วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 5 นาคี




นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่อง เสน่หานาคี

 
 

 
แม้ห้องพักพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าโอ่โถงอยู่ในแวดวงการตกแต่งที่หรูหราทันสมัย ทว่าผนังโทนสีเขียวอ่อน ๆ เตียงตู้ใช้ไม้สีดำสนิท กับหน้าต่างบานกระจกใสที่ทุกบานยาวจรดพื้น ต่างมีผ้าม่านผืนยาวสีเขียวเข้มติดอยู่บนห่วงรูดทุกบาน ทำให้บรรยากาศภายในห้องนั้นดูขรึม เหมาะกับการทำพิธีกรรมบางอย่าง มากกว่าจะเป็นห้องสำหรับอาศัยนอนหลับพักผ่อนธรรมดา
ขณะย่างกรายผ่านประตูเข้ามาพร้อมกับปานเลขา หัวใจดาราสาวขวัญใจมหาชนเกิดอาการเต้นตึกตัก จะว่ากลัวก็ไม่ใช่ จะตื่นเต้นดีใจก็เห็นจะแปลกอยู่ถ้าเกิดความรู้สึกแบบนั้นกับห้องหับลึกลับเช่นนี้ เธอบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร สุดท้ายลงที่ความรู้สึกพิศวง คงคล้าย ๆ กับความรู้สึกตอนที่รถทัวร์เคลื่อนเข้ามาจอดบนลานด้านหน้าอาคารนั่นแหละ
“ดูลึกลับยังไงไม่รู้” ปานเลขากล่าว พลางทำท่าขนลุกพอง หญิงสาวใช่จะเก็บความรู้สึกได้เก่ง ทั้งเธอยังไม่รู้ว่าห้องพักของตนจะมีลักษณะแบบเดียวกันหรือไม่ แต่เท่าที่เดินตามอุรัสยาเข้ามาเพื่อสำรวจความเรียบร้อย ความรู้สึกในนาทีแรกที่มีต่อบรรยากาศในห้องนี้คือความรู้สึกสะพรึง จนต้องรีบภาวนาขอให้เธออย่าได้ห้องลักษณะเดียวกันเลย
 “ถ้าห้องฉันเป็นแบบนี้ มีหวังนอนไม่หลับทั้งคืน”
อุรัสยาดันบานประตูปิดเบาๆ ก่อนร่างสูงหุ่นระหงภายใต้การแต่งกายทะมัดทะแมง จะหันมากล่าวยิ้ม ๆ ปลอบใจเพื่อนที่หยุดยืนบ่นกระปอดกระแปดออกมา
“ไม่มีอะไรหรอกน่า อย่ากลัวเลย ทางโรงแรมแค่จัดสถานที่ให้เข้ากับโลเคชั่นริมฝั่งโขง เธออย่าลืมซีโรงแรมนี้ชื่อนครนาคา ต่อให้ตกแต่งหรูหราแค่ไหนก็ต้องมีเค้าโครงเมืองพญานาคอยู่ดี”
“ฉันจะคิดให้ได้อย่างเธอแล้วกัน” ปานเลขาตัดบทไป เพราะยังไงเธอต้องอยู่ทำงานในสถานแห่งนี้ตั้งหนึ่งเดือน กว่าจะได้ไปตามเก็บฉากอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ เธอยังไม่รู้ว่าจะต้องปรับตัวให้รับกับความน่าสะพรึงแบบไหนอีก
ผู้จัดการส่วนตัวสาวถอนหายใจยาว กับภารกิจที่เธอจำเป็นต้องสลัดคำว่ากลัวออกไป จากนั้นจึงหันมาบอกกับเพื่อนสาวว่า “ห้องดูเรียบร้อยดีแล้ว เธอพักผ่อนเถอะ ฉันจะไปพักเหมือนกันนั่งรถมาหลายชั่วโมงปวดหลังชะมัด ว่าแต่เธออยู่ได้นะอุ้ม”
