วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 11 ชั้นบาดาล


นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่อง เสน่หานาคี



แสงเรืองรองยามเช้าสาดส่องไปทั่วผืนน้ำ ภายในโถงถ้ำใต้บาดาลนาคราชผู้ทรงศีลอยู่ในสมาธิญาณสัมผัสการมาเยือนของฝีเท้าเงียบกริบ
“เจ้ามาหาเราด้วยเรื่องอันใดหรือนาคีสร้อยจันทร์” เสียงเรียบทุ้มเอ่ยถามทั้งเปลือกตาปิดสนิท
“ข้าเจ้ามาขอความช่วยเหลือ ท่านวทันยู ได้โปรดเมตตาข้าเจ้าสักครั้งเถิด ข้าเจ้าทุกข์ทรมานเหลือเกิน” สร้อยจันทร์ทรุดกายอ่อนล้าพร้อมก้มศีรษะลงตรงเบื้องหน้านาคราชผู้บำเพ็ญศีลจนมีบารมีแก่กล้า
“มันเป็นกรรมของเจ้า ถ้าเจ้าพยายามแก้ไขมันพ้นได้ เจ้าก็จะพ้นทุกข์ทรมาน”
นาคีสร้อยจันทร์เงยหน้าเศร้าหมองทอดมองใบหน้าคมคร้ามของผู้เป็นพี่ชาย “ข้าเจ้าได้ดำเนินการแล้ว และหวังว่ามันจะสำเร็จลุล่วง แต่ตอนนี้ข้าเจ้าอ่อนพลังเหลือเกิน และถ้าปล่อยไว้ ข้าเจ้าจะไม่สามารถนิมิตกายเป็นมนุษย์เช่นนี้ได้อีก ท่านพี่ ได้โปรดช่วยข้าเจ้าด้วยเถิด”
นาคราชผู้ทรงศีลเปิดเปลือกตามองนางนาคีที่นั่งสำรวมอยู่เบื้องหน้า นางผู้เป็นน้องสาวได้กระทำผิดอันใหญ่หลวง จนเกิดเป็นกรรมให้ได้ทุกข์ทรมานกายมาเป็นร้อย ๆ ปี แต่ในขณะนี้นางได้สำนึก และพยายามแก้ไขในการกระทำนั้น ผู้ประพฤติผิดกำลังกลับตัวกลับใจผู้ทรงศีลหรือจะแล้งไร้ความเมตตา
“สร้อยจันทร์ เจ้าช่างน่าเวทนานัก เจ้าจงประนมมือ ตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่เจ้าปรารถนาเถิด ข้าจะช่วยเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
“ขอบพระคุณท่านพี่ หลุดพ้นบ่วงกรรมครานี้ ข้าเจ้าจะมิทำผิดต่อสิ่งใดอีก ข้าเจ้าสัญญา” นาคีสาวกล่าวเสร็จ ประนมมือก้มลงกราบ เพื่อรับพรอันประเสริฐเสริมพลังชีวิตของตนจากนาคราชผู้บำเพ็ญภาวนามานานหลายร้อยปีภายในโถงถ้ำเมืองบาดาลแห่งนี้

