วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

บทที่ 6 ดวงตาแห่งเทพ


 

บริเวณประตูห้องสำราญหลวงเจ้าชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่า ๆ พระพักตร์หล่อเหลาดวงเนตรคมกริบ ยืนทอดพระเนตรผ่านม่านสีสวยพรางตาเห็นผู้เป็นพระบิดาเจ้าแห่งบัลลังก์นคร กำลังเริงรักกับกลุ่มนางบำเรอ ซึ่งเป็นนักเต้นระบำที่ขุนนางส่งมาถวายหวังเอาพระทัย จนกระทั่งอีกฝ่ายผู้ถูกจ้องมองหันมาสบตา แล้วโบกพระหัตถ์ให้พวกนางทยอยกันออกไป เขาจึงย่างกรายเข้าไป

“ถ้าเจ้าจะมาพูดกับข้าเรื่องตูเลย์ เจ้าก็เก็บความหวังดีไว้เถิดเมเรเนส เจ้ามิเห็นรึว่าเขามอบความรุ่งเรืองให้กับข้าเพียงใด หรือเจ้ามิปรารถนาให้บิดาของเจ้ามีความสุข” องค์ฟาโรห์
อาเมเรสตรัสกับพระโอรส ที่พระองค์วางไว้เป็นรัชทายาทสืบบัลลังก์อย่างอ่อนใจ เพราะบ่อยครั้งแล้วที่ราชบุตรได้โต้แย้งกับพระองค์เรื่องอวยสิทธิ์ขุนนางเก่ามากเกินไป

“แต่ถ้าท่านพ่อได้ทอดพระเนตรเห็น ว่าตูเลย์นำนักบวชพวกนั้นมาทำอะไรบ้าง พระองค์จะมิวางพระทัยเยี่ยงนี้หรอก พวกนั้นมิได้มีความหวังดีต่อพระองค์เลย ข้าเห็นมากับตา”

เมเรเนสแย้งไปด้วยความห่วงใยพระบิดาผู้ครองเมืองในยุครุ่งเรืองขีดสุด พระองค์มีความสำราญบานใจมาตั้งแต่เป็นเจ้าชายรัชทายาทจนกระทั่งขึ้นนั่งบัลลังก์ จึงละเลยงานการปกครองอีกทั้งขาดการบำรุงพระศาสนา วิหารเสื่อมโทรมการบูชาองค์เทพประจำปีถูกหลงลืม แล้วนี่พระองค์ยังงมงายลัทธิมนต์ดำตามถ้อยคำโน้มน้าวของขุนนางตูเลย์

“ดวงตาของเจ้าก็น่าจะมองเห็นความรุ่งเรืองของข้าด้วยนะเมเรเนส พระบิดาของเจ้าอยู่สุขสบายบนบัลลังก์ และในอำนาจ ที่ตูเลย์มอบให้ และมันจะเป็นของเจ้าต่อไป อีกอย่าง ตูเลย์จะคบหากับใคร แต่ตูเลย์ก็เป็นเพียงบริวาร เจ้าอย่ากังวลไปเลย ข้าควบคุมเขาได้”

การโต้แย้งได้ยุติลงเมื่อได้เหล่านางระบำเดินนวยนาดเรียงกันเข้ามาอีกครั้ง ตามการเรียกหาขององค์ฟาโรห์ที่แม้นจะล่วงเข้าวัยแปดสิบ แต่พลานามัยแข็งแรง มีสนมนางในมากมายแต่พระองค์ป้องกันการตั้งครรภ์ของพวกนางไว้ทั้งหมด เพื่อให้มีเพียงรัชทายาทอันประสูติจากพระมเหสีเพียงพระองค์เดียว

เมเรเนสรำลึกถึงพระมารดาที่จากไปนานหลายปี แม้แต่สุสานของพระองค์ก็ยังขาดการดูแล พระบิดาหลงระเริงกับความสุขของพระองค์เอง จนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อใดที่เขา
พยายากล่าวเตือน พระองค์ก็มักนำอายุที่มากมาเป็นข้ออ้าง ว่าอีกไม่นานพระองค์ก็ต้องเดินทางไปปรโลก ฉะนั้นเมื่อยัง

พระชนม์ชีพก็ขอสุขสำราญใจเสียบ้าง

เจ้าชายรัชทายาทไม่อาจขัดขวางความสุขของพระบิดา ก็เพียงเฝ้ามองพร้อม ๆ กับระแวดระวังภัยด้วยความห่วงใยอยู่ห่าง ๆ ความอัดอั้นในใจของเจ้าชายหนุ่มไม่เคยมีใครได้รับรู้ เพราะไม่เคยไว้วางพระทัยต่อผู้ใด มีเพียงผู้เดียวที่เขาจะคบหาและระบายความทุกข์ใจให้นางฟัง

ท่ามกลางแสงแดดแรงร้อนรัชทายาทหนุ่มหยุดอูฐไว้หน้าวิหารองค์เทวีไอซิส แล้วย่างเท้ามาหาร่างเพรียวบางในชุดกระโปรงยาวสีขาว คลุมศีรษะปิดพรางใบหน้า เมื่อรับรู้การมาของเขา นางก็หันมาและลุกยืน ปล่อยนกพิราบขนขาวผ่องในมือให้มันบินหายลับไปบนคานเสาโอเบลิส แล้วนางก็กล่าวกับเขา

“ท่านส่งพิราบไปหาข้า นัดข้า ท่านคงมีเรื่องทุกข์ใจ” นกพิราบเป็นสัญลักษณ์ในการติดต่อสื่อสารเรื่องด่วนระหว่างทั้งสอง ในเมื่อไม่อาจคบหากันตามปกติเหมือนบุคคลทั่วไป

เมเรเนสเบิกบานพระทัยขึ้น เมื่อได้ยินเสียงหวานเอ่ยถ้อยคำเจือปนความห่วงใย ผ่านผ้าคลุมที่ไม่สามารถบดบังดวงตาสีดำนิลมีประกายเกล็ดดาว รูปหน้าเรียวเล็กประกอบด้วยเครื่องหน้าสวยใสตามวัยสาว

“ก็มีแต่เจ้าเท่านั้นอังค์เนตรา ที่จะรับฟังความทุกข์ใจของข้า”

“ท่านลืมไปแล้วรึ ข้าก็มีเพียงท่านที่เข้าใจข้าเช่นกัน” ท่านหญิงวัยสิบแปด มองชายคนรักรูปร่างสูงสง่าใบหน้าหล่อคมด้วยความเห็นอกเห็นใจกัน

“พระบิดาละเลยภาระหน้าที่ต่อราชบัลลังก์ ขุนนางแบ่งเป็นสองฝั่งสองฝ่าย ข้าไม่รู้จะจัดการมันอย่างไร ถ้าวันหนึ่งข้าต้องนั่งบัลลังก์แทนพระองค์”

เขากล่าวถึงบัลลังก์ที่นางจะไม่มีวันได้นั่งเคียงคู่กับเขา อังค์เนตรานึกถึงชะตาได้กำหนดเส้นขนานระหว่างกันแล้วก็ได้แต่ถอนใจ และรับฟังถ้อยคำที่พรั่งพรูจากอีกฝ่ายต่อไป

“ดูอย่างวิหารองค์เทวีสิ” เขาชำเลืองมองวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกปิดกั้นจากผู้คนมาบูชา “พระองค์ยังสั่งห้ามผู้ใดมาถวายบูชาองค์เทวี ทั้งที่เทวีไอซิสเป็นบุตรีแห่งเทพราผู้ประทานน้ำท่าให้กับสิ่งมีชีวิต”

อังค์เนตรามองเบื้องหน้าวิหารที่ถูกทิ้งร้างด้วยคำบัญชาขององค์ฟาโรห์ ที่ห้ามผู้ใดเข้ามาภายในวิหาร ขัดคำสั่งก็ถึงโทษประหารเพียงอย่างเดียว ท่านหญิงรู้ว่าภายใต้คำบัญชานั้นคือความปรารถนาของขุนนางผู้มีอิทธิพลที่สุดในราชสำนัก นั่นก็คือตูเลย์ บิดาของนางเอง

ในเมื่อบิดามีอำนาจมากกว่าฝ่ายตรงข้าม  การบูชาเทพเซธจึงได้รับการยอมรับมากกว่าฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน

“เรื่องนี้ มันเกี่ยวพันกับบิดาข้า”

เมเรเนสรู้สึกเหมือนได้กล่าวถ้อยคำรานน้ำใจหญิงคนรัก เขารีบปลอบใจนาง

“อังค์เนตรา ข้ามิได้กล่าวหาบิดาของเจ้าหรอกนะ เพราะข้าเข้าใจว่าทุกคนต่างมีองค์เทพบูชาจะเหมือนหรือต่างกันก็ได้ แต่สิ่งที่ข้าพูดคือความกังวล พระบิดาละเลยต่อการบำรุงศาสนาเยี่ยงนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับการครองราชย์ของพระองค์ ข้าก็เหลือจะคาดเดา”

“ท่านเคยพูดว่าฟาโรห์คือบุตรแห่งรา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับบุตรของพระองค์ เทพแห่งราคงไม่ทอดทิ้งเขา หรือแม้นแต่บุตรชายของเขาก็จะได้รับการคุ้มครอง”

หัวใจแห้งแล้งของเมเรเนสเหมือนถูกชโลมด้วยน้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ด้วยถ้อยคำจากหญิงคนรัก

“คำพูดของเจ้า ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ”

“ท่านรู้สึกสบายใจ ก็ดีแล้ว แต่วันหนึ่งถ้าข้าไม่ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของท่าน และท่านมีเรื่องทุกข์ใจ ท่านลองทำแบบนี้” นางนั่งลงชันเข่า แล้วใช้มือกอบทรายขึ้นมาหนึ่งกำ ดวงตาปิดลงขณะปล่อยมันโปรยปรายกลับสู่พื้น

เมเรเนสย่อตัวลง มองการกระทำของนาง “เจ้าทำอะไรอังค์เนตรา”

“ข้าปล่อยวางความทุกข์ใจ” นางลืมตาและกล่าวตอบ ก่อนอธิบายเพิ่มเติม “ตอนที่ข้าทุกข์ใจเรื่องท่านแม่ถูกท่านพ่อทุบตีขณะมาดูแลข้าในตอนที่ข้าต้องท่องมนต์ข้ามวันข้ามคืน ข้าก็ได้แต่วิ่งไปหลบร้องไห้คนเดียวในผืนทราย วันหนึ่งข้าผจญกับพายุทราย มันหมุนวนอยู่ตรงหน้าข้า ข้านึกว่าจะไม่รอดแล้ว แต่จู่ ๆ มันสงบลง แล้วทรายที่หมุนวนก็ร่วงลงมากองกับพื้น ข้ามองเห็นความว่างเปล่าในอากาศ ทุกอย่างกลับมาเหมือนเดิม ข้าเปรียบเทียบกับความทุกข์ที่ข้าหอบมันไว้ ถ้าข้าเพียงโปรยปรายมันลงไปเสีย ใจข้าก็จะว่างเปล่า ค้นพบความสงบเหมือนกัน อีกอย่างไม่ว่าเกิดปรากฏการณ์อะไรทรายยังคงเป็นทราย เหมือนตัวข้าก็ยังเป็นตัวข้า ทุกข์ก็ยังเป็นทุกข์ สิ่งเหล่านี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปจากชีวิตเราได้ นอกจากว่าเราจะหาวิธีใช้ประโยชน์จากการอยู่กับมันให้ได้เท่านั้น”

“แล้วเจ้าก็สามารถทำให้มารดาของเจ้ามาดูแลเจ้าได้ระหว่างท่องมนต์”

“ใช่ ข้าคิดว่าสิ่งที่ท่านพ่อต้องการคือความสำเร็จอันเกิดจากการท่องมนต์ของข้า ข้าจึงบอกต่อท่านว่ามนต์คาถาจะทรงพลังถ้าร่างกายของผู้สวดมีพลานามัยที่ดี ถ้าร่างกายทรุดโทรมอ่อนแอมนต์คาถาก็จะไม่มีประสิทธิผลมากนัก”

“เจ้าช่างฉลาด ข้าจะลองทำอย่างเจ้าบ้าง”

“ท่านลองทำสิ หลับตานึกถึงความทุกข์กังวลนั้น แล้วปล่อยมันลงมา”

เจ้าชายรัชทายาทกอบทรายมาหนึ่งกำมือ ดวงตาคมปิดเปลือกตาลง รำลึกถึงบ้านเมือง ก่อนจะปล่อยเม็ดทรายร่วงลงพื้นจนหมดมือ จิตใจว่างเปล่าปราศจากความสับสนวุ่นวาย ทำให้เกิดปัญญา

เขาลืมตาพร้อมมองสบดวงตาหญิงสาว

“อังค์เนตรา ข้าว่าวิธีของเจ้ามันช่วยได้จริง แม้ว่าจะไม่อาจแก้ปัญหาให้ได้ แต่มันก็ทำให้ข้าสบายใจขึ้น มีสมาธิมากขึ้น และข้าก็คิดออกแล้วว่า ข้าควรทำอย่างไรกับปัญหาที่ข้ากังวล”

จากวันที่นัดพบอังค์เนตรา เจ้าชายหนุ่มก็ได้นำวิธี
กำทรายโปรยปรายของนางมาใช้ มันทำให้เขาค้นพบความสบายใจ และรู้ว่าควรทำอย่างไรกับปัญหาราชกิจแทนพระบิดา ซึ่งล้มป่วยลงกะทันหันอย่างมีเงื่อนงำ

เจ้าชายรัชทายาทใช้วิธีดำเนินตามนโยบายของพระบิดา ที่อวยอำนาจให้ขุนนางได้ดูแลปกครองกันเอง ต่างฝ่ายต่างคานอำนาจกัน โดยพระองค์คอยจังหวะในการใช้อำนาจเด็ดขาดของพระองค์เท่านั้น ซึ่งแต่ก่อนพระองค์เข้าใจพระบิดาผิดมาตลอด ด้วยเข้าพระทัยว่าท่านเอาแต่สำราญ แล้วปล่อยงานบริหารอยู่ในมือขุนนางแต่ฝ่ายเดียว มารู้ก็สายเมื่อพระองค์ล้มป่วยแล้วกระซิบบอกเล่าเขาว่า การควบคุมอย่างโจ่งแจ้ง มันจะทำให้พวกนั้นคิดต่อต้าน แต่ถ้าเห็นถึงประโยชน์ที่ได้รับจากเราโดยไม่ถูกกดดันให้ต้องอยู่ใต้อำนาจ พวกเขาก็จะเต็มใจแข่งขันกันเองเพื่อทำงานให้เรา เพราะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย พระบิดาสารภาพว่าพระองค์เป็นฟาโรห์ร่างกายอ่อนแอ ต่อเมื่อต้องรักษาความสงบเพื่อให้ประชาชนได้อยู่กันอย่างปกติ พระองค์จึงทรงแสร้งทำสำราญเพื่อตบตาพวกขุนนางที่คอยจับตาดูพระองค์

ที่ต่างเข้าใจว่าพระองค์ละทิ้งศาสนานั้นไม่จริง พระองค์ยังคงแอบถวายการเคารพบูชาองค์เทพ โดยลอบไปในวิหารไอซิสบ่อย ๆ ที่เห็นปิดร้างด้านหน้าก็เพียงหลอกตาไว้เท่านั้น แต่สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก เมื่อนักบวชของตูเลย์ที่ซุ่มหน้าวิหาร เห็นพระองค์เข้าไปข้างใน แล้วนำมาแจ้งต่อตูเลย์

ซึ่งแม้ฟาโรห์อาเมเรสจะระมัดระวังองค์เรื่องอาหาร ด้วยกลัวถูกวางยาพิษ แต่หากพระองค์ลืมเฉลียวใจไปว่า นักบวชที่ตูเลย์เลี้ยงไว้ทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ให้ราชสำนักนั้น เก่งกาจเรื่องเวทย์มนต์คาถา

เมเรเนสพยายามดูแลประคับประคองพระบิดาถึงที่สุด เพื่อให้พระองค์ได้มีพระชนม์ชีพเป็นมิ่งขวัญของตนต่อไป ชีวิตขององค์รัชทายาทไม่เหลือผู้ใดแล้ว ขุนนางต่างแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่มีความจริงใจจะช่วยพระองค์บริหารบ้านเมือง พระองค์จึงถูกกำชับว่าเมื่อได้ขึ้นบัลลังก์เมื่อใด จงประคับประคองอำนาจทั้งสองฝ่ายให้จงดี อย่าให้เกิดการเหลื่อมล้ำมันจะนำพาให้บังเกิดสงครามกลางเมือง

