นิยายเปิดเช่าและขาย
เสน่หานาคี
“กระติ๊บเธอเห็นธัชหรือเปล่า
ตั้งแต่ลงจากรถฉันไม่เห็นเขาเลยนะ” อุรัสยาเอ่ยถามเพื่อนสาว หลังลงจากรถทัวร์มาหยุดยืนรวมกับพงศกรผู้กำกับวัยห้าสิบต้น
ๆ ซึ่งยืนเยื้องเขาไปด้านข้างคือดาวร้ายสาวสวยแห่งปี
“แหม
เธอสองคนเนี่ย ไม่คนใดคนหนึ่งต้องถามหากัน” ปานเลขากระซิบเบา ๆ เป็นเชิงเตือนว่าอย่าถามถึงกันบ่อยนัก
ไม่อยากให้ดาราเพื่อนรักตกเป็นเป้าสายตาคนอื่น
“เขาเป็นเพื่อนอีกคนนี่”
อุรัสยากล่าวเชิงเตือน ว่าชายหนุ่มเป็นเพื่อนด้วยเหมือนกัน
“ยะ
เออ แต่ว่าฉันก็ไม่เห็นเขาเลยนะ ตอนลงจากรถไม่ทันสังเกต”
ปานเลขาส่ายสายตามองไปโดยรอบ ก่อนจะได้ยินผู้กำกับพงศกรหันมาถามไถ่ถึงดาราหนุ่มกับเพื่อนสาวเธอเสียงดัง
“อุ้ม
เห็นธัชหรือเปล่า ตอนลงจากรถผมไม่ยักจะเห็นเขาเลย” พงศกรยืนเอามือเท้าเอว กวาดตามองหาดาราหนุ่ม
“อุ้มก็กำลังมองหาค่ะ
ค่ำลงมากแล้วด้วย ไม่รู้ไปอยู่เสียตรงไหน” พูดไป สายตาก็กวาดมองไปรอบบริเวณ
เห็นแต่พนักงานในกองถ่ายกำลังขนสัมภาระลงจากช่องเก็บของ แล้วทยอยมายืนรวมกัน
“เอ
ไปไหนของเขา งั้นเราเข้าไปก่อนเถอะ มีคนมายืนคอยหน้าโรงแรมแล้ว” พงศกรบอกทุกคน
เขาก้าวเท้ายาวเดินนำ โดยมีเมธิตาเดินตาม สีหน้าสวย ๆ บอกบุญไม่รับ
“อุ้มเดินตามพี่กรไปก่อนเถอะ
เดี๋ยวกระติ๊บไปถามคนอื่นดู เผื่อใครจะเห็นเขาเดินไปตรงไหนบ้าง”
“จ้ะ
แต่เจอไม่เจอยังไงกระติ๊บต้องรีบเข้ามารวมกลุ่มกันนะ
ผิดถิ่นค่ำมืดแบบนี้มันอันตราย”
แม้จะกล่าวกำชับเพื่อนไปเช่นนั้น
แต่ความรู้สึกส่วนลึกของอุรัสยากลับคิดว่าที่นี่ดูอบอุ่นปลอดภัย โดยเฉพาะได้มองเห็นตึกสีน้ำตาลอมแดงขนาดใหญ่โตสามชั้นทอดตัวเหมือนภูเขายาวไปตามลำน้ำ
บันไดด้านหน้าเทอเรซเป็นรูปพญานาคแผ่พังพานคล้ายทำหน้าที่ต้อนรับแขกผู้มาเยือน
หญิงสาวรูปร่างหน้าตาดีสวมชุดพื้นเมืองเสื้อแขนยาวรัดรูปสีชมพูกลีบบัวกับซิ่นผ้าฝ้ายสีน้ำตาลเข้ม
เกล้าผมขึ้นกลางกระหม่อมแซมด้วยดอกมะลิสีขาวนวลแล้วไขว้ความยาวเส้นผมดำเงาลงบ่าข้างหนึ่ง
ยืนรอต้อนรับพร้อมกล่าวเชื้อเชิญ
“คุณเลขาสร้อยจันทร์
รอพวกคุณอยู่ เชิญด้านในค่ะ”
เสียงเด็กกองถ่ายซุบซิบบ่งบอกความรู้สึกกันไปต่าง
ๆ นานา หลังจากหันรีหันขวางกับสถานที่ลักษณะขรึมขลัง พงศกรหันมามองกราด
เชิงเตือนให้ทุกคนเก็บอาการหน่อย ก่อนเดินนำเข้าไปก่อน
“บรรยากาศดูพิลึก
ๆ ยังไงก็ไม่รู้เนอะ”
เสียงกระซิบกระซาบต่อกันในกลุ่มเด็กกอง
ดังมาพอได้ยิน อุรัสยาหยุดฝีเท้า ในความรู้สึกของเธอ ที่แห่งนี้พิลึกไหม? ไม่แน่ใจ