ชั้นบาดาล..สิบโมงเช้าทุกคนต่างลงมารวมกันที่ชั้นบีซึ่งสร้างสรรค์เสมือนพิภพบาดาล ดินแดนความเชื่อเรื่องเมืองพญานาคที่รอวันหาคำตอบว่ามีจริงหรือไม่ แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ความเชื่อและความศรัทธาก็ฝังอยู่คู่ชาวลำน้ำโขงมาช้านาน
อุรัสยากับปานเลขาพร้อมเหล่าคณะกองถ่ายเดินตามพนักงานสาวของโรงแรมผ่านบริเวณด้านหน้าตกแต่งด้วยก้อนหินมันวาววางเรียงรายแซมด้วยต้นไม้ดอก ให้ความสวยงามและสงบร่มรื่น ก่อนก้มลอดอุโมงค์ทีละคนเข้ามายังโถงด้านในซึ่งจัดเป็นห้อง ๆ แต่ละห้องรังสรรค์เรื่องราวบนโลกเร้นลับใต้พิภพผ่านรูปปั้นอย่างวิจิตรบรรจง
อุรัสยาเดินมาหยุดอยู่ห้องแรกมีสัตว์นานาท่ามกลางพงไพร ในจำนวนนั้นดาราสาวให้ความสนใจกับกระต่ายน้อยหมอบราบอยู่ใต้พงหญ้า ดวงตาเรียวสีดำวาวเหมือนมีชีวิต ครั้นพินิจดวงตากระต่ายนานเข้าหญิงสาวเกิดความรู้สึกว่าคุ้นเคยดวงตานี้เสียจริง พลางถอนใจกับความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นกับตนต่าง ๆ นานา ตั้งแต่แม่น้ำ ต้นไม้ แล้วนี่ยังจะสัตว์ตัวกระจ้อยร่อยอีก
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีคำตอบต่อสิ่งเหล่านี้แผ้วผ่านเข้ามาให้เธอได้เข้าใจมันเลยสักครา จนกระทั่งเสียงคนที่ยืนอยู่ข้างกายเอ่ยถาม เธอจึงหันไปสบกับ ดวงตาสีดำที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยไม่ต่างกัน
“อุ้ม เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเธอซึม ๆ ไปนะ”
สงสัยเธอคงอยู่ในความคิดตัวเองนานเกินไป ทำให้ปานเลขาเกิดอาการเป็นห่วง ซึ่งตอนที่เธอลงไปชั้นถ้ำองค์นาคินทร์ก็ดึกมากแล้ว จึงไม่แปลกถ้าเธอจะตื่นมาตอนเช้าด้วยอาการอิดโรยจนดูเซื่องซึม
“เมื่อวานเผลอนอนตอนหัวค่ำ ถึงเวลาจริง ๆ ก็นอนไม่ค่อยหลับ เช้าตื่นมาเลยรู้สึกเพลียจ้ะกระติ๊บ” 
อุรัสยาหวนคิดถึงความรู้สึกเมื่อช่วงเช้า ท่ามกลางแสงสีทองอ่อน ๆ สาดส่องผ่านกระจกใสหน้าต่าง หญิงสาวเปิดเปลือกตาต้อนรับอรุณรุ่ง ด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนราวกับว่าค่ำคืนที่ผ่านตนได้ฝ่ามรสุมมาอย่างหนัก ทั้งที่เสื้อผ้าหน้าผมยังอยู่ในสภาพปกติทุกอย่าง
เพราะก่อนเธอหลับใหลไปบนเตียงขององค์นาคินทร์ เธอรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกคุณ ท่านนาคราช รังแก แต่พอตื่นมากลับพบว่าร่างกายไร้สิ่งผิดปกติใด ๆ ทั้งสิ้น เว้นแต่รสสัมผัสจับต้องที่เขาได้ฝากเป็นร่องรอยความทรงจำ ซึ่งหญิงสาวคิดขึ้นมาคราใดให้รู้สึกละอายเสียทุกที
หึ.ๆ.
น้ำเสียงผ่านลำคอของใครบางคนดังเข้ามาในโสตประสาท อุรัสยาหันซ้ายแลขวาพลางรู้สึกว่าตนเหมือนถูกบุคคลไม่คิดเผยตัวหัวเราะเยาะหยันเข้าให้แล้ว
“อยากเย้ยกันก็เชิญเลย แต่มันไม่ทำให้ฉันเลิกไปตอแยท่านหรอกจะบอกให้” ดาราสาวเผลอตัวพูดโพล่งออกไป ไม่ทันคิดว่าจะสร้างความฉงนใจให้กับเพื่อนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จนอีกฝ่ายย่นคิ้วเอ่ยถาม
“เธอพูดกับใครน่ะอุ้ม?”
อุรัสยาได้สติ รีบหาข้อแก้ตัวเป็นพัลวัน “เปล่า ฉันแค่นึกถึงคำสนทนาในบทละครก็เลยเผลอพูดออกมา”
“เอะ มีบทพูดนี้ด้วยหรือ แต่เท่าที่ฉันอ่านมันไม่มีนะ” ปานเลขาได้อ่านบทละครของเพื่อนมาบ้างคร่าว ๆ ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นเมื่อครั้งนาคนาคีเป็นนางฟ้า เธอยังไม่เห็นบทโต้ตอบเช่นนี้สักหน่อย
“ก็ใช่ แต่ เอ่อ ฉันแค่ลองนึกถึงคำพูดที่จะใช้โต้ตอบกับท่านนาคราชยังไงให้คนดูได้อรรถรสเท่านั้นหรอกน่า กระติ๊บจ๋าอย่าสงสัยอะไรนักเลย รีบตามกลุ่มไปเถอะพวกเขาเดินไปตรงโน้นแล้ว” อุรัสยาบุ้ยใบ้ให้เพื่อนเห็นว่าพวกตนได้ห่างจากกลุ่มคณะมาก ก่อนคะยั้นคะยอให้รีบเดินตาม
ปานเลขาแม้จะแปลก ๆ กับพฤติกรรมของเพื่อนสนิท ที่ช่วงนี้มักเก็บตัวเงียบเหมือนมีอะไรซุกซ่อนไม่ให้เธอได้ล่วงรู้ ทั้งที่ตลอดมาทั้งสองต่างไม่เคยมีเรื่องปิดบังต่อกัน แต่ก็จำต้องขยับเท้าเพื่อก้าวไปให้ทันคนอื่น โดยเก็บความสงสัยไว้และคอยจับสังเกตพฤติกรรมผิดปกติของเพื่อนต่อไป
ลับหลังเพื่อนขี้สงสัยอุรัสยาลอบถอนใจ ปานเลขาเป็นคนตาไวคงจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเธอ ซึ่งในเช้านี้เธอยอมรับว่าไม่ร่าเริงเบิกบานอย่างเคยแล้วยังมีสีหน้าหงุดหงิดตลอดเวลา นั่นเพราะความสงสัยว่านาคราชหนุ่มสัมผัสเรือนกายของเธอในตอนหลับแล้ว เขาได้ทำอะไรต่อจากนั้นอีกหรือเปล่า ซึ่งความกังขาคาใจนี่แหละ ที่มันส่งผลให้เธอไม่มีกะจิตกะใจเริงร่าต่อเรื่องใด ๆ ทั้งไม่อยากกินอาหาร ไม่อยากพูดคุยกับใคร  แต่อยากพบกับคนก่อปัญหาคาใจเพื่อถามเอาคำตอบให้รู้แล้วรู้รอดเสียมากกว่า
“เหมออีกแล้วนะอุ้ม” เสียงทักจากปานเลขาเรียกสติเธอกลับคืนมาอีกครั้ง หญิงสาวรีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มและเข้าไปโอบเพื่อนหลวม ๆ
“โธ่ กระติ๊บ อุ้มคิดโน่นคิดนี่ไปตามเรื่อง อย่าจับผิดกันแบบนี้สิ”
“ก็ฉันเป็นห่วง กลัวจะเก็บอะไรมาคิดคนเดียวนี่แหละถึงต้องคอยถาม ถ้าเธอยังเห็นฉันเป็นเพื่อนมีอะไรเราต้องปรึกษากันนะอุ้ม” ปานเลขายัดไม้เด็ดใส่อีกฝ่าย เพื่อย้ำเตือนว่ายังมีเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากอย่างตนที่พร้อมจะดูแลช่วยเหลือ มีเรื่องทุกข์ร้อนสิ่งใดอย่าได้คิดปิดบัง
“จ้ะ กระติ๊บเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด” ดาราสาวปลอบใจเพื่อนไป แต่ไม่คิดสัญญาว่าตนจะเล่าเรื่องไม่สบายใจให้เพื่อนฟัง โดยเฉพาะเรื่องที่เธอยังจับต้นชนปลายไม่ได้ แล้วยังจะเรื่องน่าอายเมื่อคืนอีก
ขอโทษนะกระติ๊บฉันไม่คิดปิดบังอะไรเธอหรอก แต่ฉันยังไม่พร้อมจะเล่าเท่านั้นเอง อุรัสยากล่าวขอโทษขอโพยเพื่อนสาวในใจ ก่อนจูงมือปานเลขาให้เดินตามคณะไปเรื่อย ๆ คราวนี้เธอเพิ่งรู้สึกว่าตนเข้ามาหยุดยืนอยู่ในอุโมงค์ด้านใน มีก้อนหินสีดำเรียงรายตั้งแต่ปากทางเข้าคล้ายกับถ้ำท่านนาคราช จึงเป็นโอกาสให้เธอหันเหความสนใจของเพื่อนด้วยการชี้ชวนให้ดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“กระติ๊บดูสิ เขาสร้างได้เหมือนถ้ำบาดาลจริง ๆ เลย”
ซึ่งปานเลขามองออกว่าอุรัสยามีเรื่องปิดบังเธอจริง ๆ แต่ยังไม่พร้อมที่จะเล่ามันออกมาให้ใครฟัง ฉะนั้นด้วยความรักเพื่อน เธอจะไม่ดึงดันซักไซ้จนอีกฝ่ายอึดอัดใจ
“ฉันก็ไม่เคยรู้นะว่าถ้ำพญานาคมีลักษณะยังไง แต่เท่าที่เห็นทำให้นึกทึ่งคนสร้างมากกว่า ช่างถ่ายทอดจินตนาการได้ดีจริง ๆ ดูอย่างพญานาคองค์นั้น” ปานเลขาจำต้องคล้อยตามเพื่อน ด้วยการชี้ไปที่พญานาคสามเศียรขนดอยู่บนหินก้อนใหญ่ใกล้น้ำตกจำลองเล็ก ๆ ที่มองผ่านสายน้ำเหมือนมีปากถ้ำลอดลึกเข้าไปได้
“อะแฮ่ม ดูอะไรกันอยู่ครับสาว ๆ” น้ำเสียงทักจากคนอารมณ์ดี เรียกสายตาสองคู่ให้หันหลังมามอง
“ดูปากถ้ำตรงน้ำตกจำลองค่ะคุณธัช” ปานเลขาเอ่ยตอบ โดยไม่ลืมที่จะส่ายสายตาไปรอบ ๆ ตัวเขา แล้วพูดแดกดันอีกฝ่าย “แหม ห่างกันได้แล้วนะคะ”
ไม่ต้องเอ่ย ชัชพิมุขก็รู้ดีว่าผู้จัดการสาวพูดพาดพิงถึงใคร เพราะตั้งแต่รู้ว่าได้ร่วมงานกันดาราดาวร้ายผู้เลอโฉมก็ตามติดเขาแจ ซึ่งรู้ ๆ กันถึงความสนิทสนมที่หญิงสาวผู้นั้นสร้างขึ้นเป็นเพียงการปั่นกระแสข่าวซุบซิบดารา เพื่อให้ได้โลดแล่นอยู่บนหน้าปกนิตยสารบันเทิง
“ก็แยกกันตอนผมเดินตรงมาหาคุณกระติ๊บนี่ล่ะครับ”
“เหอะ ดีที่รู้ตัวว่าไม่ควรเข้ามาใกล้รัศมีของฉัน” ปานเลขาค้อนขวับ กับวาจายอกย้อนของดาราหนุ่ม
ชัชพิมุขก้มศีรษะซ่อนความขบขัน แล้วเลิกคิ้วยียวนประกอบคำตอบที่มีให้กับอีกฝ่าย จากนั้นดาราหนุ่มหันเหความสนใจไปที่รูปจำลองพญานาคสามเศียรตรงหน้า ข้างฐานระบุชื่อ รณชัชนาคราช ชั่ววูบเขารู้สึกว่าดวงตาสีแดงวาววับราวกับมีชีวิต
“ธัชคะ”
ชัชพิมุขสะดุ้งกับเสียงเรียกเบา ๆ ของดาราสาว เขาหันมาส่งยิ้มเก้อ ก่อนยกมือขึ้นลูบใบหน้าขณะพูด “สงสัยเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ทำให้สายตาเบลอมองอะไรแปลก ๆ ไปหมด”
“อะไรหรือคะที่ว่าแปลก ๆ?” อุรัสยาเลิกคิ้ว ตั้งตารอฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมา
“ก็เมื่อเช้านะสิอุ้ม ผมเห็นผู้หญิงเดินหายไปในน้ำ ผมตั้งใจเปิดหน้าต่างออกเพื่อตะโกนเรียกเขา แต่สิ่งที่ผมเห็นต่อจากนั้นกลับเป็นงูตัวใหญ่ สีดำทะมึนเลยเชียว เห็นอยู่สักพักก็จมหายลงไป ผมอยากจะออกไปมองชัด ๆ ว่าสิ่งที่เห็นเป็นตัวอะไรกันแน่ แต่พูดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทางโรงแรมไม่ทำระเบียงให้ มองผ่านหน้าต่างเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า”
“ผู้หญิงหรือคะ?” อุรัสยาเอ่ยถามโดยไม่ได้แสดงอาการแปลกใจสักนิดกับเรื่องงูใหญ่ในสายน้ำ กลับคิดใคร่ครวญถึงว่าท่านนาคราชเป็นผู้ชาย ฉะนั้นงูตัวใหญ่ที่ชัชพิมุขเห็นไม่น่าจะเป็นเขาได้ หรือว่ามีพญานาคอีกองค์?
“ธัชแน่ใจนะคะว่าเป็นงูตัวสีดำ”
“ครับ ดำเมี่ยมเชียว ขนาดลำตัวเท่าเสาไฟฟ้า” ดาราหนุ่มเล่าไปยิ้มไป ราวกับว่าเรื่องเล่าเช้านี้ของเขาเป็นเรื่องราวชวนขัน
ถ้างั้นก็ไม่ใช่ เพราะท่านนาคราชนาคินทร์มีลำตัวสีเขียวเหลือบทอง แล้วจะเป็นใครได้ล่ะนอกจากหญิงสาวผู้เป็นตัวแทนของเขา
“อุ้มเคยเห็นเหมือนผมหรือครับ?” ชัชพิมุขเกิดความสงสัย หลังสังเกตเห็นสีหน้าครุ่นคิดของหญิงสาว
“เปล่าหรอกค่ะธัช เพียงแต่อุ้มยืนอยู่ในเมืองบาดาลที่เสมือนสถานที่จริงแล้วยังมีเรื่องเล่าของธัช ก็เลยอินกับเรื่องพญานาค ดูอย่างรูปปั้นพญานาครณชัชนี้ซี ลำตัวก็ดำเมี่ยมเหมือนงูใหญ่ที่ธัชเห็นเมื่อเช้าเลย” อุรัสยาเบี่ยงเบนความสนใจชายหนุ่ม ด้วยการชี้ชวนให้ดูรูปปั้นวิจิตรที่ขนดตัวแผ่พังพานอยู่ตรงหน้า
“อืม จริงด้วย แต่ผมรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวนี้นะ เหมือนตัวนั้นจะเป็นผู้หญิง แต่นาคหญิงนาคชายต่างกันตรงไหนผมก็ดูไม่ออก อย่างงี้ต้องถามผู้รู้สินะ” ชัชพิมุขกล่าว ก่อนจะนึกถึงบุคคลที่ไม่เห็นจะมาทำหน้าที่ของตนเสียที
“เอ คุณเลขาอยู่ไหน หรือหน้าที่เลขาของโรงแรมทำให้ต้องโหมงานหนัก สายป่านนี้ถึงลุกไม่ขึ้น”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ” ผู้ถูกกล่าวถึงเคลื่อนร่างอรชรในชุดทำงานของตนเข้ามาหา ก่อนเผยยิ้มเรียบ ๆ ไม่ยินดียินร้ายต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนตรงหน้า “ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่มาช้า เพราะช่วงเช้ามีธุระนิดหน่อย แต่ตอนนี้มาแล้ว ถ้ามีคำถามอะไรที่อยากถามดิฉัน ก็เชิญได้เลยค่ะ”
อุรัสยามองเห็นบรรยากาศตั้งเค้าไม่ค่อยจะดี เพราะดูเหมือนชัชพิมุขจะคอยหาเรื่องหาราวกับเลขาสาวไม่เว้นวาย อย่างกับว่าดาราหนุ่มมีเรื่องโกรธเคืองกับอีกฝ่ายมานาน
“ยังไม่มีคำถามหรอกค่ะคุณเลขาสร้อยจันทร์ ธัชเค้าก็แค่ปากไว พูดไม่ทันคิด”
ปากเสียมากกว่า ปานเลขาซึ่งยืนเงียบ ๆ ร่วมฟังการสนทนามาโดยตลอด อดตงิดใจไม่ได้ที่เห็นสุภาพบุรุษดาราผู้ร่าเริงชอบเปิดปากหาเรื่องผู้หญิงซึ่งเป็นตัวแทนนายจ้างงานละคร ถ้าชายหนุ่มสร้างปัญหาทำให้เลขาสาวเกิดความไม่พอใจแล้วนำไปรายงานเจ้านาย เขาอาจถูกปลดกลางอากาศก็เป็นได้ คงเป็นเรื่องชวนปวดหัวถ้าต้องมาเฟ้นหานักแสดงนำชายเอาตอนนี้
เพื่อผลักไสสถานการณ์ที่เริ่มก่อลางไม่ค่อยดี ปานเลขาจึงตัดบทด้วยการชักชวนให้ทุกคนเดินดูห้องถัดไป “เดินไปดูในห้องนั้นต่อเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันคนอื่น”
ชัชพิมุขมองเชือดเฉือนเลขาสาวก่อนเดินตามสองสาวไป เหลือไว้แต่ร่างนิ่งของคนที่กำลังถูกดวงตาคมวาวของนาคราชรณชัชจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา 
 
 ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 












 

วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 10 หนี้แค้น



นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่อง เสน่หานาคี



ดินฟ้าอากาศปลอดโปร่งไร้เมฆฝนบดบังความสดใส ส่งผลพิธีกรรมบวงสรวงในช่วงเช้าสำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยดี ชั่วโมงต่อมารถนำเที่ยวเคลื่อนตัวออกจากนครนาคาเพื่อนำทุกคนเข้าเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางศาสนา พร้อมกับเลาะเลียบสถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัดตามกำหนดการจากทางฝ่ายจัดการโรงแรมได้แจ้งไว้
แห่งแรกคือวัดโพธิ์ชัยในเมืองหนองคายกราบไหว้หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปขัดสมาธิราบปางมารวิชัยหล่อด้วยทองสีสุก ประดิษฐานภายในโบสถ์ด้วยพระพุทธลักษณะงดงามถือเป็นพระคู่บ้านคู่เมือง แล้วตื่นตาตื่นใจกับหงอนพญานาคลักษณะคล้ายหินปูนรูปร่างสามเหลี่ยม ผิวขรุขระ มีรอยเป็นแนวเหมือนซี่ฟัน ทางวัดจัดแสดงไว้ในตู้ใสมีขันเงินขันทองรองรับอย่างดี
รถเคลื่อนที่อีกครั้งนำพาเยี่ยมชมถ้ำผาบนภูทอก  ภูเขาโดดเดี่ยวมีสะพานไม้เวียนรอบยอดเจ็ดชั้น จากนั้นจึงเดินทางย้อนมาวัดอาฮงศิลาวาส วัดอยู่ติดริมฝั่งแม่น้ำโขง ตามความเชื่อของชาวบ้านเชื่อว่าแม่น้ำบริเวณนี้มีถ้ำ ทางเข้าออกของเมืองบาดาล ช่วงออกพรรษาพญานาคจะมารวมกันที่นี่ เพื่อร่วมถวายดวงประทีปพุทธบูชาซึ่งตรงจุดโขดหินกลางลำน้ำเรียกกันว่าแก่งอาฮง หรือสะดือแม่น้ำโขงที่มีระดับความลึกที่สุดเป็นจุดเกิดดวงไฟพญานาค บริเวณนี้มีกระแสน้ำเชี่ยวแรงไหลวนจนเห็นเป็นรูปกรวยขนาดใหญ่ ซึ่งหากมีสิ่งใดลอยเข้าใกล้คงถูกดึงลงไปหมุนวนแล้วจมหาย

เย็นย่ำดวงตะวันคล้อยตัวเตรียมลับขอบฟ้า รถทัวร์นำพากองถ่ายกลับเข้าสู่เขตที่พักอาศัย เสียงสรวลเสเฮฮาดังกระหึ่ม จากความสุขสนุกสนานที่ได้ท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งในช่วงเวลาความสุขระริกรื่น ความลึกลับดำมืดก็คืบคลานเข้ามาใกล้..
บริเวณป่าไม้ยืนต้น มือหนาหยาบกร้านขย้ำเปลือกไม้แห้งกร่อนออกจากลำต้นไม้ใหญ่ ดวงตาดุดันหรี่มองช่วงท้ายรถขบวนแล่นลิ่วผ่านประตูเข้าไปจนลับตา ริมฝีปากคล้ำหนาแห้งผากขยับปล่อยสุ้มเสียงแผ่วเบาดั่งใบไม้เสียดสีต้องลม แต่มนต์ดำกลับมีพลังอำนาจ ผลักดันสิ่งมีชีวิตกำลังเคลื่อนตัวอยู่บนคาคบไม้ให้ร่างร่วงลงมากระทบพื้นดิน ไม่ทันจะมีโอกาสได้เลื้อยหนีก็ต้องดาวดิ้นสิ้นชีพด้วยปลายมีดหมอที่พุ่งปักลงกลางลำตัว
ชายชราในชุดม่อฮ่อมดำผิวคล้ำสักยันต์ลายไปทั้งตัว เกร็งมือจับด้ามมีดแล้วดึงมันขึ้นมา ดวงตาเหี้ยมเกรียมเป็นประกายพึงพอใจกับผลงานของตนเป็นอย่างดี ก่อนแลบลิ้นชิมรสหยดเลือดสีแดงฉานที่ติดอยู่ตรงปลายคม
“หึ..เลือดพวกแกนี่มันช่างหอมเสียจริง ๆ” ทั้งน้ำเสียงและแววตาของอาจารย์อาคม ต่างหมายมาดจะได้ดื่มด่ำรสชาติหอมหวานของเหยื่อ ที่ตนได้สังหารไปเมื่อสักครู่ในมื้อเย็น 

