วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 9 มิติซ้อน



นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่อง เสน่หานาคี





“นั่นไงครับ ผู้กำกับกับคุณเลขาพากันเดินมาทางนี้แล้ว” ชัชพิมุขบอกทุกคน ขณะเห็นผู้กำกับวัยกลางคนเดินมาพร้อมกับเลขาสร้อยจันทร์
ซึ่งจะให้พูดตามตรง เขารู้สึกแปลก ๆ กับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อคืนที่เห็นเจ้าหล่อนยืนอ้อยอิ่งอยู่หน้าห้องผู้กำกับ ทำตัวเหมือนคนมีลับลมคมนัยดูแล้วขัดอกขัดใจชอบกล เช้านี้พอได้เห็นหน้าสวย ๆ ประดับด้วยรอยยิ้มสดใสของอีกฝ่ายจึงชวนให้นึกหมั่นไส้
“อยู่พร้อมกันดี ผมและคุณเลขาสร้อยจันทร์เตรียมโต๊ะบวงสรวงไว้พร้อมแล้ว จะเริ่มพิธีกันเก้าโมงขอให้ตรงเวลากันหน่อยนะ เพราะเสร็จจากนั้นทางโรงแรมจะมีทริบเที่ยวไหว้พระ เราจะไปวัดโพธิ์ชัยในเมืองหนองคายกันก่อน ไหว้หลวงพ่อพระใสพระคู่บ้านคู่เมือง เยี่ยมชมหงอนพญานาค แล้วจึงจะย้อนกลับมาวัดอาฮง อยู่ใกล้ ๆ นครนาคานี้เอง” ผู้กำกับพงศกรแจ้งกำหนดการต่าง ๆ ด้วยความว่องไวไม่ติดขัดตามนิสัยคนคิดเร็วทำเร็ว จากนั้นก็เป็นเสียงเนิบช้าแต่อ่อนหวานของเลขาสาวเป็นผู้อธิบายต่อ
“รถของทางโรงแรมจะพาทุกคนไปไหว้พระ ต่อด้วยขับพาชมเมือง จะแวะจอดตามจุดที่เป็นสถานท่องเที่ยวหลักของท้องถิ่นให้ทุกคนเดินเที่ยวได้ตามอัธยาศัย ทัวร์ครั้งนี้ถือเป็นการแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักเมืองพญานาคมากขึ้นค่ะ ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นวันเข้าชมชั้นบีซึ่งเรียกชั้นบาดาล เพื่อทำความรู้จักและคุ้นเคยสถานที่ก่อนใช้ถ่ายทำในวันถัดไปค่ะ”
“คุณเลขา ทางคุณจัดเตรียมเสื้อผ้ากับเครื่องประดับด้วยหรือเปล่า?” เมธิตาเอ่ยถาม ในสิ่งที่ตนสนใจใคร่รู้ที่สุด
“เราจัดเตรียมไว้พร้อมค่ะและขอบอกเครื่องประดับทุกชิ้นเป็นพลอยและเพชรแท้” เลขาสาวหยุดมองดวงตาเปิดกว้างประหลาดเหลือเชื่อของทุกคน โดยเฉพาะดวงตาวาววับของเมธิตา แล้วพูดต่อ “รวมทั้งช่างแต่งหน้า ช่างทำผมด้วยค่ะ อ้อ ทางโรงแรมมีแผนกนวดด้วยนะคะ ถ้าอยากใช้บริการขอเชิญเลยค่ะ แต่อย่าให้เกินหกโมงเท่านั้น”
“ทำไมครับ หลังหกโมงนี้จะเป็นเวลานวดแบบอื่นหรือยังไง” ชัชพิมุขตั้งคำถามกระแทกใจคนฟังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะจู่ ๆ เขาก็คิดอยากใช้วาจาจิกให้ผู้หญิงตรงหน้าช้ำใจเล่น
ถึงกลับทำให้คนอื่น ๆ เกิดอาการอ้าปากค้างตกใจ กับอากัปกิริยาหยาบคายที่ดาราหนุ่มแสดงออกมา จนอุรัสยาทนไม่ได้เป็นฝ่ายท้วงติงเขา
