพื่อนที่ก้มหน้ายิ้มขันตน
พลางปรายตามองชายหนุ่มอีกคนแล้วเอ่ยถามน้ำเสียงติดขุ่น “คุณธัชนั่งคนเดียว
หรือนั่งกับใครอยู่ก่อนแล้วคะ?”
ที่ถาม เพราะปานเลขาไม่อยากจะลุกในตอนที่คนนั่งเดิมเดินกลับมา
โดยเฉพาะถ้าคนนั้นเป็นแม่ดาวร้าย แต่คำตอบของชัชพิมุขก็ให้ความสบายใจพอให้เธอทั้งสองนั่งเก้าอี้ได้สบายก้น
เพราะเขาบอกว่าก่อนนั้นเขานั่งคุยอยู่กับผู้กำกับพงศกร
ทว่าตอนนี้ผู้กำกับขอตัวไปคุยธุระกับเลขาสร้อยจันทร์ เขาจึงนั่งเพียงลำพังเพื่อรอพวกเธอเข้ามา
“แม่ดาวร้ายผู้เลอโฉมคงยังไม่ตื่นสินะ”
ปานเลขายกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ จู่ ๆ อยากเอ่ยค่อนขอดคู่ปรับสาวที่ตะวันสายโด่ยังไม่โผล่มาให้เห็นสักนิด
“คุณกระติ๊บไม่ลองรับเป็นผู้จัดการส่วนตัวเค้าอีกคนละครับ
เผื่อเค้าจะได้ตื่นเร็วขึ้น” ชัชพิมุขเป็นเช่นนี้เสมอ
เวลาอยู่กับผู้จัดการส่วนตัวสาวที่ไม่ใช่เวลางาน เขามักพูดจาหยอกเย้าให้ชวนขำขัน
แม้คนฟังไม่เคยขำด้วย
“โอ้ย ไม่เอาหรอก แค่เห็นกันแวบ ๆ ยังรู้สึกแย่
ถ้าได้มายุ่งด้วยคงหาความสุขไม่ได้” ปานเลขาเสริมคำพูด ด้วยการชักสีหน้าใส่
“เบา ๆ หน่อยกระติ๊บ มาโน่นแล้ว” ทั้งที่ยังขำ
แต่อุรัสยาก็ไวพอจะสะกิดให้เพื่อนมองคนที่กำลังถูกพาดพิง
การปรากฏตัวของดาวร้ายสาวสวย
ด้วยชุดกางเกงทันสมัยสวยหรู สำหรับปานเลขาแล้วเหมือนโอโซนสะอาดจะหมดไปเพราะตัวมลพิษที่กำลังเยื้องย่างตรงมาที่กลุ่มพร้อมเอ่ยน้ำเสียงหวานติดจริตนี่แหละ
“คุณธัชเห็นผู้กำกับไหมคะ
เมย์เดินหาทั่วก็ยังไม่เห็น”
เมธิตาไม่คิดอยากนั่งร่วมวงสนทนา
แต่เพราะอยากแสดงตัวว่าสำคัญ จึงทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างดาราหนุ่มแล้วพูดต่อ “เมื่อคืนผู้กำกับบอกมีเรื่องสำคัญจะคุยกับเมย์
แต่เมย์ง่วงมากค่ะ อยู่คุยด้วยไม่ไหวจริง ๆ
ถึงให้เลขาสร้อยจันทร์เดินไปส่งที่ห้องพักไงคะ” ดาราสาวเจ้าบทบาททำหน้าม่อย
คล้ายกลุ้มอกกลุ้มใจเสียเต็มประดา ท่าทางอย่างนี้แน่นอนไม่รอดพ้นความหมั่นไส้จากคู่ปรับสาวไปได้
จึงไม่พ้นโดนแขวะ
“ใครเชิญนั่งน่ะอุ้ม”
อุรัสยามองเพื่อนที่ลอยหน้าลอยตาถาม ก่อนเอ่ยปราม
“ไม่เอาน่า เชิญตามสบายนะคะคุณเมย์” หญิงสาวกล่าวออกไปตามมารยาท
เพราะอย่างน้อยเมธิตาก็เป็นบุคคลในวงการเดียวกัน
เมธิตายิ้มหวานขอบคุณดาราสาวที่มีกรีดีเป็นนางเอกยอดนิยมในยุคนี้
และเปลี่ยนปรายตามองเหยียดหยันเพื่อนสาวอีกคน
ก่อนจะหันมาพูดกับดาราหนุ่มที่เธอจ้องจะจับเป็นคู่ขาเพื่อสร้างกระแสบนหน้าข่าวบันเทิง
“เมย์คิดว่าผู้กำกับต้องงอนเมย์แน่เลย
ถึงหลบหน้าเมย์แบบนี้”
“ไม่ได้หลบคุณเมย์หรอกครับ
แต่คุณพงศกรกำลังหารือกับเลขาสร้อยจันทร์เรื่องพิธีบวงสรวงงานละครที่จัดเช้านี้ครับ
