นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่อง เสน่หานาคี
แม้ห้องพักพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าโอ่โถงอยู่ในแวดวงการตกแต่งที่หรูหราทันสมัย
ทว่าผนังโทนสีเขียวอ่อน ๆ เตียงตู้ใช้ไม้สีดำสนิท กับหน้าต่างบานกระจกใสที่ทุกบานยาวจรดพื้น
ต่างมีผ้าม่านผืนยาวสีเขียวเข้มติดอยู่บนห่วงรูดทุกบาน ทำให้บรรยากาศภายในห้องนั้นดูขรึม
เหมาะกับการทำพิธีกรรมบางอย่าง มากกว่าจะเป็นห้องสำหรับอาศัยนอนหลับพักผ่อนธรรมดา
ขณะย่างกรายผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับปานเลขา
หัวใจดาราสาวขวัญใจมหาชนเกิดอาการเต้นตึกตัก จะว่ากลัวก็ไม่ใช่
จะตื่นเต้นดีใจก็เห็นจะแปลกอยู่ถ้าเกิดความรู้สึกแบบนั้นกับห้องหับลึกลับเช่นนี้
เธอบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร สุดท้ายลงที่ความรู้สึกพิศวง คงคล้าย ๆ
กับความรู้สึกตอนที่รถทัวร์เคลื่อนเข้ามาจอดบนลานด้านหน้าอาคารนั่นแหละ
“ดูลึกลับยังไงไม่รู้” ปานเลขากล่าว
พลางทำท่าขนลุกพอง หญิงสาวใช่จะเก็บความรู้สึกได้เก่ง ทั้งเธอยังไม่รู้ว่าห้องพักของตนจะมีลักษณะแบบเดียวกันหรือไม่
แต่เท่าที่เดินตามอุรัสยาเข้ามาเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ความรู้สึกในนาทีแรกที่มีต่อบรรยากาศในห้องนี้คือความรู้สึกสะพรึง
จนต้องรีบภาวนาขอให้เธออย่าได้ห้องลักษณะเดียวกันเลย
“ถ้าห้องฉันเป็นแบบนี้ มีหวังนอนไม่หลับทั้งคืน”
อุรัสยาดันบานประตูปิดเบาๆ ก่อนร่างสูงหุ่นระหงภายใต้การแต่งกายทะมัดทะแมง
จะหันมากล่าวยิ้ม ๆ ปลอบใจเพื่อนที่หยุดยืนบ่นกระปอดกระแปดออกมา
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อย่ากลัวเลย
ทางโรงแรมแค่จัดสถานที่ให้เข้ากับโลเคชั่นริมฝั่งโขง
เธออย่าลืมซีโรงแรมนี้ชื่อนครนาคา
ต่อให้ตกแต่งหรูหราแค่ไหนก็ต้องมีเค้าโครงเมืองพญานาคอยู่ดี”
“ฉันจะคิดให้ได้อย่างเธอแล้วกัน”
ปานเลขาตัดบทไป เพราะยังไงเธอต้องอยู่ทำงานในสถานแห่งนี้ตั้งหนึ่งเดือน
กว่าจะได้ไปตามเก็บฉากอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ
เธอยังไม่รู้ว่าจะต้องปรับตัวให้รับกับความน่าสะพรึงแบบไหนอีก
ผู้จัดการส่วนตัวสาวถอนหายใจยาว
กับภารกิจที่เธอจำเป็นต้องสลัดคำว่ากลัวออกไป
จากนั้นจึงหันมาบอกกับเพื่อนสาวว่า “ห้องดูเรียบร้อยดีแล้ว เธอพักผ่อนเถอะ
ฉันจะไปพักเหมือนกันนั่งรถมาหลายชั่วโมงปวดหลังชะมัด ว่าแต่เธออยู่ได้นะอุ้ม”
อุรัสยาหัวเราะ เมื่อเพื่อนรักของเธอมักแสดงความห่วงใยต่อเธอเหมือนครูพี่เลี้ยงแสดงออกต่อเด็กในความดูแลแบบนี้เสมอ
“อยู่ได้น่า ฉันนางสาวอายุยี่สิบห้านะกระติ๊บ ไม่ใช่เด็กหญิงห้าขวบ”
“ยะ ฉันรู้ แต่อดห่วงไม่ได้นี่นา
ยิ่งมีเรื่องคุณธัชยิ่งรู้สึกชอบกลยังไงไม่รู้ แต่ก็ลืม ๆ มันไปเถอะเนอะ” ปานเลขาพูดคล้ายตัดความกังวลออกจากใจ
ก่อนกล่าวลา “ฉันไปแระ อ้อ ดึกแล้วรีบอาบน้ำนอนเลย ห้ามเปิดโทรทัศน์ เข้าจั๋ย”
คนสั่งการเลิกคิ้วทำเสียงสูง บ่งบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าถึงแม้จะอยู่กันคนละห้อง
แต่ดาราสาวยังไม่คลาดสายตาเธออยู่ดี
“จ้า แม่นักปกครอง เธอไม่แวะไปดูธัชหน่อยหรือ
เขาเด็กในสังกัดเธอเหมือนกัน” อุรัสยาหยอดคำถามต่อเพื่อนไปแบบนั้น
ไม่ได้หวังจะได้คำตอบรับใด ๆ เพียงแค่เห็นนัยน์ตาวับวามบางอย่าง ก่อนกลับมาปกติ
แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว
“เขาเป็นผู้ชาย ฉันต้องไปดูเขาทำไม
แค่ดูแลในกองถ่ายก็พอแล้ว” ปานเลขากล่าวจบ เดินหน้าเชิดเปิดประตูออกไป อุรัสยาเห็นท่าทางเขินอายของคนปากแข็ง
เธอแทบจะหลุดขัน
ได้อยู่ลำพังแล้ว อุรัสยาอดที่จะคิดถึงการปรากฏตัวของชายผู้นั้นขึ้นมาอีกไม่ได้
ก่อนจะสลัดทิ้งไปเมื่อนึกถึงคำกล่าวของปานเลขาว่าให้ลืม ๆ มันไปเถอะ
หญิงสาวกวาดตาสำรวจรอบห้องอีกครั้ง
ก่อนหยุดความสนใจตรงผนังฝั่งหัวเตียง ด้านบนมีกรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่
มองผ่านกระจกใสข้างในคือเทพในตำนานที่ชาวบ้านแถบนี้ต่างให้ความนับถือ
พญางูตัวใหญ่แผ่พังพานเจ็ดเศียร มีเกล็ดเป็นแผ่นกลมค่อนข้างโปร่งบางสะท้อนแสงสีเขียว
ทอดตัวท่ามกลางดอกบัวสีชมพูเข้มที่ชูช่ออยู่เหนือลำน้ำ
“สวยมาก”
ภาพจิตรกรรมดังกล่าวช่างเกิดจากจินตนาการอันเพริศแพร้ว ทว่ายิ่งเพ่งพิศนานเข้า
ภาพตรงหน้าก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าลำตัวทอดยาวกำลังเคลื่อนไหว
อุรัสยาไม่อาจละสายตาขณะเพ่งพินิจพญางูในกรอบภาพ กระทั่งต้องสะดุ้งกับน้ำเสียงกล่าวของผู้ที่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังเมื่อไรไม่รู้
“ภาพนี้เป็นจินตนาการที่เกิดจากความศรัทธา”
หญิงสาวเอวบางร่างน้อยในชุดพื้นเมืองรัดรูป
เดินผ่านเธอไปหยุดยืนอยู่ปลายเตียง สายตามองตรงไปที่กรอบรูปประดับผนัง แล้วเอ่ยต่อ
“ตำนานและเรื่องราวพญานาคนั้นยิ่งใหญ่
กล่าวขานกันมาเนิ่นนานว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์แห่งลำน้ำโขง โดยเฉพาะบึงกาฬมีตำนานกล่าวว่าพญานาคเป็นผู้สร้างเมือง
ก็เลยนิยมทำรูปนาคราชประดับไว้ทุกหนทุกแห่ง
ไม่ใช่เฉพาะตามหลังคาวัดวาอารามเท่านั้น”
“คุณเลขาสร้อยจันทร์” อุรัสยาเรียกชื่ออีกฝ่าย
ไม่ลืมหันไปมองประตูแง้มไว้เพียงนิด ซึ่งเลขาสาวเหมือนล่วงรู้ความคิด
เพราะทันทีที่เธอหันมาสบตาสีดำที่บางครั้งเปล่งประกายหลากสีนั้น
อีกฝ่ายก็เอ่ยอธิบายว่า
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่เข้ามารบกวนเวลาพักของคุณอุ้มค่ะ
ดิฉันตั้งใจนำบทละครมาให้ เคาะประตูแล้วคุณคงเพลินกับชมรูปภาพจึงไม่ได้ยิน
ประจวบกับประตูไม่ได้ปิดสนิท ดิฉันจึงถือวิสาสะเดินเข้ามา”
ได้ฟังเหตุผลพร้อมคำอธิบายแบบนี้แล้ว
อุรัสยายิ้มได้ เพราะเข้าใจแล้วว่าตอนปานเลขาเดินออกไปเธอยังไม่ได้เดินไปกดล็อกประตู
ดาราสาวไม่ได้ถือเนื้อถือตัวกระไรมาก เพียงแต่คิดว่าตนกำลังเพลินกับความคิดต่าง ๆ
นานา อาจจะหลุดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีถ้าเกิดตกอกตกใจขึ้นมา
ก็เธอกำลังคิดถึงตำนานลึกลับในดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเมืองพญานาค
จะไม่ให้จิตหลุดง่ายได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ฉันแค่ลืมว่ายังไม่ได้ล็อกประตู” เพื่อดึงความสนใจไม่ให้เลขาสาวรู้สึกผิด เธอจึงชวนคุยถึงสิ่งที่สะดุดตา
“ดูเหมือนรูปท่านนาคราชจะมีเกือบทุกจุดในโรงแรมนะคะ”
“เราประดับรูปท่านนาคราชไว้ทั่วบริเวณ
เพื่อให้ผู้มาพักระลึกว่าได้เข้ามาอยู่ในเมืองพญานาคแล้ว ควรประพฤติตนตามกฎกติกา
ไม่ควรละเมิด”
อุรัสยาสังเกตเห็นแววตาแข็งกร้าวของเลขาสร้อยจันทร์ขณะกล่าวถ้อยคำเตือนเหล่านั้นออกมา
แต่เพียงแวบเดียวก็เลือนหายเป็นปกติ
พลางสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอาการเหมือนคนกำลังบาดเจ็บตรงข้อมือ
“มือของคุณสร้อยจันทร์มีแผลหรือคะ?”
โดยสัญชาตญาณความหวังดี อุรัสยาเอื้อมมือไปรั้งแขนอีกฝ่าย ทำให้ข้อมือที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าที่ปกปิดตลอดช่วงแขนทำให้ยากจะเห็นว่ามีบาดแผลบริเวณนั้นหรือไม่
ปรากฏสิ่งที่โผล่พ้นปลายแขนเสื้อออกมา
‘กำไลพญานาค’..กำไลรูปตัวนาคขดพันกันสองชั้นก่อนจะเชิดหัวขึ้นอย่างสง่า
ลำตัวประกอบด้วยเกล็ดสีเขียวสลับทอง ดวงตาเหมือนฝังทับทิมสีแดง อุรัสยาไม่ทันได้พิจารณาลักษณะกำไลนาคมากไปกว่านั้น
เจ้าของเครื่องประดับชักมือกลับเสียก่อน
“ขอโทษค่ะคุณสร้อยจันทร์
ฉันอยากดูข้อมือให้คุณเท่านั้น” อุรัสยารีบเอ่ยอธิบาย เธอเคยทำแผลให้กับผู้ร่วมงานในทีมกองถ่ายมาหลายคน
เพราะเห็นว่าทำงานด้วยกันควรดูแลกันและกันเท่าที่ทำได้ ฉะนั้นการที่เธอเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าแสดงอาการเหมือนมีบาดแผล
และเธอก็ถือว่าได้ร่วมงานกัน
จึงคิดอยากจะช่วยเหลือโดยลืมถามความสมัครใจของอีกฝ่ายเสียก่อน
ทว่าทั้งที่เธอแสดงความหวังดีแบบนั้น แต่นอกจากเลขาสาวจะไม่ยอมรับไมตรีแล้ว
หญิงสาวยังมีทีท่าเหมือนอยากจะหนีให้ห่าง ด้วยการยื่นบทละครพร้อมกับรีบกล่าวลา
“บทละครของคุณอุ้มค่ะ
นำมาให้คุณเรียบร้อยแล้วเห็นทีจะไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณ
ค่ำคืนนี้ขอให้คุณหลับสบาย คุณมีเวลาเตรียมตัวสองวัน พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
อุรัสยาทิ้งสายตาสงสัยตามหลังหญิงสาวที่เดินจ้ำออกจากห้องไปพร้อมกับกดล็อกประตูให้เสร็จสรรพ
พลางคิดว่าผู้หญิงคนนี้แม้ดูเป็นมิตร
แต่ก็เหมือนมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่เกินกว่าเธอจะหยั่งถึงได้
ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดที่มีหมู่มวลดารากะพริบแสงพราว
บริเวณหน้าต่างบานกระจกใสร่างสูงหุ่นระหงในชุดนอนแพรเนื้อละเอียดนิ่ม
ผิวที่พ้นแพรออกมานั้นขาวผ่อง ระเรื่อด้วยความเปล่งปลั่ง
ริมฝีปากแม้ไม่ได้แต่งแต้ม แต่ก็เป็นสีกุหลาบอ่อนด้วยเลือดฝาด
ตัดกับผมดำขลับทอดตัวลงมาสลวยเลยบ่าไปทางเบื้องหลัง หญิงสาวยืนพินิจผืนน้ำสีนิลสะท้อนแสงจันทร์นวล
แรกนั้นให้ความรู้สึกขรึมขลังลึกเร้น แต่ยามนี้กลับดูสงบงาม
อุรัสยากระชับบทละครที่ตั้งใจจะอ่านแต่ยังไม่ได้อ่าน
ขณะเพ่งสายตาผ่านความสลัวรางไปยังท้องน้ำ เธอยืนทอดหุ่ยอยู่ตรงนี้นานเท่าไรไม่รู้
ซึ่งแม้การเดินทางทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย
แต่เพราะมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่มากเธอจึงไม่อาจขับตาหลับได้
อย่างแรก มารดาของเธอไม่เคยส่งข่าวถึงเธอสักครั้งตั้งแต่ขอเธอไปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมภาวนา
ตัวเธอเองก็ติดต่อท่านไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าท่านบำเพ็ญศีลอยู่ที่ใด
การไม่รู้ความเป็นอยู่ของบุพการีทำให้จิตใจของผู้เป็นลูกผูกติดกับความห่วงหาอาทรตลอดเวลา
อย่างที่สองเรื่องการรับบทบาทนาคีสาว ทำให้เธอพบพานความประหลาดหลายอย่าง
ทั้งเรื่องนายทุนที่ไม่เปิดเผยตัว ความฝันแปลก ๆ กับชายลึกลับที่นั่งรถทัวร์มาพร้อมกัน
และยังมีเรื่องห้องพักของเธอที่ไม่ได้เหมือนกับห้องพักคนอื่น ซึ่งเรื่องนี้เธอได้ข้อมูลมาจากปานเลขา
หลังจากเลขาสร้อยจันทร์เดินออกจากห้องไปได้สักพัก
เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้นบนโต๊ะกลมทรงสูงตั้งอยู่ข้างชั้นวางโทรทัศน์ติดผนังฝั่งปลายเตียง
อุรัสยาเดินไปรับเพราะคิดว่าช่วงเวลานี้ไม่มีใครติดต่อเธอแน่นอนนอกจากแม่ผู้จัดการสาวประจำตัวของเธอเอง
“กระติ๊บเองนะ” ต้นสายกรอกเสียงรายงาน ก่อนพูดต่อ
“ฉันแค่จะโทรมาบอกเรื่องห้องพักของฉัน ว่าผนังวอลเปเปอร์สีครีม โต๊ะตู้เตียงสีขาว
ไม่เป็นโทนเขียวอึมครึมแบบของเธอ”
คนฟังขมวดคิ้ว แต่ก็กรอกเสียงตอบไปเรียบ ๆ
“ก็ดีแล้ว” เธอพูดไปแบบนั้น พลันเหลือบไปที่ผนังฝั่งหัวเตียง
จึงเอ่ยถามเพื่อนสาวไปว่า “แล้วในห้องกระติ๊บมีกรอบรูปพญานาคหรือเปล่า?”
ปานเลขาพูดว่าห้องของตนเป็นห้องธรรมดาเหมือนห้องพักโรงแรมทั่วไป
ไม่ได้ดูเขียวคล้ำคล้ายเถื่อนถ้ำเหมือนห้องของเธอ
ที่สำคัญห้องแม่เพื่อนสาวไม่มีกรอบรูปพญานาคอยู่บนผนังฝั่งหัวนอน เกิดจิตคิดสงสัยว่าห้องคนอื่น
ๆ จะมีหรือเปล่า หรือมีเพียงห้องเธอห้องเดียว
นึกถึงพญางู ดวงตากลมสวยหันขวับไปดูกรอบรูปอีกครั้ง
เธอจมจ่อมกับภาพนั้นเนิ่นนาน รู้สึกตัวอีกทีตอนใจเริ่มสะท้านหวั่นไหว
กับความรู้สึกคล้ายถูกจ้องตอบจากสายตาคมดุคู่นั้น!
ฟุ้งซ่านเยอะไปแล้วเรา..หญิงสาวส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยกสิ่งที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาอ่าน
เพื่อขับไล่ความคิดที่ดูจะกระเจิดกระเจิงให้กลับมาเป็นปกติ แต่แล้วก็ต้องผจญกับอาการตะลึงพรึงเพริดเข้าอีก
เมื่อพบกับตัวละครนาคีที่มีชื่อว่า อุรัสยาวารี ด้วยว่าข้อตกลงของทางนายทุน
คือจะให้บทละครที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ถ่ายทำแก่นักแสดงวันต่อวัน จึงไม่มีใครได้อ่านเนื้อหาละครเรื่องนี้มาก่อนสักคน
‘นายทุนนั่นใช้ชื่อเธอเป็นชื่อนาคีเชียวหรือ
บ้าไปแล้ว’ ดาราสาวไล่สายตาอ่านเนื้อหาอีกครั้ง
ซึ่งระหว่างที่เพ่งพิศทุกตัวอักษรก็ไม่ได้รู้เลยว่า
การทิ้งจิตให้นิ่งนานมันก่อเกิดสมาธิ
ทำให้เนื้อหาละครในหน้ากระดาษกลายเป็นมโนภาพที่ทวนย้อนสู่ห้วงมิติหนึ่ง
ในคืนเดือนเพ็ญผิวน้ำกลางบึงสะท้อนแสงจันทร์นวลเรืองรอง
ท่ามกลางบัวตูมบัวบานมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกของหนุ่มสาว
เสียงทั้งสองประสานกังวานไปด้วยความสุข
และมโนภาพอันเลือนรางก็ตัดมาอีกฉากหนึ่ง ช่องแคบภายในถ้ำหญิงคนเดิมกำลังอิ่มเอมหัวใจกับร่างใหญ่ที่ตนเกาะเกี่ยวไว้แน่น
ขณะพายุรักกำลังหลอมละลายสองร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
ซึ่งในมโนภาพเหมือนมีสองมิติซ้อน มิติหนึ่งคือร่างคนแต่อีกมิติหนึ่งคือร่างเลื้อยยาวกระหวัดเกี่ยวกันในห้วงเสน่หา
ก่อนที่พายุรักที่ไม่ได้มีแต่ความใคร่จะจบลงอย่างอบอุ่นนุ่มนวล
แล้วร่างใหญ่รั้งร่างเล็กที่ยังหายใจหอบ มาตะกองกอดบนอกกว้างไว้อย่างทะนุถนอม
ก้มลงมอบจุมพิตที่หน้าผากกลมมลเบา ๆ พร้อมเอ่ยถ้อยคำต่อหญิงสาวอย่างรักใคร่
“เจ้ารู้หรือไม่อุรัสยาวารี
เจ้าช่างเป็นนาคีที่งดงามจับใจข้านัก”
“จริงหรือท่าน
แต่ข้าว่าท่านก็เหมือนนาคราชองค์อื่น ๆ นั่นแหละ มิได้ต่างกันเลย”
เสียงใสพูดตอบกลับไป โดยหารู้ไม่ว่าถ้อยคำเหล่านั้นได้ทำให้สีหน้าด้านข้างของคนฟังเครียดขึ้งทันที
อุรัสยาสลัดศีรษะขับไล่มโนภาพเสียดแทงหัวใจ
นาคีผู้นั้นจิตใจทำด้วยอะไรหนอถึงได้หักหาญน้ำใจคนรักด้วยคำพูดพล่อย ๆ
เธอเป็นคนนอกได้ฟังยังโกรธแทน
เพราะเธอไม่เห็นว่าแววตาคนพูดเป็นอย่างไร
จึงไม่สามารถประเมินได้ว่านาคีสาวพูดจริงหรือหยอกล้อ แต่เท่าที่สัมผัสบรรยากาศเหมือนมันร้อนระอุด้วยอารมณ์โกรธเป็นไฟของนาคราชหนุ่มเลยเชียว
สมควรจะโกรธ ก็เพิ่งจะสุขสมอารมณ์หมายกัน
นางก็ปากพล่อยเสียนี่
ในขณะเธอกำลังวิจารณ์นาคีสาวด้วยเห็นใจนาคราชหนุ่ม
มโนภาพเหล่านั้นก็เปลี่ยนเหมือนถูกตัดเข้าสู่อีกฉากหนึ่ง จากฉากความสุขสนุกสนาน
กลายมาเป็นฉากโศกาอาดูร
เมื่อภาพนาคีร่าเริงเปลี่ยนมานั่งร่ำไห้อยู่บนเนินดินริมฝั่งน้ำ