องค์นาคินทร์หลุดจากสมาธิญาณเมื่อภัยคืบคลานอยู่นอกเขตนครนาคา องค์นาคราชทรงกายลุกขึ้นก่อนก้าวมายืนอยู่ข้างบ่อน้ำ ผิวน้ำใสนิ่งปรากฏภาพดาราสาวเปิดประตูเข้ามาภายในห้องพัก ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มก่อนเอนกายลงนอนหลับตาด้วยความอ่อนเพลีย
ดวงตาดำเหลือบมรกตจ้องจดผู้ไม่มีโอกาสรู้ภัยกำลังมาถึงตัว นางอาจคิดว่าชาตินี้ตนไม่เคยเกี่ยวข้องกับบุคคลอันตรายผู้นั้น แต่หารู้ไม่ว่าตนได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในชาติที่ผ่านมา
..ภายในป่าไพรล้วนมีสัตว์น้อยใหญ่อยู่มากมาย นายพรานเฒ่าผู้ได้ศึกษาวิชามนต์ดำกับพ่อมดหมอผีจนอาคมแก่กล้า จ้องเล็งเนื้อหวานกระโดดเด่งอยู่ตรงหน้า สบจังหวะจึงลองเพ่งตาสังหารเหยื่อผ่านมนต์ที่ได้ร่ำเรียน
กระต่ายน้อยดิ้นรนจากเพชฌฆาตที่มองไม่เห็นอยู่ชั่วครู่ แต่แล้วจู่ ๆ ขณะเหยื่อกำลังหมดลมหายใจ ก็เกิดควันบาง ๆ ลอยคว้างไปทั่วบริเวณ พรานเฒ่าเบิกตากว้างด้วยกลุ่มควันจางควบคุมมนต์ดำของตนจนสลาย คืนความสดใสให้ดวงตากระต่ายน้อยพร้อมกับเรี่ยวแรงที่นำพาเนื้อหวานอวบอ้วนกระโดดผลุงหายไปในพงหญ้า
“ใครบังอาจมาลบหลู่คาถาของข้า” พรานเฒ่าบันดาลโทสะ ความโกรธขึ้งแล่นเป็นริ้วบนใบหน้าเหี่ยวย่นเหี้ยมเกรียม  เมื่อมีผู้พรากอาหารอันโอชาของตนไปต่อหน้าต่อตา
พรานเฒ่าชี้นิ้วคาดโทษ นางผู้บังอาจล่วงเกินอำนาจของเขา
“เจ้ารู้หรือไม่ ความตายจะมาเยือนเจ้า ที่บังอาจมาพรากเหยื่อไปจากข้า”
นาคีสาวหัวเราะเสียงใส ก่อนยิ้มเยาะถ้อยคำขู่ของพรานเฒ่า
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ความตายอาจมาเยือนเจ้าเช่นกัน ถ้าเจ้าบังอาจมายุ่งกับข้า”
“นางนาคี” พรานเฒ่าจ้องตานางนาคีโฉมงามอย่างไม่ลดละ แม้รู้ว่านางเป็นใคร และรู้ว่านางมีบุญบารมีมากเท่าใด พรานเฒ่าก็ยังมั่นใจในมนต์คาถาของตน จึงกล่าวท้าทายนางนาคีอย่างไร้ความเกรงกลัว “เจ้าอยากลองดูใช่หรือไม่ ว่ามนต์อาลัมพายของข้า มันทำอะไรกับเจ้าได้บ้าง”
โฉมงามผู้เคยอยู่บนฟ้าบนสวรรค์ไม่เคยได้สัมผัสมนต์คาถาดังกล่าว ยังผยองด้วยหลงลืมว่าตอนนี้ตนเป็นพญานาคีชาติพันธุ์งูใหญ่หาใช่นางฟ้าอีกต่อไปแล้ว
“มนต์บ้าอะไร ข้าไม่เคยรู้จัก แต่ถ้าเจ้าคิดลองดีกับข้า ก็ลองดูสักตั้งซีเจ้าพรานเฒ่า”
เมื่อวาทะเชือดเฉือนจบลง ต่างฝ่ายต่างกำหนดจิตเพื่อสู้กันให้รู้ผล ทว่านางพญานาคีแม้มีอิทธิฤทธิ์มากมายก็หาสู้มนต์อาลัมพายคาถาปราบปรามชาติพันธุ์งูได้ไม่ จึงต้องมนต์พรานเฒ่าทำให้ประสบกับความพ่ายแพ้ ร่างทั้งร่างถูกตรึงแม้แต่ปากก็ยังขยับไม่ได้
แต่นาคีสาวหายอมจำนนแต่โดยดี ยังคงใช้วิธีกลับคืนสู่ร่างใหญ่ตวัดลำตัวยาวรัดร่างศัตรูจนเสียหลักพร้อมแผ่พังพานห้าเศียรเหนือร่างที่ล้มตัวลง แต่เพราะปากพรานเฒ่ายังขมุบขมิบท่องมนต์อันทรงพลัง จึงทำให้กำลังวังชาที่เลื้อยรัดอ่อนแรงลงทุกที ๆ จนกระทั่งพรานเฒ่าสามารถขยับตัวและยกมือหยาบกร้านขึ้นขย้ำลำตัวของนางได้
ทว่าจังหวะที่พรานเหี้ยมโหดกำลังจะปลิดชีพศัตรูลงได้นั้น กระต่ายน้อยขยับขยุกขยิกในพงหญ้าก่อนใช้แรงทั้งหมดที่มีกระโดดออกมากางเล็บตะปบเข้าที่ปากนายพราน ส่งผลให้มนต์อาลัมพายขาดช่วง และทำให้พญานาคีเลื้อยหนีจากเงื้อมมือคู่ต่อสู้ นางได้จังหวะหันกลับมาพ่นไฟเผาผลาญร่างชรา พรานเฒ่าร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน สักพักร่างทั้งร่างไหม้เกรียมกลายเป็นผุยผง
“ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเรา” นางพญานาคีนิมิตร่างเป็นมนุษย์สาว ยอบกายลงอุ้มกระต่ายน้อยผู้ช่วยเหลือตน ก่อนจะยิ้มร่ากับความออดอ้อนของมัน “เอาล่ะ ทีนี้เราจะหาที่อยู่ใหม่ให้ เจ้าจะได้ไม่เป็นอาหารของใครอีก”
อุรัสยาวารีอุ้มกระต่ายน้อยเดินจากไป โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่าภายในกองเถ้าธุลีมีเกล็ดของตนปะปนอยู่  เนื่องจากระหว่างโดนขย้ำลำตัว เกล็ดหลุดติดมือนายพรานมาด้วย ทำให้ไฟที่นางพ่นออกมาเผาผลาญร่องรอยของตนไปพร้อมกับนายพราน
“เจ้าต้องเผชิญกับหนี้แค้นของพรานเฒ่า นั่นเพราะว่าเจ้าซุกซนอวดเก่งและถือดีไงเล่าอุรัสยาวารี” คำกล่าวขององค์นาคินทร์คงดังก้องไปถึงโสตรับรู้ของผู้ถูกกล่าวถึง คนนอนครึ่งหลับครึ่งตื่นสะดุ้งเปิดเปลือกตาฉับพลัน
ท่าน หญิงสาวเพียงนอนพักสายตา เกิดอุปาทานคล้ายว่าตนถูกจ้องมอง พลางคาดเดาว่าดวงตาลึกลับอาจเป็นของผู้ที่ทำให้เธอคิดถึงเขามาทั้งวันก็ได้
เธอหยัดกายลุกนั่ง หันสายตามองไปยังกรอบรูป
“ท่าน ใช่ท่านหรือเปล่า” น้ำเสียงผะแผ่วเอ่ยถามท่ามกลางความเงียบงัน พลางเพ่งพิศดวงตาสีแดงนั้นให้ความรู้สึกว่ากำลังจ้องตอบกลับมา หญิงสาวขยับลุกและเหยียบขึ้นไปบนที่นอน เธอเดินไปยืนหน้ากรอบรูป ยกมือเรียวขึ้นสัมผัสความรู้สึกผ่านกระจกใส ขณะเอ่ย
“ฉันรู้ว่าท่านกำลังมอง" ไม่ยุติธรรมเลยที่เธอจะต้องถูกแอบมองอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่เขาไม่แม้แต่จะปรากฏตัวให้เห็นแบบนี้ "ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่าท่านต้องการอะไรกับฉันกันแน่ และนั่นหมายถึงฉันจะไปเยือนท่านอีก”
องค์นาคราชซึ่งถูกมนุษย์สาวพูดจาท้าทายผ่านผิวน้ำขมวดคิ้วมุ่น ไม่ชอบใจความอวดเก่งถือดีของอีกฝ่ายเลยสักนิด จึงคิดสั่งสอน
“อุรัสยาวารี แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราต้องการอะไรจากเจ้า”
ถ้อยคำตอบโต้เหมือนสะท้อนผ่านผิวน้ำกลับไปให้ผู้ยืนอยู่หน้ากรอบรูปได้ยิน ใบหน้าสวยใสจึงดูละม้ายพอใจ แม้นไม่รู้ว่าสารที่ได้รับกลับมานั้นจะมีใจความว่าอย่างไร
“ฉันถือว่าท่านรับรู้การไปเยือนของฉันแล้วนะคะ ท่านนาคราช” สิ้นคำกล่าว หญิงสาวถอยล่นตัวเองลงนั่งขัดสมาธิ แหงนหน้าจับจ้องรูปภาพไม่วางตา ราวประทับคำมั่นสัญญาต่อคนผู้นั้นว่า เธอไปแน่