“ธัช ถามอะไรคุณเลขาสร้อยจันทร์แบบนั้น ไม่สุภาพเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณอุ้ม เรื่องแค่นี้ ฉันอาจเป็นฝ่ายผิดที่อธิบายไม่ชัดเจน ฉันจะขออธิบายใหม่แล้วกันค่ะ คือโรงแรมเราไม่ได้เปิดตลอดคืนฉะนั้นเลิกงานแล้วพนักงานต้องเดินทางกลับบ้าน ซึ่งทางเดินกลับเข้าหมู่บ้านสองข้างทางล้วนเป็นป่า มืดค่ำจะอันตรายจึงให้พนักงานทุกคนกลับเวลาหกโมง จะเว้นก็แต่ห้องอาหารที่เลิกช้าหน่อยเพราะพนักงานพักอยู่กับเราค่ะ หวังว่าคุณชัชพิมุขคงเข้าใจกระจ่างชัดแล้วนะคะ”
อุรัสยามองดวงตาเรียบนิ่งแต่เปล่งประกายกล้าของเลขาคนสวยขณะจ้องสู้ตากับดวงตาคมเข้มของชัชพิมุข เธอลอบถอนใจกับพฤติกรรมหยาบคายของดาราหนุ่มที่ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก่อนจะได้ยินเสียงห้าวกล่าวอย่างไม่สำนึกผิดเอาเสียเลย
“กระจ่างชัดมากครับ ชัดเจนจนมองทะลุไปถึงไหน ๆ”
“พอได้แล้วนะธัช” อุรัสยาอดรนทนไม่ไหว ต้องเอ่ยห้ามปรามเขาอีกครั้ง “ต้องขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะคุณเลขาสร้อยจันทร์ คือธัชเขานอนผิดที่ผิดทางก็เลยเพี้ยนไปหน่อยค่ะ เอาเป็นว่าเราต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถอะนะคะ นี่ก็แปดโมงใกล้เวลาทำพิธีบวงสรวงกันแล้ว”
“ค่ะ คุณอุ้ม เสร็จพิธีแล้ว ขอให้ทุกคนเที่ยวกันให้สนุกนะคะ”
ลับร่างผู้ตกเป็นจำเลยฝีปากของชัชพิมุขไปแล้ว ท่ามกลางสีหน้าตะลึงงันของทุกคนอุรัสยานึกทึ่งกับการวางตัวของเลขาสาวเสียจริง ขนาดโดนวาจาจาบจ้วงอย่างไม่ทันตั้งตัวใจยังสงบได้ไม่หวั่นไหวเลยสักนิด คิดอีกที อาจเพราะสร้อยจันทร์เป็นเลขาที่ต้องรองรับอารมณ์นายดุ ๆ มาก่อน จึงเกิดความเคยชิน ไม่สะดุ้งสะเทือนกับอะไรง่าย ๆ ก็ได้
หญิงสาวก้มหน้าซ่อนยิ้ม ก็ให้ตายสิ เธอดันนำความอดทนอดกลั้นของเลขาสร้อยจันทร์ มาเกี่ยวโยงกับมาดขรึมขลังของ ท่านนาคราช เสียงั้น





ทุกคนต่างแยกย้ายเพื่อใช้เวลาส่วนตัวในหนึ่งชั่วโมงให้มากที่สุด ปานเลขาขอเวลาไปเตรียมตารางงาน ส่วนชัชพิมุขเดินหน้าตึงกลับขึ้นห้องพัก แม้แต่เมธิตาก็หายตัวไปชั้นบนเช่นกัน จะเหลือแต่ผู้กำกับที่อยู่คุยงานต่อกับเหล่าลูกทีมภายในห้องอาหาร
ส่วนเธอเดินออกมาทางด้านหน้าโรงแรม หวังชมรอบบริเวณให้ชัด ๆ อีกครั้ง เพราะเดินทางมาถึงตอนค่ำทำให้มองเห็นแต่เงาตะคุ่มของพุ่มไม้และก้อนหินใหญ่สีดำทะมึน มาบัดนี้แสงอาทิตย์สาดแสงสีเหลืองลออตาลงมาทั่วบริเวณ ทำให้เห็นการจัดสวนสวยด้านหน้าไม่ใช่แบบสวนประดิษฐ์เหมือนโรงแรมในเมืองหลวง แต่เป็นการจัดสวนแบบธรรมชาติ ใช้ตอไม้ รากไม้ แทนกระถางดินเผาและอิฐบล็อกในการจัดแต่ง  หินสีดำมีทั้งก้อนใหญ่และก้อนเล็กจัดวางต่างระดับ ท่ามกลางพุ่มไม้หนาปลูกซ้อน ๆ กัน ด้านข้างมีสระน้ำขนาดกลางดอกบัวสีชมพูและสีขาวเบ่งบานอยู่เต็ม
