นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่อง เสน่หานาคี
แสงเรืองรองยามเช้าสาดส่องไปทั่วผืนน้ำ
ภายในโถงถ้ำใต้บาดาลนาคราชผู้ทรงศีลอยู่ในสมาธิญาณสัมผัสการมาเยือนของฝีเท้าเงียบกริบ
“เจ้ามาหาเราด้วยเรื่องอันใดหรือนาคีสร้อยจันทร์”
เสียงเรียบทุ้มเอ่ยถามทั้งเปลือกตาปิดสนิท
“ข้าเจ้ามาขอความช่วยเหลือ
ท่านวทันยู ได้โปรดเมตตาข้าเจ้าสักครั้งเถิด ข้าเจ้าทุกข์ทรมานเหลือเกิน”
สร้อยจันทร์ทรุดกายอ่อนล้าพร้อมก้มศีรษะลงตรงเบื้องหน้านาคราชผู้บำเพ็ญศีลจนมีบารมีแก่กล้า
“มันเป็นกรรมของเจ้า
ถ้าเจ้าพยายามแก้ไขมันพ้นได้ เจ้าก็จะพ้นทุกข์ทรมาน”
นาคีสร้อยจันทร์เงยหน้าเศร้าหมองทอดมองใบหน้าคมคร้ามของผู้เป็นพี่ชาย
“ข้าเจ้าได้ดำเนินการแล้ว และหวังว่ามันจะสำเร็จลุล่วง
แต่ตอนนี้ข้าเจ้าอ่อนพลังเหลือเกิน และถ้าปล่อยไว้ ข้าเจ้าจะไม่สามารถนิมิตกายเป็นมนุษย์เช่นนี้ได้อีก
ท่านพี่ ได้โปรดช่วยข้าเจ้าด้วยเถิด”
นาคราชผู้ทรงศีลเปิดเปลือกตามองนางนาคีที่นั่งสำรวมอยู่เบื้องหน้า
นางผู้เป็นน้องสาวได้กระทำผิดอันใหญ่หลวง
จนเกิดเป็นกรรมให้ได้ทุกข์ทรมานกายมาเป็นร้อย ๆ ปี แต่ในขณะนี้นางได้สำนึก
และพยายามแก้ไขในการกระทำนั้น ผู้ประพฤติผิดกำลังกลับตัวกลับใจผู้ทรงศีลหรือจะแล้งไร้ความเมตตา
“สร้อยจันทร์ เจ้าช่างน่าเวทนานัก
เจ้าจงประนมมือ ตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่เจ้าปรารถนาเถิด
ข้าจะช่วยเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”
“ขอบพระคุณท่านพี่
หลุดพ้นบ่วงกรรมครานี้ ข้าเจ้าจะมิทำผิดต่อสิ่งใดอีก ข้าเจ้าสัญญา”
นาคีสาวกล่าวเสร็จ ประนมมือก้มลงกราบ เพื่อรับพรอันประเสริฐเสริมพลังชีวิตของตนจากนาคราชผู้บำเพ็ญภาวนามานานหลายร้อยปีภายในโถงถ้ำเมืองบาดาลแห่งนี้
ชั้นบาดาล..สิบโมงเช้าทุกคนต่างลงมารวมกันที่ชั้นบีซึ่งสร้างสรรค์เสมือนพิภพบาดาล
ดินแดนความเชื่อเรื่องเมืองพญานาคที่รอวันหาคำตอบว่ามีจริงหรือไม่
แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ความเชื่อและความศรัทธาก็ฝังอยู่คู่ชาวลำน้ำโขงมาช้านาน
อุรัสยากับปานเลขาพร้อมเหล่าคณะกองถ่ายเดินตามพนักงานสาวของโรงแรมผ่านบริเวณด้านหน้าตกแต่งด้วยก้อนหินมันวาววางเรียงรายแซมด้วยต้นไม้ดอก