แต่เท่าที่รู้สึกตอนนี้คือทุกก้าวที่ย่างเหยียบเหมือนมันนำพาเธอกลับมายังที่ที่เธอคุ้นเคย
อุรัสยามองไปรอบ
ๆ พิศวงความรู้สึกตัวเอง ต่อเมื่อได้ยินเสียงปานเลขาเดินเข้ามายืนใกล้ด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ
พร้อมบอกถึงการหายตัวไปของชัชพิมุข เธอจึงเลิกสนใจ
“หาไม่เจอเลย
กะจะถามคนขับ ก็ดันไม่เจอทั้งรถทั้งคน คุณธัชนี่แย่จริง ไปไหนของเขานะ”
ปานเลขาสาธยายพร้อมบ่นให้ในคราวเดียว สีหน้าแววตาฉายความกังวลใจเด่นชัด ซึ่งผู้จัดการส่วนตัวสาวไม่รู้หรอกว่า
ก่อนหน้าที่เธอจะเดินไป รถคันดังกล่าวได้คืนร่างเป็นสัตว์เลื้อยคลานอันตรธานหายไปกับผืนน้ำแล้ว
“ธัชหายตัวไปจริง
ๆ หรือนี่” อุรัสยาอุทานเบา ๆ ด้วยไม่อยากให้เสียงดังเล็ดลอดเข้าไปให้กลุ่มคนที่เพิ่งเดินเข้าสู่ในห้องโถงใหญ่ต้องตกใจ
จังหวะนั้นเองบุคคลที่พวกเธอตามหาก็โผล่มา
“ใครหายตัวไปหรืออุ้ม?”
ดาราหนุ่มเดินตรงเข้ามาหา
สีหน้าท่าทางไม่ทุกข์ร้อน
“ธัช/คุณธัช”
หญิงสาวทั้งสองอุทานเสียงหลง
“ครับ
ผมธัช ชัชพิมุขตัวจริงเสียงจริง” เขายังพูดติดตลก
เพราะนึกขำท่าทางตกใจของดาราสาวคู่ขวัญและผู้จัดการส่วนตัว ลึกในใจอดปลื้มไม่ได้ที่ทั้งสองมีท่าทางกำลังรอคอยการมาของเขาอย่างใจจดจ่อ
เสียงอุรัสยาถามอย่างฉงนใจ
“ธัชไปไหนมาคะ ถามใครไม่มีใครเห็น กระติ๊บออกตามหาคุณเพิ่งกลับมา” พูดจบ หญิงสาวเพ่งพิศชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่ผิดจากเดิม
เมื่อเช้าเขาใส่เสื้อแจ็กเก็คสีดำ และมิได้ถือกระเป๋าเดินทางสักใบ
แต่ในตอนนี้ชายหนุ่มแต่งกายด้วยชุดลำลองเสื้อโปโลสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสีดำ ในมือถือกระเป๋าเดินทางใบย่อมอีกต่างหาก
ทว่า
ความฉงนฉงายถูกความตกใจเข้ามาแทน เมื่อเขาบอกกับเธอว่า
“ผมจะหายไปไหนล่ะครับ
ก็รถของโรงแรมเพิ่งไปรับผมมาจากสนามบินอุดร”
“ห๊า/ห๊า”
สองสาวอุทานเสียงหลงอีก แต่คราวนี้เบาเสียงลง
“คุณ..คุณธัช
กำลังจะบอกเรา..ว่าคุณเพิ่งมาถึงเมื่อตะกี้เนี่ยนะ!” ปานเลขาเอ่ยถามด้วยเสียงตะกุกตะกัก
“ครับ
นี่ไงตั๋วที่นั่งเครื่องของผม” ชัชพิมุขล้วงหลักฐานที่เขาสอดไว้ด้านหลังกระเป๋ากางเกงให้ทั้งสองดู
ซึ่งปานเลขาคว้าไปดู
เสร็จจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเป็นคำยืนยันคำพูดที่เป็นจริงของชายหนุ่มต่อเพื่อนอีกคน
อุรัสยาชะงักกึก
‘มันเป็นไปได้อย่างไร และถ้าเขาพูดจริงชัชพิมุขที่นั่งรถทัวร์มาพร้อมกันเป็นใครอีกคนหรือ?
เมื่อยังเห็นอาการอึ้งกับหลักฐาน
ชัชพิมุขจึงให้เหตุผลเพิ่มเติม
“ตอนเช้าผมขับรถย้อนไปพัทยาเพราะทางกองแจ้งให้เก็บฉากที่ตกค้าง
กว่าจะเสร็จก็บ่ายคล้อยแล้ว ผมแจ้งเข้าฝ่ายการจัดการให้จองตั๋วเครื่องบินมาลงอุดร
จากนั้นทางโรงแรมก็ส่งรถไปรับเพิ่งมาถึงนี่แหละ
ทีนี้ก็ถึงคิวที่พวกคุณต้องอธิบายให้ผมฟังบ้าง เรื่องที่ว่าผมหายตัวไป
มันเป็นยังไงกัน”
อุรัสยาเงียบฟังเหตุผลที่เขาพูดมา
พร้อมกับตกใจคำถามที่ย้อนมาของเขา ซึ่งคำตอบยังกำกวมระหว่างความจริงกับความเข้าใจผิด
จึงบอกเขาว่า “เราอาจจะเข้าใจผิดกัน ไม่มีอะไรหรอก ทุกคนเข้าไปรวมกันอยู่ข้างในแล้ว
เข้าไปกันเถอะ”
อุรัสยารีบตัดบท
พร้อมกับดีใจอยู่บ้างที่ปานเลขาพลอยพยักพเยิดเห็นด้วย ต่อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าทุกคนในกองยังคิดว่าเขาเดินทางมาโดยรถทัวร์พร้อมกัน
ถ้าชัชพิมุขบอกคนอื่น ๆ เหมือนอย่างที่บอกกับเธอและปานเลขา เพียงแค่การมาเยือนเมืองอาถรรพ์ก็ทำให้คนเหล่านั้นตะขิดตะขวงใจพอดูอยู่แล้ว
ถ้าเริ่มต้นด้วยคนที่ไม่มีตัวตน ทีมกองถ่ายคงแตกตื่นกันเสียก่อนจะได้เริ่มงาน
หญิงสาวจึงต้องรีบเอ่ยกำชับแกมขอร้องชายหนุ่ม
“ถ้าทุกคนถามว่าธัชหายไปไหน
ธัชช่วยบอกกับทุกคนนะว่า เออ ไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ”
“อ้าว
ทำไมล่ะ” ชัชพิมุขร้องถาม คิ้วดำเข้มเลิกขึ้นฉงน
“เอาเถอะน่า
นะ ถ้าธัชไม่อยากนั่งตอบคำถามแปดพันเก้ากับทุกคนทั้งคืน ธัชต้องเชื่ออุ้ม ตกลงนะ”
แม้ชัชพิมุขไม่เข้าใจคำขอร้องของเพื่อนสาวจดนิดเดียว
แต่เขาจำต้องพยักหน้า อย่างน้อยประโยคท้ายมันน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
อุรัสยาลอบถอนใจแทบจะดังออกมาพร้อมปานเลขา
ขณะมองตามหลังคนตัวสูงเดินนำหน้าเข้าสู่ด้านใน ทั้งสองจับมือและตอบรับความเข้าใจ
ก่อนจูงมือกันเดินตามหลังชายหนุ่ม