เที่ยงคืน ร่างสูงหุ่นระหงในชุดกางเกงนอนเยื้องย่างออกจากลิฟท์ เดินผ่านทางคล้ายปากถ้ำมาหยุดยืนอยู่กลางโถงกว้าง สะดุดตากับเตียงสี่เสาหรูหราตั้งวางอยู่ตรงมุมถัดไปจากบ่อน้ำ
อุรัสยาจำได้ว่าก่อนนั้นไม่มีเตียงหลังนี้สักหน่อย หญิงสาวคิดพลางเดินไปรอบบ่อสำรวจความผิดปกติและคิดไปว่าอีตานาคราชต้องใช้บ่อน้ำนี้จ้องมองเธอในตอนหัวค่ำแน่ ๆ  ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับเตียงสี่เสาพร้อมก้าวเดินเข้าไปหา
“ถึงกลับมีที่นอนในนี้เชียวหรือ” หญิงสาวตั้งคำถามพร้อมกวาดตาพินิจ ก่อนนึกได้ว่าเคยเห็นเตียงนี้ในนิมิตเมื่อตอนนางฟ้าอุรัสยาวารีจุติมาเป็นพญานาคิณี
ความใคร่รู้เรื่องราวต่าง ๆ ผลักดันให้เธอทิ้งตัวลงนั่ง มือเรียวลูบไล้ไปบนเนื้อผ้าปูว่าจะเหมือนหรือต่างกับโลกมนุษย์อย่างไร ต่อเมื่อได้สัมผัสจับต้องไปบนเนื้อผ้า ร่างกายก็เกิดอาการง่วงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ซึ่งยากจะต้านทานเธอจึงปล่อยกายและใจได้หยุดพักผ่อนทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วหลับตา 
ทว่าจิตใต้สำนึกกลับมิได้หลับใหลไปพร้อมกับดวงตา เธอยังสัมผัสได้ว่าเบาะนุ่มยุบยวบเกิดจากน้ำหนักของใครบางคนกดทับลงมา ก่อนจะได้ยินเสียงทุ้มห้าวกล่าวอย่างเยาะหยัน
“อุรัสยาวารี เจ้านี่ช่างหาเรื่องใส่ตัวเสมอ เจ้าน่าจะคิดให้ถ้วนถี่ว่าการมาเยือนเราซึ่งเป็นชาย เจ้าจะได้พบกับอะไร”
หญิงสาวแม้นอนหลับตาแต่ความรู้สึกทุกส่วนยังตื่นเต็ม เกิดอาการหนาวสะท้านขณะมือเย็นยะเยียบสัมผัสลากไล้มาบนลำคอระหง กายสาวร้อนวูบวาบไปกับปลายนิ้วลากละเลียดมาบนนวลแก้ม และร้อนรุ่มไปทั้งร่างเมื่อมือนั้นหยุดอยู่ตรงริมฝีปาก
องค์นาคราชไล้นิ้วไปรอบริมฝีปากอิ่มที่ตนเคยฝากรอยจุมพิตไว้ พลางนึกขันกับอาการหวั่นไหวของคนอวดดีที่บังอาจมาท้าทายตน
“เรารู้ว่าเจ้ามาแน่ แต่เจ้าก็ควรรู้ว่าเราจะไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลกลับออกไปโดยไม่ได้รับบทเรียนเช่นกัน” องค์นาคราชหนุ่มเผยยิ้มเย็น ก่อนก้มลงมอบจุมพิตที่อีกฝ่ายไม่มีโอกาสขัดขืน
อุรัสยาอึดอัดไปหมดกับร่างกายทุกส่วนที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เว้นแต่ริมฝีปากที่จู่ ๆ ก็ขยับตอบสนองผู้คุกคาม จนอีกฝ่ายย่ามใจ ดุนลิ้นดันรุกเร้าเรียกร้องเอาตามแต่ใจ แม้แต่กระดุมเสื้อนอนติดมิดชิดอย่างดี ก็ดูเหมือนจะหลุดตัวออกจากรังดุม ยามเมื่อมือสัมผัสผ่านเนินอก ทำให้สาบเสื้อแยกปล่อยเนินเนื้อสัมผัสถูกอากาศเย็นในโถงถ้ำ
อย่า..ท่าน ปล่อยฉันไปเถอะค่ะ หญิงสาวร่ำร้องขอความเมตตาจากพญานาคาในใจ พลางภาวนาขอให้เขาได้ยินยอมปล่อยเธอไป
“กลัวแล้วหรือ แต่ก่อนนั้นเจ้าใยไม่คิด มาร่ำร้องขอความเมตตาจากเราตอนนี้ จะมีประโยชน์อันใด” องค์นาคินทร์กล่าวพร้อมจ้องมองร่างนอนนิ่งตรงหน้าแต่ภายในกำลังดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดสุดชีวิต
ดาราสาวตระหนักว่านาคราชหนุ่ม กระทำเพียงต้องการสั่งสอนความอวดดีของตนที่ริอาจท้าทายเขา แต่เพราะถือว่าตนมาดีไม่มีเจตนาล่วงเกินใด ๆ จึงต่อว่าต่อขานอีกฝ่ายออกไป ท่านทำไม่ถูก ฉันมาหาท่านเพราะอยากจะรู้เรื่องราวพญานาคิณีของท่าน ไม่ได้มีเจตนามาท้าทายอำนาจท่านเลยสักนิด ทำไมท่านต้องมาล่วงเกินร่างกายฉันแบบนี้ด้วยล่ะ
คิ้วดำขององค์นาคราชเลิกขึ้น มุมปากยกยิ้มเยาะขณะกล่าวแย้งนาคีผู้สร้างความวุ่นวายใจให้กับตน “เจ้าต้องการรู้เรื่องราวพญานาคิณีของเรา เราก็กำลังเล่าให้เจ้าได้รู้นี่ไง อีกอย่าง การที่เราสัมผัสจับต้องเมียของเรา มันมิใช่เป็นการล่วงเกิน แต่มันเป็นสิทธิ์ของเราต่างหาก”
อุรัสยาได้ฟังคำกล่าวเหล่านั้นแล้วใจร้อนวาบ แต่ก็ยังคิดหาหนทางหยุดการกระทำของเขาให้ได้ ฉันแค่มีหน้าตาเหมือนกับพญานาคิณีของท่าน ไม่ได้เป็นภรรยาท่านเสียหน่อย ท่านจะมาเหมาเอาเองแบบนี้ไม่ได้นะ
ระหว่างที่โต้ตอบกัน อำนาจลึกลับก็ปลดกระดุมหลุดเป็นเม็ดสุดท้ายพอดี สาบเสื้อทิ้งตัวลงข้างลำตัวหญิงสาว เผยทรวงอกสร่างที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ยกทรงเนื้อผ้าเนียนนุ่มสีหวาน กายสาวสะดุ้ง! กับตะขอชุดชั้นในที่หลุดออกจากตัวยึดด้านหลังอย่างง่ายดาย โดยที่เขาไม่ต้องออกแรง 
แย่แล้วเรา หญิงสาวละม้ายได้ยินเสียง หึ ผ่านลำคอด้วยความพอใจของอีกฝ่าย ขณะปราการชิ้นสุดท้ายของเธอถูกถอดออกจากร่าง เธอแทบอยากจะกลั้นใจตายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ดวงจิตถูกฉุดให้ต้องพบอาการสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง กับมือเย็นเมื่อสักครู่บัดนี้กลายเป็นมืออุ่นร้อนกำลังเคลื่อนมาบนลำคอระหง และลากไล้ผ่านลงมาเนินอก จนกระทั่งหยุดอยู่..นาทีระทึกขวัญหยุดอยู่ตรงนั้น ด้วยร่างกายของดาราสาวได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
..นาคีอุรัสยาวารียกข้อมือเรียวเพื่อจุมพิตกำไลนาคราช พลางส่งสายตาบ่งบอกองค์พระสวามีว่าตนนั้นมีความรักมากมายต่อเขาเพียงไร ก่อนจะซบศีรษะลงตรงอกกว้าง ให้โอกาสอีกฝ่ายก้มลงจุมพิตดอกมะลิที่ปักอยู่บนมวยผมหอม เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนั้นเช่นกัน
ทั้งสองเอนกายลงนอน ต่างร่วมบรรเลงเพลงแห่งรักให้สอดประสาน กับกลิ่นอายเสน่หาที่ต่างมีให้กันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งนาคีโฉมงามแห่งลุ่มน้ำขยับตอบรับบทรักขององค์พระสวามีอย่างสุขสม
 
 ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 












 

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

เสน่หานาคี : บทที่ 9 มิติซ้อน



นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่อง เสน่หานาคี





“นั่นไงครับ ผู้กำกับกับคุณเลขาพากันเดินมาทางนี้แล้ว” ชัชพิมุขบอกทุกคน ขณะเห็นผู้กำกับวัยกลางคนเดินมาพร้อมกับเลขาสร้อยจันทร์
ซึ่งจะให้พูดตามตรง เขารู้สึกแปลก ๆ กับผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อคืนที่เห็นเจ้าหล่อนยืนอ้อยอิ่งอยู่หน้าห้องผู้กำกับ ทำตัวเหมือนคนมีลับลมคมนัยดูแล้วขัดอกขัดใจชอบกล เช้านี้พอได้เห็นหน้าสวย ๆ ประดับด้วยรอยยิ้มสดใสของอีกฝ่ายจึงชวนให้นึกหมั่นไส้
“อยู่พร้อมกันดี ผมและคุณเลขาสร้อยจันทร์เตรียมโต๊ะบวงสรวงไว้พร้อมแล้ว จะเริ่มพิธีกันเก้าโมงขอให้ตรงเวลากันหน่อยนะ เพราะเสร็จจากนั้นทางโรงแรมจะมีทริบเที่ยวไหว้พระ เราจะไปวัดโพธิ์ชัยในเมืองหนองคายกันก่อน ไหว้หลวงพ่อพระใสพระคู่บ้านคู่เมือง เยี่ยมชมหงอนพญานาค แล้วจึงจะย้อนกลับมาวัดอาฮง อยู่ใกล้ ๆ นครนาคานี้เอง” ผู้กำกับพงศกรแจ้งกำหนดการต่าง ๆ ด้วยความว่องไวไม่ติดขัดตามนิสัยคนคิดเร็วทำเร็ว จากนั้นก็เป็นเสียงเนิบช้าแต่อ่อนหวานของเลขาสาวเป็นผู้อธิบายต่อ
“รถของทางโรงแรมจะพาทุกคนไปไหว้พระ ต่อด้วยขับพาชมเมือง จะแวะจอดตามจุดที่เป็นสถานท่องเที่ยวหลักของท้องถิ่นให้ทุกคนเดินเที่ยวได้ตามอัธยาศัย ทัวร์ครั้งนี้ถือเป็นการแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักเมืองพญานาคมากขึ้นค่ะ ส่วนพรุ่งนี้จะเป็นวันเข้าชมชั้นบีซึ่งเรียกชั้นบาดาล เพื่อทำความรู้จักและคุ้นเคยสถานที่ก่อนใช้ถ่ายทำในวันถัดไปค่ะ”
“คุณเลขา ทางคุณจัดเตรียมเสื้อผ้ากับเครื่องประดับด้วยหรือเปล่า?” เมธิตาเอ่ยถาม ในสิ่งที่ตนสนใจใคร่รู้ที่สุด
“เราจัดเตรียมไว้พร้อมค่ะและขอบอกเครื่องประดับทุกชิ้นเป็นพลอยและเพชรแท้” เลขาสาวหยุดมองดวงตาเปิดกว้างประหลาดเหลือเชื่อของทุกคน โดยเฉพาะดวงตาวาววับของเมธิตา แล้วพูดต่อ “รวมทั้งช่างแต่งหน้า ช่างทำผมด้วยค่ะ อ้อ ทางโรงแรมมีแผนกนวดด้วยนะคะ ถ้าอยากใช้บริการขอเชิญเลยค่ะ แต่อย่าให้เกินหกโมงเท่านั้น”
“ทำไมครับ หลังหกโมงนี้จะเป็นเวลานวดแบบอื่นหรือยังไง” ชัชพิมุขตั้งคำถามกระแทกใจคนฟังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะจู่ ๆ เขาก็คิดอยากใช้วาจาจิกให้ผู้หญิงตรงหน้าช้ำใจเล่น
ถึงกลับทำให้คนอื่น ๆ เกิดอาการอ้าปากค้างตกใจ กับอากัปกิริยาหยาบคายที่ดาราหนุ่มแสดงออกมา จนอุรัสยาทนไม่ได้เป็นฝ่ายท้วงติงเขา
“ธัช ถามอะไรคุณเลขาสร้อยจันทร์แบบนั้น ไม่สุภาพเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณอุ้ม เรื่องแค่นี้ ฉันอาจเป็นฝ่ายผิดที่อธิบายไม่ชัดเจน ฉันจะขออธิบายใหม่แล้วกันค่ะ คือโรงแรมเราไม่ได้เปิดตลอดคืนฉะนั้นเลิกงานแล้วพนักงานต้องเดินทางกลับบ้าน ซึ่งทางเดินกลับเข้าหมู่บ้านสองข้างทางล้วนเป็นป่า มืดค่ำจะอันตรายจึงให้พนักงานทุกคนกลับเวลาหกโมง จะเว้นก็แต่ห้องอาหารที่เลิกช้าหน่อยเพราะพนักงานพักอยู่กับเราค่ะ หวังว่าคุณชัชพิมุขคงเข้าใจกระจ่างชัดแล้วนะคะ”
อุรัสยามองดวงตาเรียบนิ่งแต่เปล่งประกายกล้าของเลขาคนสวยขณะจ้องสู้ตากับดวงตาคมเข้มของชัชพิมุข เธอลอบถอนใจกับพฤติกรรมหยาบคายของดาราหนุ่มที่ไม่รู้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก่อนจะได้ยินเสียงห้าวกล่าวอย่างไม่สำนึกผิดเอาเสียเลย
“กระจ่างชัดมากครับ ชัดเจนจนมองทะลุไปถึงไหน ๆ”
“พอได้แล้วนะธัช” อุรัสยาอดรนทนไม่ไหว ต้องเอ่ยห้ามปรามเขาอีกครั้ง “ต้องขอโทษแทนเพื่อนด้วยนะคะคุณเลขาสร้อยจันทร์ คือธัชเขานอนผิดที่ผิดทางก็เลยเพี้ยนไปหน่อยค่ะ เอาเป็นว่าเราต่างแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเถอะนะคะ นี่ก็แปดโมงใกล้เวลาทำพิธีบวงสรวงกันแล้ว”
“ค่ะ คุณอุ้ม เสร็จพิธีแล้ว ขอให้ทุกคนเที่ยวกันให้สนุกนะคะ”
ลับร่างผู้ตกเป็นจำเลยฝีปากของชัชพิมุขไปแล้ว ท่ามกลางสีหน้าตะลึงงันของทุกคนอุรัสยานึกทึ่งกับการวางตัวของเลขาสาวเสียจริง ขนาดโดนวาจาจาบจ้วงอย่างไม่ทันตั้งตัวใจยังสงบได้ไม่หวั่นไหวเลยสักนิด คิดอีกที อาจเพราะสร้อยจันทร์เป็นเลขาที่ต้องรองรับอารมณ์นายดุ ๆ มาก่อน จึงเกิดความเคยชิน ไม่สะดุ้งสะเทือนกับอะไรง่าย ๆ ก็ได้
หญิงสาวก้มหน้าซ่อนยิ้ม ก็ให้ตายสิ เธอดันนำความอดทนอดกลั้นของเลขาสร้อยจันทร์ มาเกี่ยวโยงกับมาดขรึมขลังของ ท่านนาคราช เสียงั้น