เมื่อคืนคุณเมย์ไม่ได้อยู่ฟัง จึงไม่รู้ว่านอกจากเช้าจะมีจัดพิธีบวงสรวงแล้ว
ยังจัดรถทัวร์พาพวกเราไปเที่ยวสถานที่ต่าง ๆ อีกนะครับ”
“อ้าว หรอกหรือคะ เมย์ก็คิดว่างอนเมย์เสียอีก”
ดาราสาวเจ้าบทบาท ตีบทแตกในเรื่องออกอาการตกอกตกใจอย่างมีจริต ก่อนเลิกคิ้วฉงน
“เที่ยวที่นี่นะหรือคะ ไม่เห็นมีอะไรน่าเที่ยว เห็นแต่ป่ากับก้อนหินดำ ๆ ”
“คุณเมย์ไม่อยากไป
ก็รออยู่ในโรงแรมแหละครับ เห็นพนักงานบอกว่ามีสปาบริการด้วย”
ดาราหนุ่มเสนอทางเลือกให้หญิงสาวอย่างพินอบพิเทา เพราะถ้าระหว่างใส่บิกินี่เดินชายหาดทะเลกับท่องเที่ยวป่าเขา
หญิงสาวคงเมินอย่างหลัง แต่ผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจร่วมขบวนเที่ยว
“ไปด้วยดีกว่าค่ะ ฝืนใจหน่อยก็ไม่เป็นไร
ดีกว่าอยู่ที่นี่คนเดียว โรงแรมอะไรลึกลับน่ากลัวยังไงไม่รู้
คุณธัชว่าเหมือนเมย์ไหมคะ?” คำท้ายเมธิตาหันมาหาแนวร่วม พูดไป ดาวร้ายสาวพลันนึกไปถึงยามค่ำตอนที่เปิดม่านมองออกไปนอกหน้าต่าง
เธอถึงกลับร้องตกใจเมื่อมองเห็นต้นไม้สูง มีใบลักษณะแปลกประหลาดโยกไหวชวนจินตนาการคล้ายมือปีศาจกำลังแกว่งไกว
เธอจำได้ว่ารีบรูดม่านปิดทันที จังหวะเดียวกันเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะขบขันดังมาเข้าหู
ชวนให้ขนลุกขนพอง
“ทำไมล่ะครับ
มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณเมย์หรือเปล่า?” ชัชพิมุขเอ่ยถาม
เพิ่งรู้สึกสนใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด ต่างจากเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคน
เอาแต่ก้มหน้าอ่านข่าวประจำวันในแท็บเล็ต
ไม่มีทีท่าสนใจการสนทนาระหว่างเขากับเมธิตา ซึ่งหารู้ไม่ว่าสองสาวเพื่อนซี้ต่างแอบหูผึ่ง
“ไม่มีหรอกค่ะ แค่รู้สึกแปลก ๆ
เหมือนโดนจ้องมองตลอดเวลา บางทีก็เหมือนมีเสียงแปลก ๆ มาเข้าหู ทำให้ขนลุก
หรือเพราะฉันเก็บเรื่องที่คุณเลขาสร้อยจันทร์บอกไปคิดมากก็ไม่รู้นะคะ”
“เรื่องอะไรหรือครับ?” ชัชพิมุขยังซักต่อ
เพราะถ้าเรื่องของเลขาสาวคนนั้น ดูเหมือนจะสะกิดต่อมอยากรู้ของเขามากขึ้น
“ก็แม่นั่นบอกว่าที่นี่มีห้าชั้น
แต่ดูยังไงฉันก็เห็นมีแค่สี่ชั้นรวมกับชั้นใต้ดิน
มันทำให้ฉันคิดถึงตึกที่ซ่อนห้องลึกลับอะไรประมาณนี้แหละค่ะ พาลให้กลัวไปเลย”
“ชั้นที่ห้าอาจเป็นชั้นพิเศษที่เจ้าของโรงแรมไม่อยากเปิดเผยก็ได้
อย่าคิดมากเลยครับ ไม่มีอะไรหรอก”
แม้จะบอกอีกฝ่ายไปเช่นนั้น แต่สิ่งที่ชัชพิมุขรับฟังจากเมธิตาทำให้เกิดความเห็นที่คล้ายคลึงอย่างหนึ่งคือ
ความรู้สึกลึกลับ เพียงแต่ว่าความรู้สึกลึกลับของเมธิตาเกิดจากสถานที่
ต่างจากเขาที่ความรู้สึกลึกลับเกิดจากบุคคล โดยเฉพาะบุคคลที่กำลังเดินเข้ามาในห้องอาหารพร้อมผู้กำกับพงศกร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น