ระหว่างนั้นอะไรบางอย่าง
ย้อนกลับมาให้ดาราสาวทบทวน ชัชพิมุขถูกปานเลขาห้ามมาสนิทสนมกันในขณะอยู่บนรถก็จริง
แต่เขาไม่น่าจะเชื่อฟังเพื่อนสาวของเธอขนาดไม่ยอมทักทายเธอสักคำ
อีกทั้งชายหนุ่มไม่ดื่ม ไม่กินตลอดการเดินทาง
โดยเฉพาะระยะเวลาเดินทางหลายชั่วโมงทุกคนต่างหลับไปหลายตื่น แต่เธอจะเห็นเขาเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่านิ่งขรึมทุกที
ที่สำคัญเมื่อรถถึงที่หมายเขากลับหายตัวไป
ลำดับเรื่องราวต่าง
ๆ ที่เธอฉงนสนเท่ห์ แต่ไม่ทันเฉลียวใจแล้ว
หญิงสาวหยุดกึก..
‘หรือจะเป็นเขา!’ อุรัสยาอุทานขึ้นในใจ
เมื่อใบหน้าชายแปลกประหลาดในความฝันผุดขึ้นมาในความคิด
ชายคนนั้นช่างเหมือนชัชพิมุข ทว่าเป็นไปไม่ได้หรอกก็นั่นมันแค่ความฝัน และเขาไม่มีตัวตน
ทั้งสามหยุดยืนในพื้นที่รับรองแขกซึ่งมีกลุ่มคนนั่งอยู่บนโซฟาชุดใหญ่กันก่อนต่างหันมามองเป็นจุดเดียว
หนึ่งในนั้นคือพงศกรที่ลุกยืนแนะนำว่าใครเป็นใครบ้าง จากนั้นทั้งสามจึงนั่งลงร่วมวงสนทนา
ชัชพิมุขถูกถามเรื่องที่เขาลงจากรถทัวร์แล้วหายไปไหน
เขาตอบคำถามด้วยถ้อยคำที่ได้เตรียมกันไว้ เรื่องของเขาจึงไม่เป็นที่ติดใจของใครอีก
อุรัสยานั่งประจันหน้ากับเลขาสาวที่พงศกรแนะนำว่าชื่อสร้อยจันทร์
หญิงสาวร่างเล็กอรชร ผิวเนียนสีน้ำผึ้งใบหน้าสวยคมนัยน์ตาสวยซึ้งอมเศร้า
สวมชุดผ้าไหมพื้นเมืองแขนยาวรัดรูปสีชมพูกลีบบัวกับซิ่นผ้าไหมสีดำ
มวยผมไว้ท้ายทอยแซมด้วยดอกมะลิสีขาวนวล
มิได้ไขว้ความยาวเส้นผมลงบ่าเหมือนพนักงานคนอื่น ซึ่งแม้จะดูบุคลิกเรียบง่ายแต่มีสง่า
อุรัสยามองใบหน้าสวยคมของเลขาสาว
พลางรู้สึกแปลก ๆ ต่างฝ่ายต่างเพิ่งรู้จัก
ทำไมเธอจึงเกิดความรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า
อุรัสยานึกแปลกใจในความรู้สึกขณะลอบมองคนตรงหน้าพร้อมพินิจกับความรู้สึกแปลก ๆ อีกครั้งจังหวะเดียวกันเสียงผู้กำกับพงศกรหันมาบอกกล่าวกับเธอว่า