ทุกคนต่างแยกย้ายเพื่อใช้เวลาส่วนตัวในหนึ่งชั่วโมงให้มากที่สุด ปานเลขาขอเวลาไปเตรียมตารางงาน ส่วนชัชพิมุขเดินหน้าตึงกลับขึ้นห้องพัก แม้แต่เมธิตาก็หายตัวไปชั้นบนเช่นกัน จะเหลือแต่ผู้กำกับที่อยู่คุยงานต่อกับเหล่าลูกทีมภายในห้องอาหาร
ส่วนเธอเดินออกมาทางด้านหน้าโรงแรม หวังชมรอบบริเวณให้ชัด ๆ อีกครั้ง เพราะเดินทางมาถึงตอนค่ำทำให้มองเห็นแต่เงาตะคุ่มของพุ่มไม้และก้อนหินใหญ่สีดำทะมึน มาบัดนี้แสงอาทิตย์สาดแสงสีเหลืองลออตาลงมาทั่วบริเวณ ทำให้เห็นการจัดสวนสวยด้านหน้าไม่ใช่แบบสวนประดิษฐ์เหมือนโรงแรมในเมืองหลวง แต่เป็นการจัดสวนแบบธรรมชาติ ใช้ตอไม้ รากไม้ แทนกระถางดินเผาและอิฐบล็อกในการจัดแต่ง  หินสีดำมีทั้งก้อนใหญ่และก้อนเล็กจัดวางต่างระดับ ท่ามกลางพุ่มไม้หนาปลูกซ้อน ๆ กัน ด้านข้างมีสระน้ำขนาดกลางดอกบัวสีชมพูและสีขาวเบ่งบานอยู่เต็ม
อุรัสยามองมุมสวนให้ก่อเกิดความนุ่มนวลของธรรมชาติอย่างน่าสนใจ และน่าสนใจที่สุดสำหรับเธอ เห็นจะเป็นไม้ยืนต้นปลูกเรียงดั่งฉากหลัง เธอเคยเห็นจำพวกตะแบก หูกวาง แต่ไม้ยืนต้นชนิดนี้กลับให้ความรู้สึกแปลกทั้งไม่เคยเห็นผ่านตามาก่อน ลำต้นสูงจะเป็นต้นหมากก็ไม่ใช่ ต้นตาลก็ไม่เชิง อีกทั้งยังเหมือนต้นมะพร้าวเข้าไปอีก มองรวม ๆคล้ายจะเป็นไม้สามชนิดรวมกันเสียด้วยซ้ำ เอะ..ดวงตากลมตวัดมองเงาหลังพุ่มไม้ แวบหนึ่งเหมือนมีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวตรงนั้น  ถ้าตาไม่ฝาดเธอเห็นหางเรียวสีดำก่อนผลุบหายเข้าไปในซอกพุ่มที่ปลูกซ้อนกัน 'งู!' 
อุรัสยาคาดว่าน่าจะเป็นงู เพื่อให้แน่ใจจึงเคลื่อนกายเข้าไปใกล้อีกนิด ค่อย ๆ ชะโงกหน้าไปหลังพุ่มไม้ คาดว่าจะเห็นเจ้าหางเรียว แต่ที่เห็นกลับเป็นเบื้องหลังของหญิงสาวในชุดพื้นเมืองแปลกตา ที่ว่าแปลกเพราะต่างจากพนักงานสาวทั่วไปในนครนาคาซึ่งสวมเสื้อรัดรูปแขนยาว แต่หญิงสาวผู้นี้แม้จะใส่ซิ่นเหมือน หากช่วงบนกลับคาดผ้าแถบสีแดงเข้มโชว์ผิวสีน้ำผึ้งนวล ลมพัดใบไม้แห้งปลิวมากระทบหน้าผาก เธอกะพริบตาพร้อมยกมือขึ้นปัด
“คุณอุ้มมองหาอะไรหรือเปล่าคะ?” เสียงอ่อนหวานเอ่ยถามมาจากเบื้องหลัง  
อุรัสยาหันขวับมามอง เห็นเลขาท่านนายทุนเดินมาหยุดยืนอย่างนอบน้อมอยู่ใกล้ ๆ เธอจ้องมองคนตรงหน้าสลับกับหันไปมองหลังพุ่มไม้..ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้ว
เธอหันกลับมาตอบเลขาสาวน้ำเสียงตะกุกตะกัก “เปล่าค่ะ คือ..เหมือนจะเห็นอะไรอยู่แถวนั้นค่ะ ก็เลยตั้งใจจะดูให้แน่ใจว่า ใช่งูหรือเปล่า” เสียงตอนท้ายเบาหวิวด้วยความไม่แน่ใจ เพราะถึงเธอเห็นลักษณะการเลื้อยผลุบหายไปจะคล้ายสัตว์เลื้อยคลานชนิดนั้น แต่มองไม่แน่ชัดเธอก็ไม่ควรด่วนสรุป โดยเฉพาะหญิงสาวที่เห็นยืนอยู่ทนโท่แต่กลับหายไปอย่างรวดเร็วจนน่าจะคิดว่าตนตาฝาดไปจริง ๆ
“ตรงไหนละคะ เดี๋ยวดิฉันจะเข้าไปดูเอง”
เลขาสาวกระตือรือร้นจะช่วยเหลือ ไม่มีอาการตื่นกลัวคำว่างูสักนิด ขยับเท้าเข้าไปใกล้ยังตำแหน่งเธอชี้บอก ร่างนั้นโน้มลงไปหยิบอะไรสักอย่างออกมาจากซอกกิ่งไม้ที่ขึ้นแทรกแซงกันหนาแน่น
“คงจะเป็นท่อนไม้นี้แน่เลย”
อุรัสยามองท่อนไม้แห้งสีดำในมือของเลขาสร้อยจันทร์ มีขนาดเท่าด้ามไม้กวาดยาวประมาณครึ่งเมตร แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าเงาดำผลุบหายจะมีปลายหางเรียว แต่สิ่งที่ยืนยันตรงหน้ามันบ่งบอกว่าเธออาจตาฝาดเห็นท่อนไม้เป็นงูก็ได้
ดาราสาวแค่นยิ้ม
“ฉันตาฝาดไปเองจริง ๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” คุยกันเรื่องไม้ พลันฉุกคิดถึงต้นไม้ลักษณะแปลก ๆ 
“คุณสร้อยจันทร์คะ ฉันอยากทราบชื่อต้นไม้ต้นนั้น ชื่อต้นอะไรคะ?” อุรัสยาชี้ไปทางต้นไม้แปลกประหลาด
“ต้นชะโนดค่ะ ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ประจำเมืองพญานาค” สร้อยจันทร์ตอบขณะชำเลืองมองตาม สบายใจอยู่บ้างเมื่อเห็นดาราสาวไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก นางถอนใจโล่งอก ก็เมื่อสักครู่ที่ตนยืนเหม่อด้วยน้อยเนื้อต่ำใจกับถ้อยคำดาราหนุ่ม จึงได้เผลอกลับสู่ร่างนาคีอย่างไม่ทันได้ระวังตัว 
“ต้นชะโนด” อุรัสยาได้ยินชื่อแล้วสัมผัสถึงความคุ้นเคยอย่างประหลาด
เสียงคำอธิบายเพิ่มเติมจากเลขาสาว
“ต้นชะโนดจะไม่ขึ้นที่อื่นค่ะ จะขึ้นเฉพาะในเมืองพญานาค และจะมีใบ หนึ่งใบต่อหนึ่งปีเท่านั้นค่ะ”
“หา ปีละใบ มีอย่างนี้ด้วยหรือคะ" อุรัสยาตาโตกับคำตอบที่น่าประหลาดใจ พลางจ้องมองต้นชะโนดไม่วางตา นึกสงสัยว่าสรุปแล้วบริเวณที่เธอยืนอยู่นี้ เป็นเมืองมนุษย์หรือเมืองพญานาคจริง ๆ กันแน่
หญิงสาวพินิจพิเคราะห์ต้นชะโนดอีกเพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเลขาสาวเอ่ยชวน
“อีกยี่สิบนาทีจะได้ฤกษ์พิธีบวงสรวง เราเดินไปรอคนอื่น ๆ ที่ชายหาดกันไหมคะคุณอุ้ม”
อุรัสยายิ้มยินดีเมื่อได้ยินเลขาสาวเอ่ยชวน อย่างน้อยเธอจะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น เพื่อจะได้ถามเรื่องกำไลพญานาคที่เธอเห็นในความฝัน ซึ่งเหมือนอีกฝ่ายสวมบนข้อมืออยู่นี้
ทั้งสองเริ่มก้าวเท้าย่างเหยียบไปบนแผ่นตอไม้ลักษณะกลมสำหรับเดินในสวน แต่ละแผ่นวางเรียงเป็นทางเดินเว้นระยะต่อก้าวทอดโค้งไปทางด้านหลังโรงแรม
อุรัสยาเพลิดเพลินสองข้างทางเต็มไปด้วยพรรณไม้พุ่มหลายชนิด เยอะสุดคือจำพวกดอกมะลิ เธอเอ่ยกับคนเดินมาด้วยกัน
“ที่นี่เน้นปลูกดอกมะลิ”
“นาคีชอบดอกมะลิค่ะ” น้ำเสียงสร้อยจันทร์คล้ายจะเน้นหนักความชอบของนาคี อุรัสยาได้ยินแล้วพลันนึกถึงองค์นาคา
“แล้วท่านนาคราชล่ะคะ ชอบดอกไม้อะไร”
“ชอบดอกมะลินี่แหละค่ะ แต่เป็นดอกมะลิ ที่ปักบนมวยผมของพญานาคิณีของท่าน” น้ำเสียงเลขาสาว ราวจะหยอกเย้าอยู่ในที
“อ๋อ ค่ะ” อุรัสยาบอกไม่ถูกว่าเหตุใดเธอจึงแกมร้อนผ่าว ยิ่งผุดมโนภาพท่านนาคราชกำลังโน้มใบหน้าลงมาจุมพิตดอกมะลิบนมวยผมของเธอ หัวใจยิ่งเต้นแรงกว่าปกติ
ความรู้สึกหวามไหวที่บังเกิดขึ้นกับตัวอย่างไม่รู้สาเหตุ มีผลให้อุรัสยาไม่เอ่ยถามอะไรอีก จนกระทั่งสะดุดตากับสีหน้าถมึงทึงของเลขาสาว ขณะจ้องจับกิ่งไม้ที่ยื่นเกยทางออกมา ทว่ามองดี ๆ มันเคลื่อนไหวได้และเลื้อยหายไปตรงโคนต้นไม้บริเวณนั้น 
คราวนี้ อุรัสยามั่นใจว่าตนไม่ได้ตาฝาด เจ้าท่อนไม้นั่นมันคืองู และคนที่ทำให้มันผลุบหายไปก็คือผู้หญิงคนนี้ ดาราสาวเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นใบหน้าปกติของสร้อยจันทร์