อุรัสยามองมุมสวนให้ก่อเกิดความนุ่มนวลของธรรมชาติอย่างน่าสนใจ และน่าสนใจที่สุดสำหรับเธอ เห็นจะเป็นไม้ยืนต้นปลูกเรียงดั่งฉากหลัง เธอเคยเห็นจำพวกตะแบก หูกวาง แต่ไม้ยืนต้นชนิดนี้กลับให้ความรู้สึกแปลกทั้งไม่เคยเห็นผ่านตามาก่อน ลำต้นสูงจะเป็นต้นหมากก็ไม่ใช่ ต้นตาลก็ไม่เชิง อีกทั้งยังเหมือนต้นมะพร้าวเข้าไปอีก มองรวม ๆคล้ายจะเป็นไม้สามชนิดรวมกันเสียด้วยซ้ำ เอะ..ดวงตากลมตวัดมองเงาหลังพุ่มไม้ แวบหนึ่งเหมือนมีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวตรงนั้น  ถ้าตาไม่ฝาดเธอเห็นหางเรียวสีดำก่อนผลุบหายเข้าไปในซอกพุ่มที่ปลูกซ้อนกัน 'งู!' 
อุรัสยาคาดว่าน่าจะเป็นงู เพื่อให้แน่ใจจึงเคลื่อนกายเข้าไปใกล้อีกนิด ค่อย ๆ ชะโงกหน้าไปหลังพุ่มไม้ คาดว่าจะเห็นเจ้าหางเรียว แต่ที่เห็นกลับเป็นเบื้องหลังของหญิงสาวในชุดพื้นเมืองแปลกตา ที่ว่าแปลกเพราะต่างจากพนักงานสาวทั่วไปในนครนาคาซึ่งสวมเสื้อรัดรูปแขนยาว แต่หญิงสาวผู้นี้แม้จะใส่ซิ่นเหมือน หากช่วงบนกลับคาดผ้าแถบสีแดงเข้มโชว์ผิวสีน้ำผึ้งนวล ลมพัดใบไม้แห้งปลิวมากระทบหน้าผาก เธอกะพริบตาพร้อมยกมือขึ้นปัด
“คุณอุ้มมองหาอะไรหรือเปล่าคะ?” เสียงอ่อนหวานเอ่ยถามมาจากเบื้องหลัง  
อุรัสยาหันขวับมามอง เห็นเลขาท่านนายทุนเดินมาหยุดยืนอย่างนอบน้อมอยู่ใกล้ ๆ เธอจ้องมองคนตรงหน้าสลับกับหันไปมองหลังพุ่มไม้..ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว
เธอหันกลับมาตอบเลขาสาวน้ำเสียงตะกุกตะกัก “เปล่าค่ะ คือ..เหมือนจะเห็นอะไรอยู่แถวนั้นค่ะ ก็เลยตั้งใจจะดูให้แน่ใจว่า ใช่งูหรือเปล่า” เสียงตอนท้ายเบาหวิวด้วยความไม่แน่ใจ เพราะถึงเธอเห็นลักษณะการเลื้อยผลุบหายไปจะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานชนิดนั้น แต่มองไม่แน่ชัดเธอก็ไม่ควรด่วนสรุป โดยเฉพาะหญิงสาวที่เห็นยืนอยู่ทนโท่แต่กลับหายไปอย่างรวดเร็วจนน่าจะคิดว่าตนตาฝาดไปจริง ๆ
“ตรงไหนละคะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปดูเอง”
เลขาสาวกระตือรือร้นจะช่วยเหลือ ไม่มีอาการตื่นกลัวคำว่างูสักนิด ขยับเท้าเข้าไปใกล้ยังตำแหน่งเธอชี้บอก ร่างนั้นโน้มลงไปหยิบอะไรสักอย่างออกมาจากซอกกิ่งไม้ที่ขึ้นแทรกแซงกันหนาแน่น
“คงจะเป็นท่อนไม้นี้แน่เลย”