ให้ความสวยงามและสงบร่มรื่น ก่อนก้มลอดอุโมงค์ทีละคนเข้ามายังโถงด้านในซึ่งจัดเป็นห้อง
ๆ แต่ละห้องรังสรรค์เรื่องราวบนโลกเร้นลับใต้พิภพผ่านรูปปั้นอย่างวิจิตรบรรจง
อุรัสยาเดินมาหยุดอยู่ห้องแรกมีสัตว์นานาท่ามกลางพงไพร
ในจำนวนนั้นดาราสาวให้ความสนใจกับกระต่ายน้อยหมอบราบอยู่ใต้พงหญ้า ดวงตาเรียวสีดำวาวเหมือนมีชีวิต
ครั้นพินิจดวงตากระต่ายนานเข้าหญิงสาวเกิดความรู้สึกว่าคุ้นเคยดวงตานี้เสียจริง
พลางถอนใจกับความคุ้นเคยที่เกิดขึ้นกับตนต่าง ๆ นานา ตั้งแต่แม่น้ำ ต้นไม้
แล้วนี่ยังจะสัตว์ตัวกระจ้อยร่อยอีก
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังไม่มีคำตอบต่อสิ่งเหล่านี้แผ้วผ่านเข้ามาให้เธอได้เข้าใจมันเลยสักครา
จนกระทั่งเสียงคนที่ยืนอยู่ข้างกายเอ่ยถาม เธอจึงหันไปสบกับ ‘ดวงตาสีดำ’ ที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคยไม่ต่างกัน
“อุ้ม เป็นอะไรหรือเปล่า ดูเธอซึม ๆ
ไปนะ”
สงสัยเธอคงอยู่ในความคิดตัวเองนานเกินไป
ทำให้ปานเลขาเกิดอาการเป็นห่วง ซึ่งตอนที่เธอลงไปชั้นถ้ำองค์นาคินทร์ก็ดึกมากแล้ว
จึงไม่แปลกถ้าเธอจะตื่นมาตอนเช้าด้วยอาการอิดโรยจนดูเซื่องซึม
“เมื่อวานเผลอนอนตอนหัวค่ำ ถึงเวลาจริง
ๆ ก็นอนไม่ค่อยหลับ เช้าตื่นมาเลยรู้สึกเพลียจ้ะกระติ๊บ”
อุรัสยาหวนคิดถึงความรู้สึกเมื่อช่วงเช้า
ท่ามกลางแสงสีทองอ่อน ๆ สาดส่องผ่านกระจกใสหน้าต่าง
หญิงสาวเปิดเปลือกตาต้อนรับอรุณรุ่ง
ด้วยความรู้สึกเหนื่อยอ่อนราวกับว่าค่ำคืนที่ผ่านตนได้ฝ่ามรสุมมาอย่างหนัก
ทั้งที่เสื้อผ้าหน้าผมยังอยู่ในสภาพปกติทุกอย่าง
เพราะก่อนเธอหลับใหลไปบนเตียงขององค์นาคินทร์
เธอรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกคุณ ‘ท่านนาคราช’
รังแก แต่พอตื่นมากลับพบว่าร่างกายไร้สิ่งผิดปกติใด ๆ ทั้งสิ้น
เว้นแต่รสสัมผัสจับต้องที่เขาได้ฝากเป็นร่องรอยความทรงจำ ซึ่งหญิงสาวคิดขึ้นมาคราใดให้รู้สึกละอายเสียทุกที
‘หึ.ๆ.’
น้ำเสียงผ่านลำคอของใครบางคนดังเข้ามาในโสตประสาท
อุรัสยาหันซ้ายแลขวาพลางรู้สึกว่าตนเหมือนถูกบุคคลไม่คิดเผยตัวหัวเราะเยาะหยันเข้าให้แล้ว
“อยากเย้ยกันก็เชิญเลย แต่มันไม่ทำให้ฉันเลิกไปตอแยท่านหรอกจะบอกให้”
ดาราสาวเผลอตัวพูดโพล่งออกไป ไม่ทันคิดว่าจะสร้างความฉงนใจให้กับเพื่อนที่ยืนอยู่ใกล้
ๆ จนอีกฝ่ายย่นคิ้วเอ่ยถาม
“เธอพูดกับใครน่ะอุ้ม?”
