นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่อง เสน่หานาคี
ข้างเตียงนอนของดาราสาว
นาคินทรานาคราชผู้ครองนครเอราปถะแห่งเมืองบาดาล จับจ้องวงหน้าเรียวสวยของผู้กำลังหลับใหล
ดวงตาดำพราวด้วยสีมรกตขณะร่ายเวทให้บังเกิดเสียงแห่งนาฏลีลา เสียงไพเราะเสนาะโสตดังก้องเมื่อนิมิตฉากบรรยากาศแห่งสรวงสวรรค์
..เหล่าธิดานางฟ้าต่างร่ายรำพร้อมพุดวงประทีป
ในคืนวันองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทอดพระบาทจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ร่างอรชรแต่ละองค์สวมชฎาและอาภรณ์สีทองอร่ามงามตา
ต่างร่ายรำด้วยท่วงท่าอ่อนช้อยงดงาม
นาคราชหนุ่มนามนาคินทร์
บุรุษกึ่งเทพบนสรวงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พญานาคหนุ่มหล่อ นุ่งผ้าหยักรั้งสีเขียวเข้มเหลือบทอง
อกแกร่งเปลือยไขว้สังวาล รัดเกล้าพญานาค ข้อแขนและข้อมือพญานาคทองคำ สายตาคมนิ่งสนิทกับดวงจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับการบำเพ็ญภาวนาไปพร้อมถวายดวงประทีปลอยเหนือผิวน้ำขึ้นสู่เบื้องบน
แม้นาคราชหนุ่มอยู่ในสภาวะจิตนิ่ง
แต่ลึกลงไปนั้นองค์รู้ดีว่าสมาธิตนกำลังถูกรบกวนด้วยบางสิ่งบางอย่าง..สิ่งนั้นเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าทว่ากลิ่นอายความเสน่หานั้นเล่ากลับแล่นติดตรึงเข้าไปถึงดวงใจ
แต่มิได้มีเพียงจิตของตนที่ถูกเสน่หาแห่งนางฟ้าเล่นงาน
แต่ยังมีบุตรแห่งพญาครุฑานามดลฤทธิ์อีกองค์ ที่ถูกศรเสน่หาของนางฟ้าองค์นั้นปักลงกลางหัวใจเช่นกัน
คีตดนตรีหยุดลงพร้อมกับการร่ายรำสิ้นสุด
เหล่าเทพและนางฟ้าต่างนั่งในท่วงท่าเทพบุตรและเทพธิดาเพื่อถวายพิธีน้อมสักการะบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นวาระสุดท้าย
ก่อนจะลุกขึ้นและทยอยมารวมกันอยู่ในโถงกว้าง ด้านหน้าพระแท่นบัลลังก์ที่ท้าวเทวาราชเจ้าและพระนางเจ้าสิริจันทราประทับอยู่
โดยเหล่าธิดาผู้งดงามทั้งหลายต่างนั่งเรียงเคียงบัลลังก์ทั้งซ้ายขวา
“ปีนี้แสงแห่งประทีปสว่างไสวไปทั่วสรวงสวรรค์
คงเป็นเพราะเหล่ามนุษย์หันมาบำเพ็ญเพียรปฏิบัติศาสนกิจกันมากขึ้น
ช่างน่ายินดี” องค์เทวาราชเจ้าผู้ปกครองเหล่ารุขเทวดา คนธรรพ์ พญานาคและครุฑ กล่าวอย่างปลื้มปีติ
“แล้วธิดาของเราก็ต่างร่ายรำได้แช่มช้อยงดงามนัก”
พระนางเจ้าสิริจันทราฉายพระเนตรเปี่ยมพระเมตตาไปยังเหล่าธิดาที่มีสิริโฉมกันถ้วนทั่ว
ก่อนจะหันมากล่าวกับเหล่าเทพบุรุษ “นานทีเราจะได้มาร่วมถวายประทีปพร้อมกัน
คราวนี้พวกท่านอย่าเพิ่งกลับเมืองกันเลยนะ มาร่วมเฉลิมฉลองกันก่อน”
เหล่าบุรุษกึ่งเทพบ้างก็นิ่งบ้างก็หันไปส่งสายตากรุ้มกริ่ม
เพราะเป็นที่รู้กันว่าภายในคืนถวายประทีปจะเป็นช่วงเวลาที่ต่างรอคอย