อุรัสยามองท่อนไม้แห้งสีดำในมือของเลขาสร้อยจันทร์ มีขนาดเท่าด้ามไม้กวาดยาวประมาณครึ่งเมตร แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าเงาดำผลุบหายจะมีปลายหางเรียว แต่สิ่งที่ยืนยันตรงหน้ามันบ่งบอกว่าเธออาจตาฝาดเห็นท่อนไม้เป็นงูก็ได้
ดาราสาวแค่นยิ้ม
“ฉันตาฝาดไปเองจริง ๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” คุยกันเรื่องไม้ พลันฉุกคิดถึงต้นไม้ลักษณะแปลก ๆ 
“คุณสร้อยจันทร์คะ ฉันอยากทราบชื่อต้นไม้ต้นนั้น ชื่อต้นอะไรคะ?” อุรัสยาชี้ไปทางต้นไม้แปลกประหลาด
“ต้นชะโนดค่ะ ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ประจำเมืองพญานาค” สร้อยจันทร์ตอบขณะชำเลืองมองตาม สบายใจอยู่บ้างเมื่อเห็นดาราสาวไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก นางถอนใจโล่งอก ก็เมื่อสักครู่ที่ตนยืนเหม่อด้วยน้อยเนื้อต่ำใจกับถ้อยคำดาราหนุ่ม จึงได้เผลอกลับสู่ร่างนาคีอย่างไม่ทันได้ระวังตัว 
“ต้นชะโนด” อุรัสยาได้ยินชื่อแล้วสัมผัสถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาด
เสียงคำอธิบายเพิ่มเติมจากเลขาสาว
“ต้นชะโนดจะไม่ขึ้นที่อื่นค่ะ จะขึ้นเฉพาะในเมืองพญานาค และจะมีใบ หนึ่งใบต่อหนึ่งปีเท่านั้นค่ะ”
“หา ปีละใบ มีอย่างนี้ด้วยหรือคะ" อุรัสยาตาโตกับคำตอบที่น่าประหลาดใจ พลางจ้องมองต้นชะโนดไม่วางตา นึกสงสัยว่าสรุปแล้วบริเวณที่เธอยืนอยู่นี้ เป็นเมืองมนุษย์หรือเมืองพญานาคจริง ๆ กันแน่
หญิงสาวพินิจพิเคราะห์ต้นชะโนดอีกเพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเลขาสาวเอ่ยชวน
“อีกยี่สิบนาทีจะได้ฤกษ์พิธีบวงสรวง เราเดินไปรอคนอื่น ๆ ที่ชายหาดกันไหมคะคุณอุ้ม”
อุรัสยายิ้มยินดีเมื่อได้ยินเลขาสาวเอ่ยชวน อย่างน้อยเธอจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น เพื่อจะได้ถามเรื่องกำไลพญานาคที่เธอเห็นในความฝัน ซึ่งเหมือนอีกฝ่ายสวมบนข้อมืออยู่นี้
ทั้งสองเริ่มก้าวเท้าย่างเหยียบไปบนแผ่นตอไม้ลักษณะกลมสำหรับเดินในสวน แต่ละแผ่นวางเรียงเป็นทางเดินเว้นระยะต่อก้าวทอดโค้งไปทางด้านหลังโรงแรม
อุรัสยาเพลิดเพลินสองข้างทางเต็มไปด้วยพรรณไม้พุ่มหลายชนิด เยอะสุดคือจำพวกดอกมะลิ เธอเอ่ยกับคนเดินมาด้วยกัน
“ที่นี่เน้นปลูกดอกมะลิ”
“นาคีชอบดอกมะลิค่ะ” น้ำเสียงสร้อยจันทร์คล้ายจะเน้นหนักความชอบของนาคี อุรัสยาได้ยินแล้วพลันนึกถึงองค์นาคา
“แล้วท่านนาคราชล่ะคะ ชอบดอกไม้อะไร”
“ชอบดอกมะลินี่แหละค่ะ แต่เป็นดอกมะลิ ที่ปักบนมวยผมของพญานาคิณีของท่าน” น้ำเสียงเลขาสาว ราวจะหยอกเย้าอยู่ในที
“อ๋อ ค่ะ” อุรัสยาบอกไม่ถูกว่าเหตุใดเธอจึงแกมร้อนผ่าว ยิ่งผุดมโนภาพท่านนาคราชกำลังโน้มใบหน้าลงมาจุมพิตดอกมะลิบนมวยผมของเธอ หัวใจยิ่งเต้นแรงกว่าปกติ