อุรัสยาได้สติ
รีบหาข้อแก้ตัวเป็นพัลวัน “เปล่า ฉันแค่นึกถึงคำสนทนาในบทละครก็เลยเผลอพูดออกมา”
“เอะ มีบทพูดนี้ด้วยหรือ
แต่เท่าที่ฉันอ่านมันไม่มีนะ” ปานเลขาได้อ่านบทละครของเพื่อนมาบ้างคร่าว ๆ
ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นเมื่อครั้งนาคนาคีเป็นนางฟ้า เธอยังไม่เห็นบทโต้ตอบเช่นนี้สักหน่อย
“ก็ใช่ แต่ เอ่อ
ฉันแค่ลองนึกถึงคำพูดที่จะใช้โต้ตอบกับท่านนาคราชยังไงให้คนดูได้อรรถรสเท่านั้นหรอกน่า
กระติ๊บจ๋าอย่าสงสัยอะไรนักเลย รีบตามกลุ่มไปเถอะพวกเขาเดินไปตรงโน้นแล้ว” อุรัสยาบุ้ยใบ้ให้เพื่อนเห็นว่าพวกตนได้ห่างจากกลุ่มคณะมาก
ก่อนคะยั้นคะยอให้รีบเดินตาม
ปานเลขาแม้จะแปลก ๆ
กับพฤติกรรมของเพื่อนสนิท ที่ช่วงนี้มักเก็บตัวเงียบเหมือนมีอะไรซุกซ่อนไม่ให้เธอได้ล่วงรู้
ทั้งที่ตลอดมาทั้งสองต่างไม่เคยมีเรื่องปิดบังต่อกัน แต่ก็จำต้องขยับเท้าเพื่อก้าวไปให้ทันคนอื่น
โดยเก็บความสงสัยไว้และคอยจับสังเกตพฤติกรรมผิดปกติของเพื่อนต่อไป
ลับหลังเพื่อนขี้สงสัยอุรัสยาลอบถอนใจ
ปานเลขาเป็นคนตาไวคงจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเธอ ซึ่งในเช้านี้เธอยอมรับว่าไม่ร่าเริงเบิกบานอย่างเคยแล้วยังมีสีหน้าหงุดหงิดตลอดเวลา
นั่นเพราะความสงสัยว่านาคราชหนุ่มสัมผัสเรือนกายของเธอในตอนหลับแล้ว เขาได้ทำอะไรต่อจากนั้นอีกหรือเปล่า
ซึ่งความกังขาคาใจนี่แหละ ที่มันส่งผลให้เธอไม่มีกะจิตกะใจเริงร่าต่อเรื่องใด ๆ ทั้งไม่อยากกินอาหาร
ไม่อยากพูดคุยกับใคร แต่อยากพบกับคนก่อปัญหาคาใจเพื่อถามเอาคำตอบให้รู้แล้วรู้รอดเสียมากกว่า
“เหมออีกแล้วนะอุ้ม”
เสียงทักจากปานเลขาเรียกสติเธอกลับคืนมาอีกครั้ง หญิงสาวรีบกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มและเข้าไปโอบเพื่อนหลวม
ๆ
“โธ่ กระติ๊บ
อุ้มคิดโน่นคิดนี่ไปตามเรื่อง อย่าจับผิดกันแบบนี้สิ”
“ก็ฉันเป็นห่วง
กลัวจะเก็บอะไรมาคิดคนเดียวนี่แหละถึงต้องคอยถาม
ถ้าเธอยังเห็นฉันเป็นเพื่อนมีอะไรเราต้องปรึกษากันนะอุ้ม” ปานเลขายัดไม้เด็ดใส่อีกฝ่าย
เพื่อย้ำเตือนว่ายังมีเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากอย่างตนที่พร้อมจะดูแลช่วยเหลือ
มีเรื่องทุกข์ร้อนสิ่งใดอย่าได้คิดปิดบัง
“จ้ะ กระติ๊บเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด”
ดาราสาวปลอบใจเพื่อนไป แต่ไม่คิดสัญญาว่าตนจะเล่าเรื่องไม่สบายใจให้เพื่อนฟัง
โดยเฉพาะเรื่องที่เธอยังจับต้นชนปลายไม่ได้ แล้วยังจะเรื่องน่าอายเมื่อคืนอีก
‘ขอโทษนะกระติ๊บฉันไม่คิดปิดบังอะไรเธอหรอก
แต่ฉันยังไม่พร้อมจะเล่าเท่านั้นเอง’ อุรัสยากล่าวขอโทษขอโพยเพื่อนสาวในใจ
ก่อนจูงมือปานเลขาให้เดินตามคณะไปเรื่อย ๆ คราวนี้เธอเพิ่งรู้สึกว่าตนเข้ามาหยุดยืนอยู่ในอุโมงค์ด้านใน
มีก้อนหินสีดำเรียงรายตั้งแต่ปากทางเข้าคล้ายกับถ้ำท่านนาคราช