“คุณเลขาสร้อยจันทร์จะให้เวลาเราได้พักผ่อนเพื่อเตรียมทำงานสองวัน
ระหว่างนั้นทางกองจะจัดเตรียมฉากที่จะใช้
ส่วนดารานักแสดงจะได้รับบทไปท่องวันต่อวัน”
อุรัสยาได้รับฟัง
นึกแปลกใจจนอดถามไม่ได้ “ไม่ได้ให้บทท่องทีเดียวหรือคะอีกอย่าง อุ้มไม่เห็นเตรียมอุปกรณ์กันมาเลยมีแต่กล้องจับภาพ”
“ท่านให้เราเตรียมแต่ตัวและความพร้อม
เพราะทั้งนักแสดงประกอบ สถานที่และอุปกรณ์ ท่านได้จัดเตรียมให้พร้อมแล้ว”
พงศกรให้คำตอบไขข้อข้องใจดาราสาวทันที
เสียงฮือดัง
แสดงให้เห็นไม่เพียงแต่เธอที่ทึ่งกับการลงทุนของเจ้าของโรงแรม เสียงพงศกรพูดต่อ
“บทบาทที่ทุกคนได้รับจะเกี่ยวข้องกับฉากใต้บาดาล
ซึ่งเป็นเมืองหลวงของพญานาค ฉะนั้นบางฉากอาจจะต้องลงว่ายน้ำกันจริง”
อุรัสยาได้ฟังแล้วตกใจ
แต่คนพูดโพล่งออกมาแทนเธอคือปานเลขา
“แต่อุ้มว่ายน้ำไม่เป็น”
ซึ่งเปิดโอกาสให้อีกคนได้พูดแทรกเช่นกัน
“ดารามืออาชีพ
ต่อให้ว่ายไม่เป็นก็ต้องถ่ายทอดบทบาทให้สมจริงออกมาได้”
คำพูดในเชิงเหยียดหยันของเมธิตา
ทำให้ปานเลขาหันขวับไปเพื่อเอาเรื่อง แต่เสียงชัชพิมุขขัดตาทัพขึ้นเสียก่อน
“อย่าวิตกไปเลยคุณกระติ๊บ
ปกติผมกับอุ้มเล่นด้วยกันแทบทุกฉาก เรื่องว่ายน้ำคงพอใช้มุมกล้องช่วยได้”
ชัชพิมุขรู้ว่าผู้กำกับแอบฝากความหวังไว้ที่เขา เพราะรู้ดาราสาวไม่สันทัดฉากลงน้ำ
ฉะนั้นผู้ที่จะแก้ไขปัญหาก็มีเพียงพระเอกที่เล่นคู่กัน
บวกกับการใช้มุมกล้องช่วยอีกสักนิดทุกอย่างน่าจะผ่านไปด้วยดี
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังคุยเรื่องงานที่จะเริ่มต้นในอีกสองวัน
สายตาของอุรัสยาใช่จะเมินหนีจากใบหน้าที่เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดใจ
จนกระทั่งได้ยินเสียงถามของอีกฝ่าย
“คุณอุ้มมีอะไรจะถามดิฉันอีกหรือเปล่าคะ?”