ในเมื่อบนสวรรค์มิใช่สถานที่จะเข้าจะออกกันได้ตามปกติ จึงเป็นเรื่องยากที่เหล่าเทพและนางฟ้าจะได้พบประคุยกัน
“ท่านนาคราช
ท่านมองสนใจนางฟ้าองค์นั้นหรือ ถ้าใช่ เห็นทีท่านจะช้ากว่าครุฑาดลฤทธิ์เสียแล้ว
ดูนั่นสิ เขาลุกไปหานางแล้ว” คนธรรพ์หนุ่มกล่าวกระซิบกับผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ตน
เพราะตนได้มองธิดาองค์เทวาราชมิได้ละสายตาเช่นกัน
แต่ทว่าด้วยรู้ถึงชั้นบารมีของนางฟ้าองค์นี้
คนธรรพ์หนุ่มจึงทำได้เพียงเย้ยหยันความต่ำต้อยของตนผ่านพญานาคาหนุ่ม
ซึ่งนั่งทำสีหน้าเรียบเฉย
ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งสวยงามละลานตาเบื้องหน้าเอาเสียเลย
นาคราชนาคินทร์ไม่ได้ทอดตามองตามความปรารถนาของคนธรรพ์สักนิด
แม้จะเห็นว่านางฟ้าผู้เลอโฉมมีกิริยายิ้มแย้มรับไมตรีจากครุฑหนุ่มก็ตามที
“เหตุใดเราต้องสนใจพวกเขา”
พูดจบ นาคราชหนุ่มผุดลุก และก้าวไปกล่าวลาองค์เทวาราชเจ้าและพระนางเจ้าสิริจันทรา
ก่อนจะเดินผ่านเหล่านางฟ้าและบุรุษกึ่งเทพซึ่งจับคู่สนทนากันท่ามกลางเสียงคีตบรรเลงไพเราะเพราะพริ้งอีกครั้ง
ซึ่งท่าทางเย็นชาขององค์นาคาหาได้รอดพ้นสายตาของนางฟ้าที่ยืนคุยอยู่กับครุฑาหนุ่ม
เพียงแค่เขาตีสีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกใด ๆ แม้แต่ทางแววตา มันก็ทำให้นางฟ้าผู้เป็นที่กล่าวขานถึงความงาม
จนเหล่าบุรุษเทพต่างปรารถนาจะได้ยลโฉมถึงกับขัดอกขัดใจ นี่ยังจะเดินผ่านอย่างไม่คิดชายตาแลกันอีก
ช่างน่าโมโหนัก
“พูดกันมาก
ถึงพญานาคาธิบดีลุ่มน้ำโขงองค์นี้หยิ่งผยองนัก” ครุฑาดลฤทธิ์กล่าว
เมื่อสังเกตเห็นแววตาของนางฟ้าจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่ใคร่พอใจนัก
“คงถือว่าตนเป็นบุตรของสองตระกูลใหญ่
จึงได้วางท่าขรึมใส่ผู้อื่น”
อุรัสยาวารี
ได้รู้ประวัตินาคราชหนุ่มจากพระมารดาว่าองค์นาคินทร์ เป็นพญานาคที่มีบุญบารมีสูง
เพราะสืบเชื้อสายจากตระกูลนาคราชที่ยิ่งใหญ่สองตระกูลคือตระกูลวิรูปักษ์และตระกูลเอราปถะ
จึงไม่แปลกที่บางครั้งจะเห็นรัศมีรอบกายนาคราชหนุ่มบ้างก็เป็นสีเขียวมรกตบ้างก็เป็นสีทองเรืองรอง
“แต่เราไม่ถือสาเขาหรอก
เพราะต่างเผ่าพันธุ์ อีกอย่างครุฑกับนาคก็ตกลงเลิกรบกันแล้ว
เราจึงไม่อยากมีความรู้สึกบาดหมางในเรื่องใด ๆ กับเหล่าพญานาค” ขณะกล่าว
สายตาคมของครุฑาหนุ่มแสดงถึงความจริงใจ
อุรัสยาวารียิ้มหวานให้กับเพื่อนสัตว์กึ่งเทพ
ที่ตนเลือกที่จะคบหาเขาเป็นเพื่อนเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์อย่างสบายใจ
ด้วยดลฤทธิ์แม้เป็นบุตรแห่งพญาครุฑ แต่ชายหนุ่มไม่เคยใช้อิทธิฤทธิ์ในทางที่ผิด
ต่างจากนาคราชยโสคนนั้นที่ไม่ชายตาแลนางฟ้านางสวรรค์องค์ใด
คงเพราะเย้อหยิ่งในบารมีของตนว่าสูงส่งกว่าครุฑ คนธรรพ์นั่นเอง
‘คอยดูเถอะ เราจะทำให้ท่านวุ่นวายใจเพราะเรา’ นางฟ้าแสนสวยตั้งปณิธาน เพราะตั้งแต่นางจุติขึ้นมาบนสรวงสวรรค์
ไม่เคยเลยที่ถูกสายตาหมางเมิน
“ดลฤทธิ์
ท่านช่วยพาเราไปนครบาดาลได้หรือไม่?” นางฟ้าสาวหันไปเอ่ยปากขอร้องครุฑาหนุ่ม
“เราทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกอุรัสยาวารี
เรากับนาคต่างทำสัญญาไม่รุกรานต่อกัน อีกอย่างทางเข้าเมืองบาดาลใช่ว่าใครจะพบเจอได้ง่าย
แม้แต่สมัยนาคกับครุฑทำสงคราม ก็ยังหาทางเข้าเมืองบาดาลไม่เคยเจอ
แล้วเจ้าจะไปทำอะไรที่นั่น?” ครุฑาหนุ่มเลิกคิ้วฉงน
ก่อนจะเข้าใจเมื่ออีกฝ่ายให้คำตอบกลับมา
“เราอยากเห็นเมืองบาดาลของนาคราชนาคินทร์
เราอยากรู้ว่านครเอราปถะงดงามเพียงใด” ดวงตาสวยของนางฟ้าสาว
เปล่งประกายพราวยามตั้งมั่นจะทำสิ่งใด ก่อนจะหันมายืนยันกับสหายหนุ่มในความปรารถนาของตนด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“ท่านไม่พาเราไปก็ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ว่าท่าน เพราะอย่างไรเราก็ยังจะไปอยู่ดี”
ครุฑาหนุ่มลอบถอนใจ
เพราะรู้พฤติกรรมของนางฟ้าองค์นี้ดี แต่ถึงแม้ว่านางจะชอบเที่ยวเล่นซุกซน
บางครั้งทำอะไรแผลง ๆ กว่านางฟ้าองค์อื่น ๆ แต่ครุฑาหนุ่มก็ยังพึงใจในตัวนาง
“เจ้าก็อย่าก่อเรื่องก่อราวเสียล่ะ”
ดลฤทฺธิ์กล่าว และถ้าการที่พญาครุฑหนุ่มล่วงรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับดวงใจดวงนี้
เพียงเพราะชะล่าใจปล่อยให้นางไปยังเมืองบาดาลเพียงองค์เดียว
เขาคงไม่ปล่อยนางไปแน่นอน
ริมน้ำโขง..บนเนินดินที่ลาดลงไปยังสายน้ำ
เท้าเปล่าเปลือยผิวขาวนวลเดินไปรอบ ๆ พร้อมกับดวงตาส่ายหาตำแหน่งที่พอจะบ่งบอกได้ว่าเป็นทางเข้าสู่นครนาคา
ซึ่งนางฟ้าสาวไม่รู้หรอกว่า ระหว่างที่ตนเดินไปเดินมาเพื่อมองหาทางเข้าสู่เมืองหลวงใต้บาดาล
องค์นาคราชซึ่งกำลังให้ความสนใจกับกำไลนาคราช
สิ่งที่พระมารดากำชับนักกำชับหนาให้มอบแด่นางที่เขาปรารถนามาเป็นพญานาคิณีด้วยหัวใจรักจริง
ๆ ต้องหันเหความสนใจมาเฝ้ามองพฤติกรรมของนางผ่านผิวน้ำด้วยเช่นกัน
ซึ่งภายใต้อากัปกิริยานิ่งเฉย
องค์นาคินทร์ไม่ทันคิดว่า นางฟ้าผู้งดงามเรียบร้อยนั้นภายในจะก๋ากั่น
ถึงขนาดสร้างกระแสน้ำให้หมุนวน จนตะกอนขุ่นข้นไปหมดทั้งคุ้งแคว
“อุรัสยาวารี
เจ้าช่างซุกซนนัก” พญานาคราชหนุ่มขุ่นเคืองกับการก่อกวนของนางฟ้า จนทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้
สวมกำไลกลับเข้าข้อแขนเสร็จก็แปลงกายทอดตัวยาว ทวนกระแสน้ำเชี่ยวเพื่อขึ้นมาหยุดการกระทำนั้นเสีย
ทว่าองค์นาคราชยังไม่ทันโผล่พ้นผิวน้ำ
ก็ได้ยินเสียงห้ามปรามจากนาคทรงฤทธาบารมีองค์หนึ่งเสียก่อน
“หยุดเดี๋ยวนี้นะนางฟ้าอุรัสยาวารี!”