จึงเป็นโอกาสให้เธอหันเหความสนใจของเพื่อนด้วยการชี้ชวนให้ดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“กระติ๊บดูสิ เขาสร้างได้เหมือนถ้ำบาดาลจริง
ๆ เลย”
ซึ่งปานเลขามองออกว่าอุรัสยามีเรื่องปิดบังเธอจริง
ๆ แต่ยังไม่พร้อมที่จะเล่ามันออกมาให้ใครฟัง ฉะนั้นด้วยความรักเพื่อน เธอจะไม่ดึงดันซักไซ้จนอีกฝ่ายอึดอัดใจ
“ฉันก็ไม่เคยรู้นะว่าถ้ำพญานาคมีลักษณะยังไง
แต่เท่าที่เห็นทำให้นึกทึ่งคนสร้างมากกว่า ช่างถ่ายทอดจินตนาการได้ดีจริง ๆ
ดูอย่างพญานาคองค์นั้น” ปานเลขาจำต้องคล้อยตามเพื่อน ด้วยการชี้ไปที่พญานาคสามเศียรขนดอยู่บนหินก้อนใหญ่ใกล้น้ำตกจำลองเล็ก
ๆ ที่มองผ่านสายน้ำเหมือนมีปากถ้ำลอดลึกเข้าไปได้
“อะแฮ่ม ดูอะไรกันอยู่ครับสาว ๆ”
น้ำเสียงทักจากคนอารมณ์ดี เรียกสายตาสองคู่ให้หันหลังมามอง
“ดูปากถ้ำตรงน้ำตกจำลองค่ะคุณธัช”
ปานเลขาเอ่ยตอบ โดยไม่ลืมที่จะส่ายสายตาไปรอบ ๆ ตัวเขา แล้วพูดแดกดันอีกฝ่าย “แหม
ห่างกันได้แล้วนะคะ”
ไม่ต้องเอ่ย ชัชพิมุขก็รู้ดีว่าผู้จัดการสาวพูดพาดพิงถึงใคร
เพราะตั้งแต่รู้ว่าได้ร่วมงานกันดาราดาวร้ายผู้เลอโฉมก็ตามติดเขาแจ ซึ่งรู้ ๆ
กันถึงความสนิทสนมที่หญิงสาวผู้นั้นสร้างขึ้นเป็นเพียงการปั่นกระแสข่าวซุบซิบดารา เพื่อให้ได้โลดแล่นอยู่บนหน้าปกนิตยสารบันเทิง
“ก็แยกกันตอนผมเดินตรงมาหาคุณกระติ๊บนี่ล่ะครับ”
“เหอะ
ดีที่รู้ตัวว่าไม่ควรเข้ามาใกล้รัศมีของฉัน” ปานเลขาค้อนขวับ กับวาจายอกย้อนของดาราหนุ่ม
ชัชพิมุขก้มศีรษะซ่อนความขบขัน
แล้วเลิกคิ้วยียวนประกอบคำตอบที่มีให้กับอีกฝ่าย
จากนั้นดาราหนุ่มหันเหความสนใจไปที่รูปจำลองพญานาคสามเศียรตรงหน้า ข้างฐานระบุชื่อ
‘รณชัชนาคราช’ ชั่ววูบเขารู้สึกว่าดวงตาสีแดงวาววับราวกับมีชีวิต
“ธัชคะ”
ชัชพิมุขสะดุ้งกับเสียงเรียกเบา ๆ
ของดาราสาว เขาหันมาส่งยิ้มเก้อ ก่อนยกมือขึ้นลูบใบหน้าขณะพูด
“สงสัยเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย ทำให้สายตาเบลอมองอะไรแปลก ๆ ไปหมด”
“อะไรหรือคะที่ว่าแปลก ๆ?”
อุรัสยาเลิกคิ้ว ตั้งตารอฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมา
“ก็เมื่อเช้านะสิอุ้ม
ผมเห็นผู้หญิงเดินหายไปในน้ำ ผมตั้งใจเปิดหน้าต่างออกเพื่อตะโกนเรียกเขา
แต่สิ่งที่ผมเห็นต่อจากนั้นกลับเป็นงูตัวใหญ่ สีดำทะมึนเลยเชียว
เห็นอยู่สักพักก็จมหายลงไป ผมอยากจะออกไปมองชัด ๆ ว่าสิ่งที่เห็นเป็นตัวอะไรกันแน่
แต่พูดแล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทางโรงแรมไม่ทำระเบียงให้
มองผ่านหน้าต่างเลยไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดหรือเปล่า”
“ผู้หญิงหรือคะ?” อุรัสยาเอ่ยถามโดยไม่ได้แสดงอาการแปลกใจสักนิดกับเรื่องงูใหญ่ในสายน้ำ
กลับคิดใคร่ครวญถึงว่าท่านนาคราชเป็นผู้ชาย ฉะนั้นงูตัวใหญ่ที่ชัชพิมุขเห็นไม่น่าจะเป็นเขาได้
หรือว่ามีพญานาคอีกองค์?