มีแววยิ้มผุดในดวงตาบนใบหน้าของเลขาสร้อยจันทร์ขณะเอ่ยถาม คนถูกจับได้ว่าจ้องมองผู้อื่นไม่วาง
ถึงกลับสะดุ้ง รีบบอกเหตุผลไปว่า
“เปล่าค่ะ
อุ้มแค่รู้สึก เหมือนเคยเห็นคุณสร้อยจันทร์ที่ไหน แต่นึกไม่ออก”
ใบหน้าเลขาสาวนั้นยังคงยิ้ม
ขณะเอ่ยว่าตนก็รู้สึกแบบเดียวกัน ซึ่งความชอบพออัธยาศัยกันและกัน ก่อเกิดความสบายใจมาสู่การงานที่กำลังจะเริ่มต้น
เพราะสายใยมิตรภาพที่ดีงามจากผู้อุปถัมภ์ย่อมมีส่วนทำให้การทำงานราบรื่น
มีเพียงคนเดียวคิดต่าง
และกังวลว่าตนจะด้อยความสำคัญ
จึงได้แสดงท่าทางไม่ยีหระพร้อมเอ่ยถ้อยคำส่อถึงความรำคาญใจ
“โอ้ย
จะคุยกันอีกนานไหมเนี่ย ไม่เหนื่อยไม่หิว เนื้อตัวไม่เหนียวเหนอะหนะกันบ้างหรือไง”
เมธิตาหงุดหงิดใจที่เห็นคนนั้นคนนี้คุยกันถูกคอ โวยเสร็จ
ดาราดาวร้ายทิ้งคำถามเร่งเร้าไปที่เลขาสาวของโรงแรม “ห้องพักฉันอยู่ตรงไหนล่ะคุณเลขา”
เลขาสร้อยจันทร์ลุกขึ้นยืน
ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยนก่อนผายมือเชื้อเชิญดาราดาวร้ายแสนสวย
“เชิญคุณเมธิตาทางนี้ค่ะ
ดิฉันจะพาไป แต่ก่อนที่เราจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ดิฉันขอแจ้งกำหนดการอาหารแต่ละมื้อคือช่วงเช้าห้องอาหารจะเปิดจ่ายอาหารเจ็ดโมงครึ่ง
อีกรอบคือสิบโมง จากนั้นจะเป็นอาหารกลางวันและสุดท้ายอาหารค่ำทุ่มครึ่ง นอกเหนือเวลานี้แล้วห้องอาหารจะปิดค่ะ”
เลขาสร้อยจันทร์หันมาแจ้งกติกาการพักอาศัยสักเล็กน้อยกับทุกคน ก่อนเดินนำดาวร้ายแสนสวยไปยังลิฟท์อยู่ติดกับเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์
ซึ่งมีพนักงานสาวยืนรอให้บริการกดหมายเลขชั้น
เมธิตามองแบบทึ่งกึ่งพอใจอยู่ในที
นครนาคามีแค่สามชั้นแต่มีลิฟท์กว้างอลังการ ยังแถมมีพนักงานบริการทุกจุด
เจ้าของสถานที่แห่งนี้คงร่ำรวยถึงขั้นมหาเศรษฐี ผู้หญิงคนไหนได้ครอบครองเขาคงอยู่กับความร่ำรวยไปทั้งชาติ
รอยยิ้มกระหยิ่มจุดขึ้นมุมปาก ขณะดาราสาวตั้งความหวังสวยหรู
“โรงแรมมีแค่สามชั้นแต่มีลิฟท์หรูให้บริการ
ดีจังนะคะ” เมธิตาหาเรื่องชวนอีกฝ่ายคุย หลังเข้ามายืนด้วยกันภายในลิฟท์แล้ว
“ลิฟท์เราเป็นแบบไฮดรอลิกเหมาะสมกับอาคารมีน้อยชั้น
และโรงแรมเรามีห้าชั้นค่ะ ไม่ใช่สาม”
เลขาสร้อยจันทร์แก้ไขข้อมูลให้คู่สนทนาด้วยดวงตาเป็นประกาย ซึ่งคู่สนทนาไม่ทันได้สังเกตเพราะมัวสนใจแต่เรื่องของตัวเอง
“แต่ฉันเห็นแค่สามชั้นนะคะ”
ดาราดาวร้ายแย้งขึ้น ซึ่งตนคงมัวแต่ชวนเลขาสาวสนทนาหวังตีสนิท
ไม่ได้สังเกตสักนิดว่าบนแผงควบคุมปรากฏเลขหมายกี่ชั้น
ก่อนเหลือบไปมองแผงตัวเลขชั้นจริง ๆ จัง ๆ ก็ให้สะดุดตาปุ่มอักษรตัวบี
“ตัวบีนี้ชั้นอะไรคะ?”
