วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 10 หนี้แค้น



นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่อง เสน่หานาคี



ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งไร้เมฆฝนบดบังความสดใส ส่งผลพิธีกรรมบวงสรวงในช่วงเช้าสำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยดี ชั่วโมงต่อมารถนำเที่ยวเคลื่อนตัวออกจากนครนาคาเพื่อนำทุกคนเข้าเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางศาสนา พร้อมกับเลาะเลียบสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดตามกำหนดการจากทางฝ่ายจัดการโรงแรมได้แจ้งไว้
แห่งแรกคือวัดโพธิ์ชัยในเมืองหนองคายกราบไหว้หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสีสุก ประดิษฐานภายในโบสถ์ด้วยพระพุทธลักษณะงดงามถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง แล้วตื่นตาตื่นใจกับหงอนพญานาคลักษณะคล้ายหินปูนรูปร่างสามเหลี่ยม ผิวขรุขระ มีรอยเป็นแนวเหมือนซี่ฟัน ทางวัดจัดแสดงไว้ในตู้ใสมีขันเงินขันทองรองรับอย่างดี
รถเคลื่อนที่อีกครั้งนำพาเยี่ยมชมถ้ำผาบนภูทอก  ภูเขาโดดเดี่ยวมีสะพานไม้เวียนรอบยอดเจ็ดชั้น จากนั้นจึงเดินทางย้อนมาวัดอาฮงศิลาวาส วัดอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ตามความเชื่อของชาวบ้านเชื่อว่าแม่น้ำบริเวณนี้มีถ้ำ ทางเข้าออกของเมืองบาดาล ช่วงออกพรรษาพญานาคจะมารวมกันที่นี่ เพื่อร่วมถวายดวงประทีปพุทธบูชาซึ่งตรงจุดโขดหินกลางลำน้ำเรียกกันว่าแก่งอาฮง หรือสะดือแม่น้ำโขงที่มีระดับความลึกที่สุดเป็นจุดเกิดดวงไฟพญานาค บริเวณนี้มีกระแสน้ำเชี่ยวแรงไหลวนจนเห็นเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ซึ่งหากมีสิ่งใดลอยเข้าใกล้คงถูกดึงลงไปหมุนวนแล้วจมหาย

เย็นย่ำดวงตะวันคล้อยตัวเตรียมลับขอบฟ้า รถทัวร์นำพากองถ่ายกลับเข้าสู่เขตที่พักอาศัย เสียงสรวลเสเฮฮาดังกระหึ่ม จากความสุขสนุกสนานที่ได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งในช่วงเวลาความสุขระริกรื่น ความลึกลับดำมืดก็คืบคลานเข้ามาใกล้..
บริเวณป่าไม้ยืนต้น มือหนาหยาบกร้านขย้ำเปลือกไม้แห้งกร่อนออกจากลำต้นไม้ใหญ่ ดวงตาดุดันหรี่มองช่วงท้ายรถขบวนแล่นลิ่วผ่านประตูเข้าไปจนลับตา ริมฝีปากคล้ำหนาแห้งผากขยับปล่อยสุ้มเสียงแผ่วเบาดั่งใบไม้เสียดสีต้องลม แต่มนต์ดำกลับมีพลังอำนาจ ผลักดันสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนตัวอยู่บนคาคบไม้ให้ร่างร่วงลงมากระทบพื้นดิน ไม่ทันจะมีโอกาสได้เลื้อยหนีก็ต้องดาวดิ้นสิ้นชีพด้วยปลายมีดหมอที่พุ่งปักลงกลางลำตัว
ชายชราในชุดม่อฮ่อมดำผิวคล้ำสักยันต์ลายไปทั้งตัว เกร็งมือจับด้ามมีดแล้วดึงมันขึ้นมา ดวงตาเหี้ยมเกรียมเป็นประกายพึงพอใจกับผลงานของตนเป็นอย่างดี ก่อนแลบลิ้นชิมรสหยดเลือดสีแดงฉานที่ติดอยู่ตรงปลายคม
“หึ..เลือดพวกแกนี่มันช่างหอมเสียจริง ๆ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของอาจารย์อาคม ต่างหมายมาดจะได้ดื่มด่ำรสชาติหอมหวานของเหยื่อ ที่ตนได้สังหารไปเมื่อสักครู่ในมื้อเย็น 

องค์นาคินทร์หลุดจากสมาธิญาณเมื่อภัยคืบคลานอยู่นอกเขตนครนาคา องค์นาคราชทรงกายลุกขึ้นก่อนก้าวมายืนอยู่ข้างบ่อน้ำ ผิวน้ำใสนิ่งปรากฏภาพดาราสาวเปิดประตูเข้ามาภายในห้องพัก ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มก่อนเอนกายลงนอนหลับตาด้วยความอ่อนเพลีย
ดวงตาดำเหลือบมรกตจ้องจดผู้ไม่มีโอกาสรู้ภัยกำลังมาถึงตัว นางอาจคิดว่าชาตินี้ตนไม่เคยเกี่ยวข้องกับบุคคลอันตรายผู้นั้น แต่หารู้ไม่ว่าตนได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในชาติที่ผ่านมา
..ภายในป่าไพรล้วนมีสัตว์น้อยใหญ่อยู่มากมาย นายพรานเฒ่าผู้ได้ศึกษาวิชามนต์ดำกับพ่อมดหมอผีจนอาคมแก่กล้า จ้องเล็งเนื้อหวานกระโดดเด่งอยู่ตรงหน้า สบจังหวะจึงลองเพ่งตาสังหารเหยื่อผ่านมนต์ที่ได้ร่ำเรียน
กระต่ายน้อยดิ้นรนจากเพชฌฆาตที่มองไม่เห็นอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วจู่ ๆ ขณะเหยื่อกำลังหมดลมหายใจ ก็เกิดควันบาง ๆ ลอยคว้างไปทั่วบริเวณ พรานเฒ่าเบิกตากว้างด้วยกลุ่มควันจางควบคุมมนต์ดำของตนจนสลาย คืนความสดใสให้ดวงตากระต่ายน้อยพร้อมกับเรี่ยวแรงที่นำพาเนื้อหวานอวบอ้วนกระโดดผลุงหายไปในพงหญ้า
“ใครบังอาจมาลบหลู่คาถาของข้า” พรานเฒ่าบันดาลโทสะ ความโกรธขึ้งแล่นเป็นริ้วบนใบหน้าเหี่ยวย่นเหี้ยมเกรียม  เมื่อมีผู้พรากอาหารอันโอชาของตนไปต่อหน้าต่อตา
พรานเฒ่าชี้นิ้วคาดโทษ นางผู้บังอาจล่วงเกินอำนาจของเขา
“เจ้ารู้หรือไม่ ความตายจะมาเยือนเจ้า ที่บังอาจมาพรากเหยื่อไปจากข้า”
นาคีสาวหัวเราะเสียงใส ก่อนยิ้มเยาะถ้อยคำขู่ของพรานเฒ่า
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ความตายอาจมาเยือนเจ้าเช่นกัน ถ้าเจ้าบังอาจมายุ่งกับข้า”
“นางนาคี” พรานเฒ่าจ้องตานางนาคีโฉมงามอย่างไม่ลดละ แม้รู้ว่านางเป็นใคร และรู้ว่านางมีบุญบารมีมากเท่าใด พรานเฒ่าก็ยังมั่นใจในมนต์คาถาของตน จึงกล่าวท้าทายนางนาคีอย่างไร้ความเกรงกลัว “เจ้าอยากลองดูใช่หรือไม่ ว่ามนต์อาลัมพายของข้า มันทำอะไรกับเจ้าได้บ้าง”
โฉมงามผู้เคยอยู่บนฟ้าบนสวรรค์ไม่เคยได้สัมผัสมนต์คาถาดังกล่าว ยังผยองด้วยหลงลืมว่าตอนนี้ตนเป็นพญานาคีชาติพันธุ์งูใหญ่หาใช่นางฟ้าอีกต่อไปแล้ว
“มนต์บ้าอะไร ข้าไม่เคยรู้จัก แต่ถ้าเจ้าคิดลองดีกับข้า ก็ลองดูสักตั้งซีเจ้าพรานเฒ่า”
เมื่อวาทะเชือดเฉือนจบลง ต่างฝ่ายต่างกำหนดจิตเพื่อสู้กันให้รู้ผล ทว่านางพญานาคีแม้มีอิทธิฤทธิ์มากมายก็หาสู้มนต์อาลัมพายคาถาปราบปรามชาติพันธุ์งูได้ไม่ จึงต้องมนต์พรานเฒ่าทำให้ประสบกับความพ่ายแพ้ ร่างทั้งร่างถูกตรึงแม้แต่ปากก็ยังขยับไม่ได้
แต่นาคีสาวหายอมจำนนแต่โดยดี ยังคงใช้วิธีกลับคืนสู่ร่างใหญ่ตวัดลำตัวยาวรัดร่างศัตรูจนเสียหลักพร้อมแผ่พังพานห้าเศียรเหนือร่างที่ล้มตัวลง แต่เพราะปากพรานเฒ่ายังขมุบขมิบท่องมนต์อันทรงพลัง จึงทำให้กำลังวังชาที่เลื้อยรัดอ่อนแรงลงทุกที ๆ จนกระทั่งพรานเฒ่าสามารถขยับตัวและยกมือหยาบกร้านขึ้นขย้ำลำตัวของนางได้
ทว่าจังหวะที่พรานเหี้ยมโหดกำลังจะปลิดชีพศัตรูลงได้นั้น กระต่ายน้อยขยับขยุกขยิกในพงหญ้าก่อนใช้แรงทั้งหมดที่มีกระโดดออกมากางเล็บตะปบเข้าที่ปากนายพราน ส่งผลให้มนต์อาลัมพายขาดช่วง และทำให้พญานาคีเลื้อยหนีจากเงื้อมมือคู่ต่อสู้ นางได้จังหวะหันกลับมาพ่นไฟเผาผลาญร่างชรา พรานเฒ่าร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน สักพักร่างทั้งร่างไหม้เกรียมกลายเป็นผุยผง
“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเรา” นางพญานาคีนิมิตร่างเป็นมนุษย์สาว ยอบกายลงอุ้มกระต่ายน้อยผู้ช่วยเหลือตน ก่อนจะยิ้มร่ากับความออดอ้อนของมัน “เอาล่ะ ทีนี้เราจะหาที่อยู่ใหม่ให้ เจ้าจะได้ไม่เป็นอาหารของใครอีก”
อุรัสยาวารีอุ้มกระต่ายน้อยเดินจากไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าภายในกองเถ้าธุลีมีเกล็ดของตนปะปนอยู่  เนื่องจากระหว่างโดนขย้ำลำตัว เกล็ดหลุดติดมือนายพรานมาด้วย ทำให้ไฟที่นางพ่นออกมาเผาผลาญร่องรอยของตนไปพร้อมกับนายพราน
“เจ้าต้องเผชิญกับหนี้แค้นของพรานเฒ่า นั่นเพราะว่าเจ้าซุกซนอวดเก่งและถือดีไงเล่าอุรัสยาวารี” คำกล่าวขององค์นาคินทร์คงดังก้องไปถึงโสตรับรู้ของผู้ถูกกล่าวถึง คนนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นสะดุ้งเปิดเปลือกตาฉับพลัน
ท่าน หญิงสาวเพียงนอนพักสายตา เกิดอุปาทานคล้ายว่าตนถูกจ้องมอง พลางคาดเดาว่าดวงตาลึกลับอาจเป็นของผู้ที่ทำให้เธอคิดถึงเขามาทั้งวันก็ได้
เธอหยัดกายลุกนั่ง หันสายตามองไปยังกรอบรูป
“ท่าน ใช่ท่านหรือเปล่า” น้ำเสียงผะแผ่วเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบงัน พลางเพ่งพิศดวงตาสีแดงนั้นให้ความรู้สึกว่ากำลังจ้องตอบกลับมา หญิงสาวขยับลุกและเหยียบขึ้นไปบนที่นอน เธอเดินไปยืนหน้ากรอบรูป ยกมือเรียวขึ้นสัมผัสความรู้สึกผ่านกระจกใส ขณะเอ่ย
“ฉันรู้ว่าท่านกำลังมอง" ไม่ยุติธรรมเลยที่เธอจะต้องถูกแอบมองอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่เขาไม่แม้แต่จะปรากฏตัวให้เห็นแบบนี้ "ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าท่านต้องการอะไรกับฉันกันแน่ และนั่นหมายถึงฉันจะไปเยือนท่านอีก”
องค์นาคราชซึ่งถูกมนุษย์สาวพูดจาท้าทายผ่านผิวน้ำขมวดคิ้วมุ่น ไม่ชอบใจความอวดเก่งถือดีของอีกฝ่ายเลยสักนิด จึงคิดสั่งสอน
“อุรัสยาวารี แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราต้องการอะไรจากเจ้า”
ถ้อยคำตอบโต้เหมือนสะท้อนผ่านผิวน้ำกลับไปให้ผู้ยืนอยู่หน้ากรอบรูปได้ยิน ใบหน้าสวยใสจึงดูละม้ายพอใจ แม้นไม่รู้ว่าสารที่ได้รับกลับมานั้นจะมีใจความว่าอย่างไร
“ฉันถือว่าท่านรับรู้การไปเยือนของฉันแล้วนะคะ ท่านนาคราช” สิ้นคำกล่าว หญิงสาวถอยล่นตัวเองลงนั่งขัดสมาธิ แหงนหน้าจับจ้องรูปภาพไม่วางตา ราวประทับคำมั่นสัญญาต่อคนผู้นั้นว่า เธอไปแน่

เที่ยงคืน ร่างสูงหุ่นระหงในชุดกางเกงนอนเยื้องย่างออกจากลิฟท์ เดินผ่านทางคล้ายปากถ้ำมาหยุดยืนอยู่กลางโถงกว้าง สะดุดตากับเตียงสี่เสาหรูหราตั้งวางอยู่ตรงมุมถัดไปจากบ่อน้ำ
อุรัสยาจำได้ว่าก่อนนั้นไม่มีเตียงหลังนี้สักหน่อย หญิงสาวคิดพลางเดินไปรอบบ่อสำรวจความผิดปกติและคิดไปว่าอีตานาคราชต้องใช้บ่อน้ำนี้จ้องมองเธอในตอนหัวค่ำแน่ ๆ  ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเตียงสี่เสาพร้อมก้าวเดินเข้าไปหา
“ถึงกลับมีที่นอนในนี้เชียวหรือ” หญิงสาวตั้งคำถามพร้อมกวาดตาพินิจ ก่อนนึกได้ว่าเคยเห็นเตียงนี้ในนิมิตเมื่อตอนนางฟ้าอุรัสยาวารีจุติมาเป็นพญานาคิณี
ความใคร่รู้เรื่องราวต่าง ๆ ผลักดันให้เธอทิ้งตัวลงนั่ง มือเรียวลูบไล้ไปบนเนื้อผ้าปูว่าจะเหมือนหรือต่างกับโลกมนุษย์อย่างไร ต่อเมื่อได้สัมผัสจับต้องไปบนเนื้อผ้า ร่างกายก็เกิดอาการง่วงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ซึ่งยากจะต้านทานเธอจึงปล่อยกายและใจได้หยุดพักผ่อนทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วหลับตา 
ทว่าจิตใต้สำนึกกลับมิได้หลับใหลไปพร้อมกับดวงตา เธอยังสัมผัสได้ว่าเบาะนุ่มยุบยวบเกิดจากน้ำหนักของใครบางคนกดทับลงมา ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มห้าวกล่าวอย่างเยาะหยัน
“อุรัสยาวารี เจ้านี่ช่างหาเรื่องใส่ตัวเสมอ เจ้าน่าจะคิดให้ถ้วนถี่ว่าการมาเยือนเราซึ่งเป็นชาย เจ้าจะได้พบกับอะไร”
หญิงสาวแม้นอนหลับตาแต่ความรู้สึกทุกส่วนยังตื่นเต็ม เกิดอาการหนาวสะท้านขณะมือเย็นยะเยียบสัมผัสลากไล้มาบนลำคอระหง กายสาวร้อนวูบวาบไปกับปลายนิ้วลากละเลียดมาบนนวลแก้ม และร้อนรุ่มไปทั้งร่างเมื่อมือนั้นหยุดอยู่ตรงริมฝีปาก
องค์นาคราชไล้นิ้วไปรอบริมฝีปากอิ่มที่ตนเคยฝากรอยจุมพิตไว้ พลางนึกขันกับอาการหวั่นไหวของคนอวดดีที่บังอาจมาท้าทายตน
“เรารู้ว่าเจ้ามาแน่ แต่เจ้าก็ควรรู้ว่าเราจะไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลกลับออกไปโดยไม่ได้รับบทเรียนเช่นกัน” องค์นาคราชหนุ่มเผยยิ้มเย็น ก่อนก้มลงมอบจุมพิตที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสขัดขืน
อุรัสยาอึดอัดไปหมดกับร่างกายทุกส่วนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เว้นแต่ริมฝีปากที่จู่ ๆ ก็ขยับตอบสนองผู้คุกคาม จนอีกฝ่ายย่ามใจ ดุนลิ้นดันรุกเร้าเรียกร้องเอาตามแต่ใจ แม้แต่กระดุมเสื้อนอนติดมิดชิดอย่างดี ก็ดูเหมือนจะหลุดตัวออกจากรังดุม ยามเมื่อมือสัมผัสผ่านเนินอก ทำให้สาบเสื้อแยกปล่อยเนินเนื้อสัมผัสถูกอากาศเย็นในโถงถ้ำ
อย่า..ท่าน ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ หญิงสาวร่ำร้องขอความเมตตาจากพญานาคาในใจ พลางภาวนาขอให้เขาได้ยินยอมปล่อยเธอไป
“กลัวแล้วหรือ แต่ก่อนนั้นเจ้าใยไม่คิด มาร่ำร้องขอความเมตตาจากเราตอนนี้ จะมีประโยชน์อันใด” องค์นาคินทร์กล่าวพร้อมจ้องมองร่างนอนนิ่งตรงหน้าแต่ภายในกำลังดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดสุดชีวิต
ดาราสาวตระหนักว่านาคราชหนุ่ม กระทำเพียงต้องการสั่งสอนความอวดดีของตนที่ริอาจท้าทายเขา แต่เพราะถือว่าตนมาดีไม่มีเจตนาล่วงเกินใด ๆ จึงต่อว่าต่อขานอีกฝ่ายออกไป ท่านทำไม่ถูก ฉันมาหาท่านเพราะอยากจะรู้เรื่องราวพญานาคิณีของท่าน ไม่ได้มีเจตนามาท้าทายอำนาจท่านเลยสักนิด ทำไมท่านต้องมาล่วงเกินร่างกายฉันแบบนี้ด้วยล่ะ
คิ้วดำขององค์นาคราชเลิกขึ้น มุมปากยกยิ้มเยาะขณะกล่าวแย้งนาคีผู้สร้างความวุ่นวายใจให้กับตน “เจ้าต้องการรู้เรื่องราวพญานาคิณีของเรา เราก็กำลังเล่าให้เจ้าได้รู้นี่ไง อีกอย่าง การที่เราสัมผัสจับต้องเมียของเรา มันมิใช่เป็นการล่วงเกิน แต่มันเป็นสิทธิ์ของเราต่างหาก”
อุรัสยาได้ฟังคำกล่าวเหล่านั้นแล้วใจร้อนวาบ แต่ก็ยังคิดหาหนทางหยุดการกระทำของเขาให้ได้ ฉันแค่มีหน้าตาเหมือนกับพญานาคิณีของท่าน ไม่ได้เป็นภรรยาท่านเสียหน่อย ท่านจะมาเหมาเอาเองแบบนี้ไม่ได้นะ
ระหว่างที่โต้ตอบกัน อำนาจลึกลับก็ปลดกระดุมหลุดเป็นเม็ดสุดท้ายพอดี สาบเสื้อทิ้งตัวลงข้างลำตัวหญิงสาว เผยทรวงอกสร่างที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ยกทรงเนื้อผ้าเนียนนุ่มสีหวาน กายสาวสะดุ้ง! กับตะขอชุดชั้นในที่หลุดออกจากตัวยึดด้านหลังอย่างง่ายดาย โดยที่เขาไม่ต้องออกแรง 
แย่แล้วเรา หญิงสาวละม้ายได้ยินเสียง หึ ผ่านลำคอด้วยความพอใจของอีกฝ่าย ขณะปราการชิ้นสุดท้ายของเธอถูกถอดออกจากร่าง เธอแทบอยากจะกลั้นใจตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดวงจิตถูกฉุดให้ต้องพบอาการสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง กับมือเย็นเมื่อสักครู่บัดนี้กลายเป็นมืออุ่นร้อนกำลังเคลื่อนมาบนลำคอระหง และลากไล้ผ่านลงมาเนินอก จนกระทั่งหยุดอยู่..นาทีระทึกขวัญหยุดอยู่ตรงนั้น ด้วยร่างกายของดาราสาวได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
..นาคีอุรัสยาวารียกข้อมือเรียวเพื่อจุมพิตกำไลนาคราช พลางส่งสายตาบ่งบอกองค์พระสวามีว่าตนนั้นมีความรักมากมายต่อเขาเพียงไร ก่อนจะซบศีรษะลงตรงอกกว้าง ให้โอกาสอีกฝ่ายก้มลงจุมพิตดอกมะลิที่ปักอยู่บนมวยผมหอม เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนั้นเช่นกัน
ทั้งสองเอนกายลงนอน ต่างร่วมบรรเลงเพลงแห่งรักให้สอดประสาน กับกลิ่นอายเสน่หาที่ต่างมีให้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนาคีโฉมงามแห่งลุ่มน้ำขยับตอบรับบทรักขององค์พระสวามีอย่างสุขสม
 
 ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 












 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น