แต่ถึงจะรู้ความเคลื่อนไหวพวกเขาทุกอย่าง เมเรเนสก็ทำอะไรไม่ได้ ด้วยขุนนางมีอำนาจมากกว่าฟาโรห์ โดยเฉพาะขุนนางฝ่ายซ้าย ซึ่งเป็นฐานเก่าของอดีตราชวงศ์ที่สิบเอ็ด เพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมืองแย่งชิงบัลลังก์ เขาจำเป็นต้องปฏิบัติตามพระบิดา คอยอะลุ้มอล่วยให้กับความปรารถนาของขุนนาง เฉกเช่นตูเลย์ขุนนางเก่าที่ปรารถนานักบวชของตนมาทำพิธีกรรมบูชาองค์เทพ ตามข้ออ้างว่าเพื่อเสริมบารมีองค์ฟาโรห์แต่เบื้องหลังคือพิธีกรรมนอกรีต โดยผู้ที่คอยบอกเล่าเพื่อระบายความอัดอั้นในใจก็คืออังค์เนตราผู้เป็นบุตรสาวคนเดียวของตูเลย์นั่นเอง

ก่อนนั้นนางเคยชักชวนเขาเข้าไปภายในวิหารเพื่อสักการะองค์เทวี หลังจากถูกปิดวิหารมานาน แต่เขาปฏิเสธเพราะไม่อยากขัดคำสั่งพระบิดา ต่อเมื่อเห็นพระองค์กำลังประชวร คงไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องคำสั่งห้ามมากนัก เขาจึงขอประทานอนุญาต และก็ได้รับคำตรัสอนุญาตให้เข้าได้ แต่เขายังไม่มีโอกาสพานางมา

จนกระทั่งเมื่อวันวานนางได้ส่งนกพิราบมาสื่อสาร เพื่อนัดเขามาวิหารศักดิ์สิทธิ์

บนผืนทรายยามย่ำค่ำภายใต้ดวงจันทร์เสี้ยว เจ้าชายเมเรเนสชำเลืองมองหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีขาวครีม เสื้อคลุมขนสัตว์ บนศีรษะโพกผ้าเก็บผมสีดำสนิทอย่างผู้ชาย เรือนร่างเพรียวบางขยับโยกตามการเยื้องย่างของอูฐ มุมปากหนายกยิ้ม ดวงตาคมเข้มเป็นประกายระยับกับความพอใจที่นางอันเป็นที่รักได้ขอร้องให้เขาพานางมาวิหารไอซิส วิหารแห่งนี้เลื่องลือถึงตำนานความรักนิรันดร์

“เจ้าคิดยังไงรึอังค์เนตรา ถึงได้ชวนข้าออกมาท่องทะเลทรายยามฟ้ามืดแล้วแบบนี้” เสียงทุ้มห้าวแฝงความรื่นรมย์เอ่ยถาม ขณะเห็นใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของนาง

อังค์เนตราบุตรสาวแห่งตระกูลขุนนางเก่า ผู้กุมอำนาจราชสำนักของฟาโรห์ยุคนี้ไปกว่าครึ่ง ชำเลืองมองชายคนรัก รูปร่างสูงสง่า สวมกระโปรงจีบสั้นช่วงเอวถึงต้นขา ใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ และโพกผ้าสีน้ำเงินเข้ม นางถอนหายใจยาว แล้วกล่าวตอบ

“เราออกมาไกลเขตเมืองแล้วก็ตาม แต่ข้าจะเล่าให้ท่านฟังต่อเมื่อเราอยู่ในวิหารองค์เทวีเท่านั้น” ถ้าไม่ใช่เพราะความห่วงใยในตัวคนรักหนุ่ม ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปภายภาคหน้า ท่านหญิงสาวจะไม่เสี่ยงขัดความปรารถนาของบิดาสักเพียงน้อย

“เรื่องนักบวชพวกนั้นสิท่า” รัชทายาทแห่งราชวงศ์ที่สิบสี่คาดเดา ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาบังคับอูฐเพื่อเร่งให้ทั้งสองถึงจุดหมายที่นางได้คาดหวังไว้