อุรัสยาหัวเราะ เมื่อเพื่อนรักของเธอมักแสดงความห่วงใยต่อเธอเหมือนครูพี่เลี้ยงแสดงออกต่อเด็กในความดูแลแบบนี้เสมอ “อยู่ได้น่า ฉันนางสาวอายุยี่สิบห้านะกระติ๊บ ไม่ใช่เด็กหญิงห้าขวบ”
“ยะ ฉันรู้ แต่อดห่วงไม่ได้นี่นา ยิ่งมีเรื่องคุณธัชยิ่งรู้สึกชอบกลยังไงไม่รู้ แต่ก็ลืม ๆ มันไปเถอะเนอะ” ปานเลขาพูดคล้ายตัดความกังวลออกจากใจ ก่อนกล่าวลา “ฉันไปแระ อ้อ ดึกแล้วรีบอาบน้ำนอนเลย ห้ามเปิดโทรทัศน์ เข้าจั๋ย” คนสั่งการเลิกคิ้วทำเสียงสูง บ่งบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าถึงแม้จะอยู่กันคนละห้อง แต่ดาราสาวยังไม่คลาดสายตาเธออยู่ดี
“จ้า แม่นักปกครอง เธอไม่แวะไปดูธัชหน่อยหรือ เขาเด็กในสังกัดเธอเหมือนกัน” อุรัสยาหยอดคำถามต่อเพื่อนไปแบบนั้น ไม่ได้หวังจะได้คำตอบรับใด ๆ เพียงแค่เห็นนัยน์ตาวับวามบางอย่าง ก่อนกลับมาปกติ แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว
“เขาเป็นผู้ชาย ฉันต้องไปดูเขาทำไม แค่ดูแลในกองถ่ายก็พอแล้ว” ปานเลขากล่าวจบ เดินหน้าเชิดเปิดประตูออกไป อุรัสยาเห็นท่าทางเขินอายของคนปากแข็ง เธอแทบจะหลุดขัน
ได้อยู่ลำพังแล้ว อุรัสยาอดที่จะคิดถึงการปรากฏตัวของชายผู้นั้นขึ้นมาอีกไม่ได้ ก่อนจะสลัดทิ้งไปเมื่อนึกถึงคำกล่าวของปานเลขาว่าให้ลืม ๆ มันไปเถอะ
หญิงสาวกวาดตาสำรวจรอบห้องอีกครั้ง ก่อนหยุดความสนใจตรงผนังฝั่งหัวเตียง ด้านบนมีกรอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ มองผ่านกระจกใสข้างในคือเทพในตำนานที่ชาวบ้านแถบนี้ต่างให้ความนับถือ
 พญางูตัวใหญ่แผ่พังพานเจ็ดเศียร มีเกล็ดเป็นแผ่นกลมค่อนข้างโปร่งบางสะท้อนแสงสีเขียว ทอดตัวท่ามกลางดอกบัวสีชมพูเข้มที่ชูช่ออยู่เหนือลำน้ำ
“สวยมาก” ภาพจิตรกรรมดังกล่าวช่างเกิดจากจินตนาการอันเพริศแพร้ว ทว่ายิ่งเพ่งพิศนานเข้า ภาพตรงหน้าก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าลำตัวทอดยาวกำลังเคลื่อนไหว
อุรัสยาไม่อาจละสายตาขณะเพ่งพินิจพญางูในกรอบภาพ กระทั่งต้องสะดุ้งกับน้ำเสียงกล่าวของผู้ที่เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหลังเมื่อไรไม่รู้
“ภาพนี้เป็นจินตนาการที่เกิดจากความศรัทธา”
หญิงสาวเอวบางร่างน้อยในชุดพื้นเมืองรัดรูป เดินผ่านเธอไปหยุดยืนอยู่ปลายเตียง สายตามองตรงไปที่กรอบรูปประดับผนัง แล้วเอ่ยต่อ