ความรู้สึกหวามไหวที่บังเกิดขึ้นกับตัวอย่างไม่รู้สาเหตุ มีผลให้อุรัสยาไม่เอ่ยถามอะไรอีก จนกระทั่งสะดุดตากับสีหน้าถมึงทึงของเลขาสาว ขณะจ้องจับกิ่งไม้ที่ยื่นเกยทางออกมา ทว่ามองดี ๆ มันเคลื่อนไหวได้และเลื้อยหายไปตรงโคนต้นไม้บริเวณนั้น 
คราวนี้ อุรัสยามั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด เจ้าท่อนไม้นั่นมันคืองู และคนที่ทำให้มันผลุบหายไปก็คือผู้หญิงคนนี้ ดาราสาวเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นใบหน้าปกติของสร้อยจันทร์
ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ใกล้ชายหาด ซึ่งมองเห็นโต๊ะตั้งเครื่องเซ่นสรวงอยู่ไม่ไกล อุรัสยาไม่ได้คิดจะก้าวไปใกล้มากกว่านั้น เพราะชะงักงันความรู้สึกบางอย่างเสียก่อน เป็นความรู้สึกถวิลหาต่อสายน้ำที่ทอดตัวยาวอยู่ตรงหน้า
ซึ่งความถวิลหาเกิดขึ้นได้อย่างไร ตัวเธอเองยังแปลกใจ เพราะจำได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโต ชีวิตของเธออยู่ไกลจากแหล่งน้ำต่าง ๆ แม้แต่ทะเลก็น้อยครั้งที่จะได้เฉียดไปใกล้ และคำว่าสระว่ายน้ำยังเป็นข้อห้ามที่แม่อัญญาทำไว้กับทุกสถานศึกษา ฉะนั้นเรื่องความรู้สึกถวิลหาอย่างรักใคร่คุ้นเคยย่อมเป็นเรื่องน่าพิศวง โดยเฉพาะความรู้สึกที่บังเกิดต่อสายน้ำสุดขอบชายแดนไทยเช่นนี้
“คุณอุ้มรู้สึกอย่างไรกับสายน้ำแห่งนี้คะ” สร้อยจันทร์ถามขึ้น น้ำเสียงเรียบปกติแต่ดวงตาทอดมองมา คล้ายหยั่งความนึกคิดในส่วนลึกของเธออย่างมีความหมาย
อุรัสยาหันสบดวงตาจับจ้องของเลขาสาว เธอพยายามทบทวนความรู้สึกตนเอง ก่อนตอบ 
“ถวิลหาค่ะ ถวิลหาอย่างคุ้นเคย มันเหมือนฉันเคยอยู่แถวนี้มาก่อนแล้วต้องพรากจากมันไปไกล" น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ "หรืออาจจะเป็นเพราะว่าบึงกาฬเป็นบ้านเกิดของแม่ เลยทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยก็ได้”
“แต่คุณเกิดที่สวีเดน”
“ค่ะ แม่อัญญาไปคลอดฉันที่นั่น” เพราะมารดาต้องการให้เธออยู่ห่างจากสายน้ำแห่งนี้ ..เมื่อถึงวัยเบญจเพสเธอจะต้องกลับคืนสู่สายน้ำ คำทำนายก้องเข้ามาในโสตประสาท ทำให้อุรัสยาทบทวนถึงเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในช่วงนี้ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องมาเกี่ยวข้องสายน้ำแห่งนี้
ดวงตากลมทอดมองไปข้างหน้าก่อเกิดคำถามขึ้นว่า ใต้น้ำมีที่อยู่อาศัยสำหรับมนุษย์หรือ? และถึงเวลานั้นเธอจะเป็นมนุษย์จำพวกหนึ่งที่ต่างจากมนุษย์เดินดินธรรมดาหรือเปล่า?
'เหมือนอย่างชายผู้นั้น' ภาพนาคราชหนุ่มกลายร่างเป็นมนุษย์เดินขึ้นจากผืนน้ำยังติดตา เธอหยิบมาเป็นประเด็นสนทนาทันที
“เมื่อคืน ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นจากน้ำค่ะ” อุรัสยาสังเกตว่าเลขาสาวไร้ปฏิกิริยาตื่นตระหนก เหมือนเรื่องที่เธอบอกเล่าแสนจะธรรมดา ดาราสาวเฝ้าจับสังเกตอีกฝ่าย “เขาเดินเข้ามาในอาคาร แล้วก็ลงไปอยู่ชั้นล่างสุด ล่างสุดที่เลยชั้นบีลงไป ฉันตามเขาลงไปชั้นนั้นค่ะ” ประโยคท้ายเธอตั้งใจลากเสียงต่ำ เพื่อจับปฏิกิริยาของคนฟัง 
ซึ่งภายใต้อากัปกิริยาสงบ เธอก็ได้ยินอีกฝ่ายย้อนถามมาว่า
“คุณอุ้มเห็นเขาอยู่ชั้นนั้นหรือคะ” ดวงตาดำของสร้อยจันทร์จ้องตอบกลับดาราสาวไม่วาง ด้วยรู้อีกฝ่ายกำลังจับผิดตน
“ฉันไม่เห็นเขาหรอกคะ แต่ถึงเขาไม่ปรากฏตัวให้เห็น ฉันก็รู้ว่าเขาอยู่” อุรัสยายืนยันหนักแน่น โดยเฉพาะรสสัมผัสบนริมฝีปาก แม้สติสัมปชัญญะครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้คล้ายตนได้ล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่เธอมั่นใจว่าอีตานาคราชนั่นขโมยจูบเธอจริง ๆ
โดยที่ดวงตาคอยเฝ้าจับสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายตลอดเวลา เพื่อให้แน่ใจ ก่อนจะชี้ชัดความเข้าใจของตัวเอง เธอก็ถามเลขาสาวอีกว่า “เรื่องเขาเดินขึ้นมาจากน้ำ มันทำให้ฉันอยากรู้ค่ะว่า ใต้น้ำแห่งนี้มีที่อยู่อาศัยจริง ๆ หรือคะคุณเลขาสร้อยจันทร์”
ซึ่งสร้อยจันทร์รู้ทัน ว่าอีกฝ่ายถามหยั่งเชิงตน จึงยังไม่ให้คำตอบตรง ๆ แต่กลับบอกเล่ามิติซ้อนพอสังเขป
“สถานที่ใดมีเทวดามาสถิต ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานคู่บารมี พญานาคเป็นกึ่งเทวดา สถิตอยู่ที่ใดย่อมมีวิมานคู่บุญบารมีให้ได้อยู่อาศัยเช่นกัน”
“คุณเลขาสร้อยจันทร์กำลังบอกฉันว่า ใต้ผืนน้ำแห่งนี้มีวิมานของพญานาคเหมือนอย่างที่วิมานบนสวรรค์ของเทวดางั้นหรือคะ?”