ทั้งสองเดินมาหยุดอยู่ใกล้ชายหาด ซึ่งมองเห็นโต๊ะตั้งเครื่องเซ่นสรวงอยู่ไม่ไกล อุรัสยาไม่ได้คิดจะก้าวไปใกล้มากกว่านั้น เพราะชะงักงันความรู้สึกบางอย่างเสียก่อน เป็นความรู้สึกถวิลหาต่อสายน้ำที่ทอดตัวยาวอยู่ตรงหน้า
ซึ่งความถวิลหาเกิดขึ้นได้อย่างไร ตัวเธอเองยังแปลกใจ เพราะจำได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโต ชีวิตของเธออยู่ไกลจากแหล่งน้ำต่าง ๆ แม้แต่ทะเลก็น้อยครั้งที่จะได้เฉียดไปใกล้ และคำว่าสระว่ายน้ำยังเป็นข้อห้ามที่แม่อัญญาทำไว้กับทุกสถานศึกษา ฉะนั้นเรื่องความรู้สึกถวิลหาอย่างรักใคร่คุ้นเคยย่อมเป็นเรื่องน่าพิศวง โดยเฉพาะความรู้สึกที่บังเกิดต่อสายน้ำสุดขอบชายแดนไทยเช่นนี้
“คุณอุ้มรู้สึกอย่างไรกับสายน้ำแห่งนี้คะ” สร้อยจันทร์ถามขึ้น น้ำเสียงเรียบปกติแต่ดวงตาทอดมองมา คล้ายหยั่งความนึกคิดในส่วนลึกของเธออย่างมีความหมาย
อุรัสยาหันสบดวงตาจับจ้องของเลขาสาว เธอพยายามทบทวนความรู้สึกตนเอง ก่อนตอบ 
“ถวิลหาค่ะ ถวิลหาอย่างคุ้นเคย มันเหมือนฉันเคยอยู่แถวนี้มาก่อนแล้วต้องพรากจากมันไปไกล" น้ำเสียงของเธอแผ่วเบาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ "หรืออาจจะเป็นเพราะว่าบึงกาฬเป็นบ้านเกิดของแม่ เลยทำให้ฉันรู้สึกคุ้นเคยก็ได้”
“แต่คุณเกิดที่สวีเดน”
“ค่ะ แม่อัญญาไปคลอดฉันที่นั่น” เพราะมารดาต้องการให้เธออยู่ห่างจากสายน้ำแห่งนี้ ..เมื่อถึงวัยเบญจเพสเธอจะต้องกลับคืนสู่สายน้ำ คำทำนายก้องเข้ามาในโสตประสาท ทำให้อุรัสยาทบทวนถึงเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเธอในช่วงนี้ ล้วนเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เธอต้องมาเกี่ยวข้องสายน้ำแห่งนี้
ดวงตากลมทอดมองไปข้างหน้าก่อเกิดคำถามขึ้นว่า ใต้น้ำมีที่อยู่อาศัยสำหรับมนุษย์หรือ? และถึงเวลานั้นเธอจะเป็นมนุษย์จำพวกหนึ่งที่ต่างจากมนุษย์เดินดินธรรมดาหรือเปล่า?
'เหมือนอย่างชายผู้นั้น' ภาพนาคราชหนุ่มกลายร่างเป็นมนุษย์เดินขึ้นจากผืนน้ำยังติดตา เธอหยิบมาเป็นประเด็นสนทนาทันที
“เมื่อคืน ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินขึ้นจากน้ำค่ะ” อุรัสยาสังเกตว่าเลขาสาวไร้ปฏิกิริยาตื่นตระหนก เหมือนเรื่องที่เธอบอกเล่าแสนจะธรรมดา ดาราสาวเฝ้าจับสังเกตอีกฝ่าย “เขาเดินเข้ามาในอาคาร แล้วก็ลงไปอยู่ชั้นล่างสุด ล่างสุดที่เลยชั้นบีลงไป ฉันตามเขาลงไปชั้นนั้นค่ะ” ประโยคท้ายเธอตั้งใจลากเสียงต่ำ เพื่อจับปฏิกิริยาของคนฟัง 
ซึ่งภายใต้อากัปกิริยาสงบ เธอก็ได้ยินอีกฝ่ายย้อนถามมาว่า
“คุณอุ้มเห็นเขาอยู่ชั้นนั้นหรือคะ” ดวงตาดำของสร้อยจันทร์จ้องตอบกลับดาราสาวไม่วาง ด้วยรู้อีกฝ่ายกำลังจับผิดตน
“ฉันไม่เห็นเขาหรอกคะ แต่ถึงเขาไม่ปรากฏตัวให้เห็น ฉันก็รู้ว่าเขาอยู่” อุรัสยายืนยันหนักแน่น โดยเฉพาะรสสัมผัสบนริมฝีปาก แม้สติสัมปชัญญะครึ่งหลับครึ่งตื่นทำให้คล้ายตนได้ล่องลอยอยู่ในห้วงแห่งความฝัน แต่เธอมั่นใจว่าอีตานาคราชนั่นขโมยจูบเธอจริง ๆ
โดยที่ดวงตาคอยเฝ้าจับสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายตลอดเวลา เพื่อให้แน่ใจ ก่อนจะชี้ชัดความเข้าใจของตัวเอง เธอก็ถามเลขาสาวอีกว่า “เรื่องเขาเดินขึ้นมาจากน้ำ มันทำให้ฉันอยากรู้ค่ะว่า ใต้น้ำแห่งนี้มีที่อยู่อาศัยจริง ๆ หรือคะคุณเลขาสร้อยจันทร์”
ซึ่งสร้อยจันทร์รู้ทัน ว่าอีกฝ่ายถามหยั่งเชิงตน จึงยังไม่ให้คำตอบตรง ๆ แต่กลับบอกเล่ามิติซ้อนพอสังเขป
“สถานที่ใดมีเทวดามาสถิต ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานคู่บารมี พญานาคเป็นกึ่งเทวดา สถิตอยู่ที่ใดย่อมมีวิมานคู่บุญบารมีให้ได้อยู่อาศัยเช่นกัน”
“คุณเลขาสร้อยจันทร์กำลังบอกฉันว่า ใต้ผืนน้ำแห่งนี้มีวิมานของพญานาคเหมือนอย่างที่วิมานบนสวรรค์ของเทวดางั้นหรือคะ?”
“ค่ะ แต่วิมานของเหล่าเทพเทวดาไม่ได้อยู่ที่ใดที่หนึ่งบนโลกมนุษย์ แต่เป็นมิติซ้อน ซึ่งขณะนี้ทุกชีวิตในมิตินั้นก็กำลังดำเนินชีวิตไปพร้อม ๆ กับมนุษย์บนโลก เพียงแต่ไม่เห็นกันเท่านั้นเอง”
“แล้วสัตว์กึ่งเทพอย่างพญานาค สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ด้วยใช่ไหมคะ”
"ได้ค่ะ" เลขาสาวตอบอย่างไม่ยีหระ
อุรัสยายิ้มกริ่มในใจ “เหมือนอย่างที่เลขาสร้อยจันทร์แปลงกายเป็นมนุษย์ยืนคุยกับฉันอยู่อย่างนี้ใช่หรือเปล่าคะ”
ดวงตาสีดำของเลขาสาววาวขึ้นเล็กน้อย ก่อนเผยยิ้มน้อย ๆ ใช่ว่าสร้อยจันทร์จะไม่รู้ว่าตนถูกล่อหลอกด้วยคำถาม แต่นางนึกสนุกกับการตกเป็นจำเลยของเพื่อนเก่า
“บอกเหตุผลฉันได้ไหมคะ ว่าพวกคุณต้องการอะไรกับฉันกันแน่” ในเมื่อทุกอย่างเผยออกมาแล้ว อุรัสยาก็ไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อมกันอีก 
“ข้อนี้ฉันบอกคุณไม่ได้จริง ๆ ค่ะ บอกคุณได้แต่เพียงว่าการที่สองภพภูมิมาเกี่ยวข้องกัน ย่อมเกิดจากความผูกพันที่ต่างฝ่ายต่างมีต่อกัน อีกอย่างตัวละครนาคีจะทำให้คุณรู้ทุกอย่างเองค่ะ” 
ประโยคท้าย น้ำเสียงของเลขาสาวฟังดูเศร้าสร้อย ต่างจากเสียงหัวเราะถูกอกถูกใจเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง
“รู้ด้วยการเล่นเป็นตัวละครนาคีงั้นหรือ” อุรัสยามองอีกฝ่ายด้วยความฉงน และรู้ว่าขืนตั้งคำถามไปก็คงไม่ได้รับคำตอบ แต่อย่างน้อยวันนี้เธอก็ได้ความจริงแล้วว่า ทุกอย่างที่เธอได้เผชิญมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
การสนทนายุติลง เมื่อได้ยินกลุ่มคนกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ สร้อยจันทร์เอ่ยบอก
“คงได้เวลาเริ่มพิธีบวงสรวงกันแล้วล่ะค่ะ เราเดินไปรวมกับทีมงานกันดีกว่านะคะคุณอุ้ม” ไม่รอช้า เพียงพูดจบร่างอรชรของเลขาสาวก็เยื้องย่างลงไปตามทาง มุ่งตรงไปยืนรวมกลุ่มกับทุกคนยังหน้าโต๊ะทำพิธีเซ่นสรวง
อุรัสยามองออกว่าสร้อยจันทร์มีเจตนาหลบเลี่ยงออกไป ตัวเธอเองก็ไม่คิดคาดคั้นอะไรอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะยังมีโอกาสเค้นถามเรื่องราวต่าง ๆ จากเจ้าหล่อนอีกมาก จึงได้แต่มองตามแผ่นหลังที่เดินห่างไป ก่อนจะก้าวเดินตาม
 
 ราคาขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 
ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก  คิดค่าส่ง 40 (พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
เช่น นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้ จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
สรุปยอดโอนลูกค้า 200 + 40 = 240 บาท หลังจากร้านได้รับหนังสือคืนแล้วจะโอนคืนให้ในยอด 200-20= 180 บาท
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