ยิ้มกระหยิ่มในชัยชนะของนางฟ้าสาวหุบลง
ก่อนจะร่ายมนต์ให้กระแสน้ำกลับมาเป็นปกติ
เมื่อเห็นบุคคลที่มานั้นมิใช่องค์นาคินทร์ ร่างงามเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาคหนุ่มสวมชุดขาว เป็นนาคราชที่บำเพ็ญตนเป็นผู้ทรงศีลชื่อวทันยู
“ท่านรู้หรือไม่ความซุกซนของท่าน
ได้ก่อความเสียหายให้ทั้งผืนน้ำและผืนดิน”นาควทันยู กล่าวต่อว่าต่อขานอีกฝ่าย
พร้อมกับชี้นิ้วขึ้นเบื้องบน ให้ดูว่าเกิดอะไรขึ้นต่อสัตว์น้ำและมวลมนุษย์บ้าง
บนท้องฟ้ามืดดำปรากฏภาพสัตว์น้ำน้อยใหญ่สิ้นชีพลอยเป็นแพ
ส่วนบนพื้นดินผู้คนต่างเดือนร้อนกับลมพายุที่พัดกระหน่ำจนเรือกสวนไร่นาเกิดความเสียหาย
อีกทั้งบ้านเรือนของเหล่ามนุษย์บางแห่งหลังคาปลิว และภาพหญิงวัยกลางคนตาบอดกลิ้งตกจากเรือนไม้ที่พังทลายเพราะไม่ค่อยแข็งแรง
นำพาเสียงร่ำไห้ดังระงมเข้ามาถึงหัวใจ
“นี่ฝีมือของเราหรือ?”
อุรัสยาวารีครวญคร่ำน้ำตาคลอ ด้วยเสียใจต่อการกระทำสนุกสนานชั่ววูบของตน
“เรามิได้ตั้งใจ เราเพียงอยากจะเรียกท่านนาคินทร์ออกมาเท่านั้น” นางฟ้าสาวเรียกแรงลมพายุให้ปั่นป่วนคลื่นใต้น้ำ
จนหมุนวนก่อตะกอนในน้ำให้ขุ่น หวังให้องค์พญานาคาปรากฏตัว แต่สิ่งที่นางฟ้าได้ทำลงไปกลับมอบความสูญเสียใหญ่หลวงต่อสรรพสัตว์และเหล่ามนุษย์
“เราควรแก้ไขอย่างไรดี”
“ผู้คนไม่รู้ถึงอิทธิฤทธิ์ของท่าน
จึงเข้าใจว่าเป็นมหันตภัยธรรมชาติ ท่านจงรีบบำเพ็ญภาวนาเพื่อเป็นทานขวัญกำลังใจให้พวกเขา”
“เรา..”
ด้วยรู้ถึงความผิดที่มิอาจหลีกเลี่ยง นางฟ้าสาวจึงยอมจำนน “เราพร้อมที่จะทำตามคำแนะนำของท่านทุกอย่าง
ท่านวทันยู”
กล่าวจบ
ร่างอรชรทรุดกายลงพร้อมประนมมือ ชั่วพริบตาอาภรณ์สีทองอร่ามงามตากลับกลายเป็นชุดขาวผู้ทรงศีล
ขณะเดียวกันท้องฟ้าเกิดประกายแปลบปลาบวูบวาบ ดวงตาสวยนิ่งสงบแหงนเงยขึ้นมองไปเบื้องบน
ปรากฏใบหน้าเปี่ยมสุขของพระบิดาและพระมารดา ซึ่งรับรู้ถึงการตัดสินใจของธิดาที่ต้องอยู่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนได้กระทำผิดไป
ไม่สามารถกลับขึ้นสวรรค์ได้ในเวลานี้
มีก็แต่เงาดำเทียบผืนน้ำเท่านั้นที่ธิดาเทวาราชเจ้าไม่อาจเห็น
ว่าเงานั้นปรากฏดวงตาแดงฉานขณะจมตัวกลับลงสู่ใต้พิภพบาดาล
กริ๊ง!! เสียงโทรศัพท์กึกก้องดังติด ๆ
ปลุกให้ร่างหลับสนิทตื่นลืมตา
อุรัสยาพยายามขับไล่ความอ่อนเพลียที่คล้ายกับตนได้ออกวิ่งจนเหนื่อยหอบ
จากนั้นขยับลงจากเตียงนอน แล้วเดินไปคว้าโทรศัพท์มารับสาย
“เป็นอะไรหรือเปล่าอุ้ม
ฉันโทรเข้าตั้งหลายครั้ง นอนยังไงไม่รู้สึกตัวเลย ฉันเป็นห่วงมากรู้ไหมเนี่ย
จะเข้าไปดูก็เข้าไม่ได้” ปานเลขากรองเสียงร่ายยาวทีเดียว
ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในตัวเพื่อนสาวอย่างล้นเหลือ
ซึ่งเพื่อนของตนก็รู้ซึ้งข้อนี้ดี
จึงแค่ตอบกลับด้วยเสียงปกติให้ผู้จัดการสาวเพื่อนรักได้คลายใจ
“เมื่อคืนนอนไม่หลับ
คงผิดที่ ก็เลยนอนท่องบทจนดึก”
“คงเกือบเช้าเลยกระมัง
แล้วนี่ตื่นดีหรือยัง จะนอนต่อให้อิ่มก่อนก็ได้ ฉันแค่เป็นห่วง ได้ยินเสียงปกติดีก็นอนต่อเถอะ”
ปานเลขาพูดเสียงคล้ายไม่แน่ใจ จนเพื่อนสาวผิดสังเกตต้องเอ่ยถาม
“กระติ๊บพูดตัดบทฉับ
ๆ แบบนี้ ต้องมีอะไรบอกฉันแน่ บอกมาเถอะฉันตื่นดีแล้ว”
“อึมส์
ถ้างั้นเธออาบน้ำแต่งตัวให้เสร็จก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันเข้าไปคุยด้วย”
ปานเลขาพูดอย่างไม่ค่อยสบายใจนิด ๆ พาลให้คนฟังเกิดกังวลไปด้วย
“ก็ได้
เสร็จแล้วฉันจะกดไปหาแล้วกัน”
วางสายลงแล้ว เหมือนสิ่งใดดลใจให้อุรัสยาสาวเท้าไปรูดม่านเพื่อมองออกไปภายนอก
เบื้องหน้าที่เห็นคือสายน้ำที่ทอดตัวยาว แสงแดดอ่อน ๆ
สะท้อนผิวน้ำจนเป็นประกายสีเงินแวววาว ภายใต้ดวงตาที่จ้องมอง
หญิงสาวกำลังใคร่ครวญว่าเหตุการณ์เมื่อคืนมันเป็นเรื่องจริงหรือความฝัน
แล้วถ้าเรื่องจริงเธอกลับมานอนบนเตียงได้อย่างไร แล้วถ้าเป็นเพียงความฝัน มันทำไมเหมือนเกิดขึ้นจริงเสียเหลือเกิน
เสียงถอนหายใจ
อย่างไม่รู้ว่าจะให้คำตอบกับตัวเองอย่างไรดี ก่อนจะหันกลับเพื่อไปเข้าห้องน้ำ
พลันสายตาสะดุดกับรอยเปื้อนบนผืนพรม ร่างสูงหุ่นระหงนั่งลงชันเข่าพินิจรอยเปื้อนพร้อมไล่มองมาที่ฝ่าเท้าของตน
เอะใจ พลิกเท้าขึ้นดูก็เห็นว่ามีดินโคลนติดตามซอกนิ้ว ดินนั้นยังไม่แห้งดี ชั่วขณะเธอลุกพรวดขึ้นไปยืนตรงหน้าต่างอีกครั้ง
เพ่งมองไปตรงบริเวณเนินดินริมน้ำ เพียงเพื่อให้แน่ใจว่าเป็น ดินโคลน..แบบเดียวกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น