ตำนานและเรื่องราวพญานาคนั้นยิ่งใหญ่ กล่าวขานกันมาเนิ่นนานว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์แห่งลำน้ำโขง โดยเฉพาะบึงกาฬมีตำนานกล่าวว่าพญานาคเป็นผู้สร้างเมือง ก็เลยนิยมทำรูปนาคราชประดับไว้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่เฉพาะตามหลังคาวัดวาอารามเท่านั้น”
“คุณเลขาสร้อยจันทร์” อุรัสยาเรียกชื่ออีกฝ่าย ไม่ลืมหันไปมองประตูแง้มไว้เพียงนิด ซึ่งเลขาสาวเหมือนล่วงรู้ความคิด เพราะทันทีที่เธอหันมาสบตาสีดำที่บางครั้งเปล่งประกายหลากสีนั้น อีกฝ่ายก็เอ่ยอธิบายว่า
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่เข้ามารบกวนเวลาพักของคุณอุ้มค่ะ ดิฉันตั้งใจนำบทละครมาให้ เคาะประตูแล้วคุณคงเพลินกับชมรูปภาพจึงไม่ได้ยิน ประจวบกับประตูไม่ได้ปิดสนิท ดิฉันจึงถือวิสาสะเดินเข้ามา”
ได้ฟังเหตุผลพร้อมคำอธิบายแบบนี้แล้ว อุรัสยายิ้มได้ เพราะเข้าใจแล้วว่าตอนปานเลขาเดินออกไปเธอยังไม่ได้เดินไปกดล็อกประตู ดาราสาวไม่ได้ถือเนื้อถือตัวกระไรมาก เพียงแต่คิดว่าตนกำลังเพลินกับความคิดต่าง ๆ นานา อาจจะหลุดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีถ้าเกิดตกอกตกใจขึ้นมา ก็เธอกำลังคิดถึงตำนานลึกลับในดินแดนที่ขึ้นชื่อว่าเมืองพญานาค จะไม่ให้จิตหลุดง่ายได้อย่างไร
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันแค่ลืมว่ายังไม่ได้ล็อกประตู” เพื่อดึงความสนใจไม่ให้เลขาสาวรู้สึกผิด เธอจึงชวนคุยถึงสิ่งที่สะดุดตา “ดูเหมือนรูปท่านนาคราชจะมีเกือบทุกจุดในโรงแรมนะคะ”
“เราประดับรูปท่านนาคราชไว้ทั่วบริเวณ เพื่อให้ผู้มาพักระลึกว่าได้เข้ามาอยู่ในเมืองพญานาคแล้ว ควรประพฤติตนตามกฎกติกา ไม่ควรละเมิด”
อุรัสยาสังเกตเห็นแววตาแข็งกร้าวของเลขาสร้อยจันทร์ขณะกล่าวถ้อยคำเตือนเหล่านั้นออกมา แต่เพียงแวบเดียวก็เลือนหายเป็นปกติ พลางสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้ามีอาการเหมือนคนกำลังบาดเจ็บตรงข้อมือ
“มือของคุณสร้อยจันทร์มีแผลหรือคะ?” โดยสัญชาตญาณความหวังดี อุรัสยาเอื้อมมือไปรั้งแขนอีกฝ่าย ทำให้ข้อมือที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าที่ปกปิดตลอดช่วงแขนทำให้ยากจะเห็นว่ามีบาดแผลบริเวณนั้นหรือไม่ ปรากฏสิ่งที่โผล่พ้นปลายแขนเสื้อออกมา
กำไลพญานาค..กำไลรูปตัวนาคขดพันกันสองชั้นก่อนจะเชิดหัวขึ้นอย่างสง่า ลำตัวประกอบด้วยเกล็ดสีเขียวสลับทอง ดวงตาเหมือนฝังทับทิมสีแดง อุรัสยาไม่ทันได้พิจารณาลักษณะกำไลนาคมากไปกว่านั้น เจ้าของเครื่องประดับชักมือกลับเสียก่อน
“ขอโทษค่ะคุณสร้อยจันทร์ ฉันอยากดูข้อมือให้คุณเท่านั้น” อุรัสยารีบเอ่ยอธิบาย เธอเคยทำแผลให้กับผู้ร่วมงานในทีมกองถ่ายมาหลายคน เพราะเห็นว่าทำงานด้วยกันควรดูแลกันและกันเท่าที่ทำได้ ฉะนั้นการที่เธอเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าแสดงอาการเหมือนมีบาดแผล และเธอก็ถือว่าได้ร่วมงานกัน จึงคิดอยากจะช่วยเหลือโดยลืมถามความสมัครใจของอีกฝ่ายเสียก่อน
ทว่าทั้งที่เธอแสดงความหวังดีแบบนั้น  แต่นอกจากเลขาสาวจะไม่ยอมรับไมตรีแล้ว หญิงสาวยังมีทีท่าเหมือนอยากจะหนีให้ห่าง ด้วยการยื่นบทละครพร้อมกับรีบกล่าวลา
“บทละครของคุณอุ้มค่ะ นำมาให้คุณเรียบร้อยแล้วเห็นทีจะไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคุณ ค่ำคืนนี้ขอให้คุณหลับสบาย คุณมีเวลาเตรียมตัวสองวัน พักผ่อนให้เต็มที่นะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
อุรัสยาทิ้งสายตาสงสัยตามหลังหญิงสาวที่เดินจ้ำออกจากห้องไปพร้อมกับกดล็อกประตูให้เสร็จสรรพ พลางคิดว่าผู้หญิงคนนี้แม้ดูเป็นมิตร แต่ก็เหมือนมีบางอย่างซ่อนเร้นอยู่เกินกว่าเธอจะหยั่งถึงได้

ภายใต้ท้องฟ้ามืดมิดที่มีหมู่มวลดารากะพริบแสงพราว บริเวณหน้าต่างบานกระจกใสร่างสูงหุ่นระหงในชุดนอนแพรเนื้อละเอียดนิ่ม ผิวที่พ้นแพรออกมานั้นขาวผ่อง ระเรื่อด้วยความเปล่งปลั่ง ริมฝีปากแม้ไม่ได้แต่งแต้ม แต่ก็เป็นสีกุหลาบอ่อนด้วยเลือดฝาด ตัดกับผมดำขลับทอดตัวลงมาสลวยเลยบ่าไปทางเบื้องหลัง หญิงสาวยืนพินิจผืนน้ำสีนิลสะท้อนแสงจันทร์นวล แรกนั้นให้ความรู้สึกขรึมขลังลึกเร้น แต่ยามนี้กลับดูสงบงาม  
อุรัสยากระชับบทละครที่ตั้งใจจะอ่านแต่ยังไม่ได้อ่าน ขณะเพ่งสายตาผ่านความสลัวรางไปยังท้องน้ำ เธอยืนทอดหุ่ยอยู่ตรงนี้นานเท่าไรไม่รู้ ซึ่งแม้การเดินทางทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย แต่เพราะมีเรื่องรบกวนจิตใจอยู่มากเธอจึงไม่อาจขับตาหลับได้
อย่างแรก มารดาของเธอไม่เคยส่งข่าวถึงเธอสักครั้งตั้งแต่ขอเธอไปปลีกวิเวกปฏิบัติธรรมภาวนา ตัวเธอเองก็ติดต่อท่านไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าท่านบำเพ็ญศีลอยู่ที่ใด การไม่รู้ความเป็นอยู่ของบุพการีทำให้จิตใจของผู้เป็นลูกผูกติดกับความห่วงหาอาทรตลอดเวลา
อย่างที่สองเรื่องการรับบทบาทนาคีสาว ทำให้เธอพบพานความประหลาดหลายอย่าง ทั้งเรื่องนายทุนที่ไม่เปิดเผยตัว ความฝันแปลก ๆ กับชายลึกลับที่นั่งรถทัวร์มาพร้อมกัน และยังมีเรื่องห้องพักของเธอที่ไม่ได้เหมือนกับห้องพักคนอื่น ซึ่งเรื่องนี้เธอได้ข้อมูลมาจากปานเลขา
หลังจากเลขาสร้อยจันทร์เดินออกจากห้องไปได้สักพัก เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้นบนโต๊ะกลมทรงสูงตั้งอยู่ข้างชั้นวางโทรทัศน์ติดผนังฝั่งปลายเตียง อุรัสยาเดินไปรับเพราะคิดว่าช่วงเวลานี้ไม่มีใครติดต่อเธอแน่นอนนอกจากแม่ผู้จัดการสาวประจำตัวของเธอเอง
“กระติ๊บเองนะ” ต้นสายกรอกเสียงรายงาน ก่อนพูดต่อ “ฉันแค่จะโทรมาบอกเรื่องห้องพักของฉัน ว่าผนังวอลเปเปอร์สีครีม โต๊ะตู้เตียงสีขาว ไม่เป็นโทนเขียวอึมครึมแบบของเธอ”
คนฟังขมวดคิ้ว แต่ก็กรอกเสียงตอบไปเรียบ ๆ “ก็ดีแล้ว” เธอพูดไปแบบนั้น พลันเหลือบไปที่ผนังฝั่งหัวเตียง จึงเอ่ยถามเพื่อนสาวไปว่า “แล้วในห้องกระติ๊บมีกรอบรูปพญานาคหรือเปล่า?”
ปานเลขาพูดว่าห้องของตนเป็นห้องธรรมดาเหมือนห้องพักโรงแรมทั่วไป ไม่ได้ดูเขียวคล้ำคล้ายเถื่อนถ้ำเหมือนห้องของเธอ ที่สำคัญห้องแม่เพื่อนสาวไม่มีกรอบรูปพญานาคอยู่บนผนังฝั่งหัวนอน เกิดจิตคิดสงสัยว่าห้องคนอื่น ๆ จะมีหรือเปล่า หรือมีเพียงห้องเธอห้องเดียว
นึกถึงพญางู ดวงตากลมสวยหันขวับไปดูกรอบรูปอีกครั้ง เธอจมจ่อมกับภาพนั้นเนิ่นนาน รู้สึกตัวอีกทีตอนใจเริ่มสะท้านหวั่นไหว กับความรู้สึกคล้ายถูกจ้องตอบจากสายตาคมดุคู่นั้น!
ฟุ้งซ่านเยอะไปแล้วเรา..หญิงสาวส่ายหน้าน้อย ๆ ก่อนจะยกสิ่งที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาอ่าน เพื่อขับไล่ความคิดที่ดูจะกระเจิดกระเจิงให้กลับมาเป็นปกติ แต่แล้วก็ต้องผจญกับอาการตะลึงพรึงเพริดเข้าอีก เมื่อพบกับตัวละครนาคีที่มีชื่อว่า อุรัสยาวารี ด้วยว่าข้อตกลงของทางนายทุน คือจะให้บทละครที่เกี่ยวข้องกับสถานที่ถ่ายทำแก่นักแสดงวันต่อวัน จึงไม่มีใครได้อ่านเนื้อหาละครเรื่องนี้มาก่อนสักคน
นายทุนนั่นใช้ชื่อเธอเป็นชื่อนาคีเชียวหรือ บ้าไปแล้ว  ดาราสาวไล่สายตาอ่านเนื้อหาอีกครั้ง ซึ่งระหว่างที่เพ่งพิศทุกตัวอักษรก็ไม่ได้รู้เลยว่า การทิ้งจิตให้นิ่งนานมันก่อเกิดสมาธิ ทำให้เนื้อหาละครในหน้ากระดาษกลายเป็นมโนภาพที่ทวนย้อนสู่ห้วงมิติหนึ่ง
ในคืนเดือนเพ็ญผิวน้ำกลางบึงสะท้อนแสงจันทร์นวลเรืองรอง ท่ามกลางบัวตูมบัวบานมีเสียงหัวร่อต่อกระซิกของหนุ่มสาว เสียงทั้งสองประสานกังวานไปด้วยความสุข
และมโนภาพอันเลือนรางก็ตัดมาอีกฉากหนึ่ง ช่องแคบภายในถ้ำหญิงคนเดิมกำลังอิ่มเอมหัวใจกับร่างใหญ่ที่ตนเกาะเกี่ยวไว้แน่น ขณะพายุรักกำลังหลอมละลายสองร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งในมโนภาพเหมือนมีสองมิติซ้อน มิติหนึ่งคือร่างคนแต่อีกมิติหนึ่งคือร่างเลื้อยยาวกระหวัดเกี่ยวกันในห้วงเสน่หา ก่อนที่พายุรักที่ไม่ได้มีแต่ความใคร่จะจบลงอย่างอบอุ่นนุ่มนวล แล้วร่างใหญ่รั้งร่างเล็กที่ยังหายใจหอบ มาตะกองกอดบนอกกว้างไว้อย่างทะนุถนอม ก้มลงมอบจุมพิตที่หน้าผากกลมมลเบา ๆ พร้อมเอ่ยถ้อยคำต่อหญิงสาวอย่างรักใคร่
“เจ้ารู้หรือไม่อุรัสยาวารี เจ้าช่างเป็นนาคีที่งดงามจับใจข้านัก”
“จริงหรือท่าน แต่ข้าว่าท่านก็เหมือนนาคราชองค์อื่น ๆ นั่นแหละ มิได้ต่างกันเลย” เสียงใสพูดตอบกลับไป โดยหารู้ไม่ว่าถ้อยคำเหล่านั้นได้ทำให้สีหน้าด้านข้างของคนฟังเครียดขึ้งทันที
อุรัสยาสลัดศีรษะขับไล่มโนภาพเสียดแทงหัวใจ นาคีผู้นั้นจิตใจทำด้วยอะไรหนอถึงได้หักหาญน้ำใจคนรักด้วยคำพูดพล่อย ๆ เธอเป็นคนนอกได้ฟังยังโกรธแทน
เพราะเธอไม่เห็นว่าแววตาคนพูดเป็นอย่างไร จึงไม่สามารถประเมินได้ว่านาคีสาวพูดจริงหรือหยอกล้อ แต่เท่าที่สัมผัสบรรยากาศเหมือนมันร้อนระอุด้วยอารมณ์โกรธเป็นไฟของนาคราชหนุ่มเลยเชียว
สมควรจะโกรธ ก็เพิ่งจะสุขสมอารมณ์หมายกัน นางก็ปากพล่อยเสียนี่
ในขณะเธอกำลังวิจารณ์นาคีสาวด้วยเห็นใจนาคราชหนุ่ม มโนภาพเหล่านั้นก็เปลี่ยนเหมือนถูกตัดเข้าสู่อีกฉากหนึ่ง จากฉากความสุขสนุกสนาน กลายมาเป็นฉากโศกาอาดูร
เมื่อภาพนาคีร่าเริงเปลี่ยนมานั่งร่ำไห้อยู่บนเนินดินริมฝั่งน้ำ เบื้องหน้ามีร่างใหญ่ของชายหนุ่มสองคนนอนราบไร้ลมหายใจ นางร่ำไห้ปานจะขาดใจอยู่นานจึงลุกขึ้นเดินโซซัดโซเซไปหาชายหนุ่มนุ่งขาวห่มขาวราวผู้ทรงศีล ซึ่งยืนมองสิ่งที่เกิดตรงหน้าด้วยอาการนิ่งสงบ และเมื่อทั้งสองยืนประจันหน้ากัน นาคีผู้โศกเศร้าก็ทำท่าคล้ายดึงบางสิ่งบางอย่างออกจากข้อมือ ยื่นไปให้กับชายผู้ทรงศีลคนนั้น  พร้อมเอ่ย
“ข้าขอฝากสิ่งนี้ไว้กับท่าน โปรดรักษาไว้ให้ข้าด้วยเถิด ท่านวทันยู”
อุรัสยาไม่ทันได้เห็นว่าชายหนุ่มผู้ทรงศีลนั้นตอบรับนาคีสาวว่าเช่นไร ภาพต่าง ๆ ก็ราวกับก้อนเมฆถูกกระแสลมพัด กระจายสลายไปเสียก่อน
ซ่าซ่า..เสียงสายน้ำกระทบฝั่งดังพอเรียกสติหญิงสาวหลุดจากภวังค์ ให้มองผ่านบานกระจกใสออกไปด้วยความสนใจ จังหวะนั้นเอง สายตาของเธอสะดุดกับบางสิ่งบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวเป็นระลอกคลื่นอยู่กลางกระแสน้ำ
“ตัวอะไร? เอะ!” หญิงสาวรำพัน ก่อนเบิกตากว้างกับร่างใหญ่ยาวที่ค่อย ๆ โผล่พ้นผิวน้ำ ซึ่งเธอตาไม่ฝาดและไม่ได้คิดไปเองแน่ว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า มันเหมือนภาพ นาคราช ที่อยู่ในกรอบบนผนังนั่น!
สิ่งที่เห็นไม่อาจทำให้เธอละสายตาได้ จึงได้เห็นว่าร่างทะมึนขึ้นจากน้ำ แล้วค่อย ๆ กลายร่างเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดแบบเดียวกับผู้ชายที่นั่งรถทัวร์มาพร้อมกันเมื่อเช้านี้  และกำลังเดินมุ่งเข้าสู่ตัวอาคาร
เสื้อแจ๊กเก็ตสีดำ เท้าไวเท่าความคิด เมื่อต้องการคำตอบหญิงสาวจึงโยนสิ่งที่อยู่ในมือไว้บนที่นอน ก่อนเปิดประตูห้องและออกไปยืนอยู่หน้าลิฟท์
  ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าคุณเป็นใคร ความอยากรู้มีมากกว่าความกลัว อุรัสยาตั้งเป้าหมายแน่วแน่ โดยลืมร่างยาวที่เลื้อยขึ้นฝั่งแล้วกลายเป็นมนุษย์ไปเสียสนิท
อุรัสยาจ้องแผงที่มีตัวเลขระบุชั้น เธอเห็นไฟลิฟท์เคลื่อนจากตัวเลขชั้นสามลงสู่ชั้นหนึ่ง พาหนะสี่เหลี่ยมหยุดรับผู้โดยสารด้านล่างสักพักก็เคลื่อนตัวลงไปอีก รอยยิ้มกดลึกตรงมุมปากสวย เมื่อคิดว่าเขาคนนั้นต้องพักอาศัยอยู่ชั้นใต้ดินที่ระบุตัวบี
“ขี้เกียจเหลือเกิน แค่ชั้นเดียวก็ต้องใช้ลิฟท์” หญิงสาวเหยียดปากกับความขี้เกียจเดินของชายหนุ่ม แต่ทว่าเพียงไม่นานรอยยิ้มเหยียดที่เห็นปรากฏเพียงน้อยนิดต้องเลือนหาย เมื่อลิฟท์ที่สมควรจะหยุดอยู่แค่ชั้นบี ซึ่งระบุเป็นชั้นต่ำสุดมันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะลิฟท์ยังแสดงการเคลื่อนผ่านชั้นลงไปอีก ก่อนจะหยุดลงพร้อมกับแสงสีเขียวเรือง ๆ หายไป
“มีอีกชั้นลึกลงไปอีกหรือนี่?”
 
 ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 



 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น