“ชั้นใต้ดินค่ะ
เป็นชั้นที่เราจัดทำเป็นส่วนพิพิธภัณฑ์นาคา พรุ่งนี้ดิฉันจะพาพวกคุณเข้าชม”
“ชักอยากเห็นเร็ว
ๆ เสียแล้วสิคะ” คำว่าพิพิธภัณฑ์ก็เหมือนคลังเก็บของเก่าล้ำค่า เรียกความสนใจดาวร้ายสาวสวยได้มากมาย
“ไม่ต้องรีบร้อนค่ะ
เพราะห้องต่าง ๆ เหล่านั้นเราจัดใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำความเป็นอยู่ของพญานาคใต้พิภพอยู่แล้ว
คุณได้อยู่ในห้องเหล่านั้นจนเบื่อแน่ ส่วนวันนี้คุณพักให้ร่างกายผ่อนคลายก่อนดีกว่า
ดึกมากแล้ว อีกสักพักเราก็ปิดโรงแรมแล้วค่ะ”
“เอะ
ไม่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือคะ?” เมธิตาแปลกใจ
เพราะปกติจะเห็นโรงแรมเปิดรอผู้มาพักตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
“โรงแรมเรายังไม่เปิดเป็นทางการค่ะ
เราต้องการขายภาพลักษณ์ของโรงแรมทางละครโทรทัศน์ก่อน พูดง่าย ๆ
คือเราต้องการโฆษณาโรงแรมล่วงหน้าก่อนค่ะ”
เมธิตาเข้าใจกระจ่างชัดถึงการลงทุนที่จะได้ผลกำไรตอบแทนกลับมามหาศาลของเจ้าของโรมแรม
ฉะนั้นไม่มีเวลาไหน ที่เธอจะมีโอกาสสร้างความสำคัญของตัวเองได้มากเท่าเวลานี้อีกแล้ว
“วางแผนการตลาดกันดีจังนะคะ
แหม โชคดีจริงที่ฉันได้รับเลือกให้เล่นละครเรื่องนี้ด้วย
เหมือนรุ่นบุกเบิกยังไงไม่รู้”
ชั่วอึดใจลิฟท์ก็มาถึงชั้นสาม
เมธิตาเดินตามหลังเลขาสาว เธอเพิ่งสังเกตว่าความกว้างของชั้นนั้นมีเพดานสูงพอ ๆ
กับโถงกว้างด้านล่าง
ทั้งคู่หยุดฝีเท้าลงด้านหน้าห้องพัก
เมธิตารับคีย์การ์ดรูดเตรียมจะเข้าห้องแล้ว
จึงได้ยินอีกฝ่ายพูดจาฝากฝัง ก่อนอำลาจากกันในค่ำคืนนี้
“ฝากโรงแรมเราด้วยนะคะ”
“อุ้ย
พูดยังกะฉันเป็นผู้จัด แต่ว่าไม่แน่นะคะ ถ้าลองมีดารามืออาชีพอย่างฉันแสดง ย่อมทำให้ละครเรื่องนี้เป็นละครเด่นละครดังแห่งปีได้ง่าย
โรงแรมคุณก็จะพลอยดังเป็นพุไปด้วยเชียวแหละ”
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงและสีหน้าเรียบ ๆ ของเลขาสร้อยจันทร์ตอบรับอย่างสุภาพ
เมธิตามองตามหลังเลขาสาว
เบ้ปากแอบวิจารณ์สร้อยจันทร์ว่าช่างเป็นผู้หญิงที่ดูเชยเหลือทิ้ง ก่อนดันประตูปิดลง
โดยไม่ทันสังเกตเห็นคนถูกวิจารณ์ได้เดินหายไปทางไหน จะฉุกคิดก็แต่เรื่องที่จู่ ๆ
ผุดวาบขึ้น
“ลืมถามยัยนั่นถึงอีกชั้นเลย”
เท่าที่เมธิตาเห็น ชั้นที่เธอขึ้นมาพักถือเป็นชั้นสูงสุดแล้ว แต่ในเมื่อเลขาสาวเจ้าของโรงแรมบอกตึกนี้มีห้าชั้น
จึงเกิดความฉงนสนเท่ห์ว่า..อีกชั้นมันอยู่ตรงไหน?
ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น