เบื้องหน้ามีร่างใหญ่ของชายหนุ่มสองคนนอนราบไร้ลมหายใจ นางร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่นานจึงลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซไปหาชายหนุ่มนุ่งขาวห่มขาวราวผู้ทรงศีล
ซึ่งยืนมองสิ่งที่เกิดตรงหน้าด้วยอาการนิ่งสงบ และเมื่อทั้งสองยืนประจันหน้ากัน
นาคีผู้โศกเศร้าก็ทำท่าคล้ายดึงบางสิ่งบางอย่างออกจากข้อมือ ยื่นไปให้กับชายผู้ทรงศีลคนนั้น พร้อมเอ่ย
“ข้าขอฝากสิ่งนี้ไว้กับท่าน
โปรดรักษาไว้ให้ข้าด้วยเถิด ท่านวทันยู”
อุรัสยาไม่ทันได้เห็นว่าชายหนุ่มผู้ทรงศีลนั้นตอบรับนาคีสาวว่าเช่นไร
ภาพต่าง ๆ ก็ราวกับก้อนเมฆถูกกระแสลมพัด กระจายสลายไปเสียก่อน
ซ่าซ่า..เสียงสายน้ำกระทบฝั่งดังพอเรียกสติหญิงสาวหลุดจากภวังค์
ให้มองผ่านบานกระจกใสออกไปด้วยความสนใจ จังหวะนั้นเอง สายตาของเธอสะดุดกับบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่นอยู่กลางกระแสน้ำ
“ตัวอะไร? เอะ!”
หญิงสาวรำพัน ก่อนเบิกตากว้างกับร่างใหญ่ยาวที่ค่อย ๆ โผล่พ้นผิวน้ำ
ซึ่งเธอตาไม่ฝาดและไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันเหมือนภาพ นาคราช
ที่อยู่ในกรอบบนผนังนั่น!
สิ่งที่เห็นไม่อาจทำให้เธอละสายตาได้
จึงได้เห็นว่าร่างทะมึนขึ้นจากน้ำ แล้วค่อย ๆ กลายร่างเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดแบบเดียวกับผู้ชายที่นั่งรถทัวร์มาพร้อมกันเมื่อเช้านี้
และกำลังเดินมุ่งเข้าสู่ตัวอาคาร
‘เสื้อแจ๊กเก็ตสีดำ’ เท้าไวเท่าความคิด
เมื่อต้องการคำตอบหญิงสาวจึงโยนสิ่งที่อยู่ในมือไว้บนที่นอน
ก่อนเปิดประตูห้องและออกไปยืนอยู่หน้าลิฟท์
‘ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าคุณเป็นใคร’ ความอยากรู้มีมากกว่าความกลัว
อุรัสยาตั้งเป้าหมายแน่วแน่ โดยลืมร่างยาวที่เลื้อยขึ้นฝั่งแล้วกลายเป็นมนุษย์ไปเสียสนิท
อุรัสยาจ้องแผงที่มีตัวเลขระบุชั้น
เธอเห็นไฟลิฟท์เคลื่อนจากตัวเลขชั้นสามลงสู่ชั้นหนึ่ง
พาหนะสี่เหลี่ยมหยุดรับผู้โดยสารด้านล่างสักพักก็เคลื่อนตัวลงไปอีก
รอยยิ้มกดลึกตรงมุมปากสวย
เมื่อคิดว่าเขาคนนั้นต้องพักอาศัยอยู่ชั้นใต้ดินที่ระบุตัวบี
“ขี้เกียจเหลือเกิน แค่ชั้นเดียวก็ต้องใช้ลิฟท์”
หญิงสาวเหยียดปากกับความขี้เกียจเดินของชายหนุ่ม แต่ทว่าเพียงไม่นานรอยยิ้มเหยียดที่เห็นปรากฏเพียงน้อยนิดต้องเลือนหาย
เมื่อลิฟท์ที่สมควรจะหยุดอยู่แค่ชั้นบี ซึ่งระบุเป็นชั้นต่ำสุดมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะลิฟท์ยังแสดงการเคลื่อนผ่านชั้นลงไปอีก ก่อนจะหยุดลงพร้อมกับแสงสีเขียวเรือง
ๆ หายไป
“มีอีกชั้นลึกลงไปอีกหรือนี่?”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น