วิหารไอซิสสร้างขึ้นจากหินก้อนใหญ่มหึมา ด้านหน้าทางเข้ามีเสาโอเบลิสสองต้นรองรับคานที่อยู่เบื้องบน พื้นที่เข้าสู่ด้านในปูด้วยหินอ่อน ก่อนจะพบผนังทั้งสี่ด้านปรากฏภาพเขียนเฮียโรกลิฟฟิก ระบุเรื่องราวของมหาเทพโอซิริส เทวีไอซิส และเทพฮอรัส

ภายในวิหารอังค์เนตรารู้สึกหดหู่ใจกับสภาพสถานศักดิ์สิทธิ์ถูกทิ้งร้างด้วยฟาโรห์ได้ละเลยการบูชาองค์เทพ นางคุกเข่าลงข้างชายคนรักก้มเคารพสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็กล่าวขึ้น “ข้าแอบเห็นนักบวชพวกนั้นจารึกบทสวดลงบนม้วนปาปิรุส วันหนึ่งข้าขอท่านพ่อไปร่วมพิธีกรรมบูชาด้วย ถึงได้รู้ว่าในม้วนปาปิรุสนั้นมันระบุถึงมนต์คาถาใช้ในพิธีกรรมสังเวยเพื่อสักการะเทพเซธผู้ชั่วร้าย ข้ากลัวเหลือเกินท่านเมเรเนส ข้ากลัวว่าพ่อข้าจะ..”

นางหยุดกล่าวเพียงเท่านั้น เพราะอย่างไร ผู้ที่กำลังหลงผิดก็เป็นบิดาของนาง

“ข้าก็ได้ยินข่าวมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าพ่อเจ้าจะกล้าคบคิดกับพวกนักบวชนั่นทำพิธีถึงเพียงนี้” เขากล่าว พลางมองใบหน้าเศร้าสลดของหญิงคนรักด้วยความเห็นใจ “ข้าเชื่อว่าอาจมีวิธีปราบเทพชั่วร้าย เจ้าดูนั่นสิ”

เขาชี้ให้นางดูภาพเขียนบนผนังบอกเล่าเรื่องราวของสองเทพมหาสงคราม เทพหนึ่งเป็นนักสู้ อีกเทพหนึ่งเป็นนักพิทักษ์

“ตามตำนาน เทพเซธจะถูกเทพฮอรัสปราบปรามอำนาจลงได้ ในสถานที่แห่งนี้ก็น่าจะมีวิธีที่เราจะนำไปไว้ปราบปรามมนต์อาถรรพ์ของพวกนักบวชนอกรีตนั่นได้บ้าง เจ้ามาช่วยกันหา”

ทั้งสองลุกขึ้นกวาดตามองไปถ้วนทั่วผนัง ภาพหนึ่งสะดุดตาท่านหญิง ก่อนทั้งสองจะทรุดตัวลงนั่งเคียงกันด้านหน้ารูปเหรียญสัญลักษณ์เป็นดวงตา

“นี่อะไรรึท่าน” อังค์เนตราลูบภาพดวงตา เสียงเจ้าชายหนุ่มร้องห้าม

“เจ้าอย่าแตะสิอังค์เนตรา”

สิ้นเสียงของเจ้าชายรัชทายาท ก็เกิดประกายสีทองท่ามกลางอากาศ เจ้าชายหนุ่มอ่านอักษรภาพที่ปรากฏท่ามกลางลำแสงนั้น

“เหรียญสุริยะจะมีพลังมหาศาล เมื่อใจสองดวงรวมเป็นหนึ่ง”

“หมายความว่าอย่างไรรึท่านเมเรเนส” ได้ยินนางถาม เจ้าชายหนุ่มหันมาสบตา จากนั้นร่างกายของทั้งสองคล้ายสูญเสียความเป็นตัวเอง พวกเขาก้มลงจดหน้าผากแตะพื้น ริมฝีปากเปล่งมนต์คาถา ชั่วขณะเหมือนจะมีมือสัมผัสลูบมาบนศีรษะ ราวกำลังให้พร... จากนั้นปรากฏสิ่งหนึ่งเปล่งรัศมีสีทองวางอยู่เบื้องหน้า

เมื่อทั้งสองเงยหน้า ก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน “ดวงตาแห่งเทพ!

ดวงตาฮอรัสที่สลักนูนบนผนังได้กลายเป็นเหรียญสัญลักษณ์รูปตา บริเวณหัวตาขวามีดวงอาทิตย์และหัวตาซ้ายมีดวงจันทร์ ทั้งสองมองสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น