“ค่ะ แต่วิมานของเหล่าเทพเทวดาไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งบนโลกมนุษย์ แต่เป็นมิติซ้อน ซึ่งขณะนี้ทุกชีวิตในมิตินั้นก็กำลังดำเนินชีวิตไปพร้อม ๆ กับมนุษย์บนโลก เพียงแต่ไม่เห็นกันเท่านั้นเอง”
“แล้วสัตว์กึ่งเทพอย่างพญานาค สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วยใช่ไหมคะ”
"ได้ค่ะ" เลขาสาวตอบอย่างไม่ยีหระ
อุรัสยายิ้มกริ่มในใจ “เหมือนอย่างที่เลขาสร้อยจันทร์แปลงกายเป็นมนุษย์ยืนคุยกับฉันอยู่อย่างนี้ใช่หรือเปล่าคะ”
ดวงตาสีดำของเลขาสาววาวขึ้นเล็กน้อย ก่อนเผยยิ้มน้อย ๆ ใช่ว่าสร้อยจันทร์จะไม่รู้ว่าตนถูกล่อหลอกด้วยคำถาม แต่นางนึกสนุกกับการตกเป็นจำเลยของเพื่อนเก่า
“บอกเหตุผลฉันได้ไหมคะ ว่าพวกคุณต้องการอะไรกับฉันกันแน่” ในเมื่อทุกอย่างเผยออกมาแล้ว อุรัสยาก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อมกันอีก 
“ข้อนี้ฉันบอกคุณไม่ได้จริง ๆ ค่ะ บอกคุณได้แต่เพียงว่าการที่สองภพภูมิมาเกี่ยวข้องกัน ย่อมเกิดจากความผูกพันที่ต่างฝ่ายต่างมีต่อกัน อีกอย่างตัวละครนาคีจะทำให้คุณรู้ทุกอย่างเองค่ะ” 
ประโยคท้าย น้ำเสียงของเลขาสาวฟังดูเศร้าสร้อย ต่างจากเสียงหัวเราะถูกอกถูกใจเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง
“รู้ด้วยการเล่นเป็นตัวละครนาคีงั้นหรือ” อุรัสยามองอีกฝ่ายด้วยความฉงน และรู้ว่าขืนตั้งคำถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบ แต่อย่างน้อยวันนี้เธอก็ได้ความจริงแล้วว่า ทุกอย่างที่เธอได้เผชิญมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
การสนทนายุติลง เมื่อได้ยินกลุ่มคนกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ สร้อยจันทร์เอ่ยบอก
“คงได้เวลาเริ่มพิธีบวงสรวงกันแล้วล่ะค่ะ เราเดินไปรวมกับทีมงานกันดีกว่านะคะคุณอุ้ม” ไม่รอช้า เพียงพูดจบร่างอรชรของเลขาสาวก็เยื้องย่างลงไปตามทาง มุ่งตรงไปยืนรวมกลุ่มกับทุกคนยังหน้าโต๊ะทำพิธีเซ่นสรวง
อุรัสยามองออกว่าสร้อยจันทร์มีเจตนาหลบเลี่ยงออกไป ตัวเธอเองก็ไม่คิดคาดคั้นอะไรอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะยังมีโอกาสเค้นถามเรื่องราวต่าง ๆ จากเจ้าหล่อนอีกมาก จึงได้แต่มองตามแผ่นหลังที่เดินห่างไป ก่อนจะก้าวเดินตาม
 
 ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 
ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก  คิดค่าส่ง 40 (พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
เช่น นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้ จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
สรุปยอดโอนลูกค้า 200 + 40 = 240 บาท หลังจากร้านได้รับหนังสือคืนแล้วจะโอนคืนให้ในยอด 200-20= 180 บาท
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ













 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น