“ธัชแน่ใจนะคะว่าเป็นงูตัวสีดำ”
“ครับ ดำเมี่ยมเชียว
ขนาดลำตัวเท่าเสาไฟฟ้า” ดาราหนุ่มเล่าไปยิ้มไป
ราวกับว่าเรื่องเล่าเช้านี้ของเขาเป็นเรื่องราวชวนขัน
‘ถ้างั้นก็ไม่ใช่’ เพราะท่านนาคราชนาคินทร์มีลำตัวสีเขียวเหลือบทอง
แล้วจะเป็นใครได้ล่ะนอกจากหญิงสาวผู้เป็นตัวแทนของเขา
“อุ้มเคยเห็นเหมือนผมหรือครับ?”
ชัชพิมุขเกิดความสงสัย หลังสังเกตเห็นสีหน้าครุ่นคิดของหญิงสาว
“เปล่าหรอกค่ะธัช
เพียงแต่อุ้มยืนอยู่ในเมืองบาดาลที่เสมือนสถานที่จริงแล้วยังมีเรื่องเล่าของธัช
ก็เลยอินกับเรื่องพญานาค ดูอย่างรูปปั้นพญานาครณชัชนี้ซี
ลำตัวก็ดำเมี่ยมเหมือนงูใหญ่ที่ธัชเห็นเมื่อเช้าเลย” อุรัสยาเบี่ยงเบนความสนใจชายหนุ่ม
ด้วยการชี้ชวนให้ดูรูปปั้นวิจิตรที่ขนดตัวแผ่พังพานอยู่ตรงหน้า
“อืม จริงด้วย
แต่ผมรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวนี้นะ เหมือนตัวนั้นจะเป็นผู้หญิง
แต่นาคหญิงนาคชายต่างกันตรงไหนผมก็ดูไม่ออก อย่างงี้ต้องถามผู้รู้สินะ”
ชัชพิมุขกล่าว ก่อนจะนึกถึงบุคคลที่ไม่เห็นจะมาทำหน้าที่ของตนเสียที
“เอ คุณเลขาอยู่ไหน หรือหน้าที่เลขาของโรงแรมทำให้ต้องโหมงานหนัก
สายป่านนี้ถึงลุกไม่ขึ้น”
“ฉันอยู่นี่ค่ะ”
ผู้ถูกกล่าวถึงเคลื่อนร่างอรชรในชุดทำงานของตนเข้ามาหา ก่อนเผยยิ้มเรียบ ๆ
ไม่ยินดียินร้ายต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนตรงหน้า “ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่มาช้า
เพราะช่วงเช้ามีธุระนิดหน่อย แต่ตอนนี้มาแล้ว ถ้ามีคำถามอะไรที่อยากถามดิฉัน
ก็เชิญได้เลยค่ะ”
อุรัสยามองเห็นบรรยากาศตั้งเค้าไม่ค่อยจะดี
เพราะดูเหมือนชัชพิมุขจะคอยหาเรื่องหาราวกับเลขาสาวไม่เว้นวาย
อย่างกับว่าดาราหนุ่มมีเรื่องโกรธเคืองกับอีกฝ่ายมานาน
“ยังไม่มีคำถามหรอกค่ะคุณเลขาสร้อยจันทร์
ธัชเค้าก็แค่ปากไว พูดไม่ทันคิด”
‘ปากเสียมากกว่า’ ปานเลขาซึ่งยืนเงียบ ๆ
ร่วมฟังการสนทนามาโดยตลอด อดตงิดใจไม่ได้ที่เห็นสุภาพบุรุษดาราผู้ร่าเริงชอบเปิดปากหาเรื่องผู้หญิงซึ่งเป็นตัวแทนนายจ้างงานละคร
ถ้าชายหนุ่มสร้างปัญหาทำให้เลขาสาวเกิดความไม่พอใจแล้วนำไปรายงานเจ้านาย เขาอาจถูกปลดกลางอากาศก็เป็นได้
คงเป็นเรื่องชวนปวดหัวถ้าต้องมาเฟ้นหานักแสดงนำชายเอาตอนนี้
เพื่อผลักไสสถานการณ์ที่เริ่มก่อลางไม่ค่อยดี
ปานเลขาจึงตัดบทด้วยการชักชวนให้ทุกคนเดินดูห้องถัดไป “เดินไปดูในห้องนั้นต่อเถอะค่ะ
เดี๋ยวจะไม่ทันคนอื่น”
ชัชพิมุขมองเชือดเฉือนเลขาสาวก่อนเดินตามสองสาวไป
เหลือไว้แต่ร่างนิ่งของคนที่กำลังถูกดวงตาคมวาวของ ‘นาคราชรณชัช’ จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา