ณิชารีย์คิดไม่ตกว่าเธอบ้าหรือว่าโง่ที่เดินตามเขาต้อย ๆ มาถึงในห้องทำงานที่มีความเป็นส่วนตัวสูง ด้วยเป็นห้องเก็บเสียง หญิงสาวสูดหายใจเพื่อเรียกความกล้าให้กับตนเอง สิ่งที่เธอคำนึงถึงไม่ควรเป็นความกลัว แต่ควรเป็นเป้าหมายที่ทำให้ต้องเดินทางมาที่นี่ ไม่แน่ว่าเรื่องราวที่เธอกำลังผจญอาจจะเหมาะสมกับคำว่า ‘เสี่ยง’ จะนำไปเป็นข้อมูลก็ได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอก็หันมาเผชิญกับเขา “ว่าไงคะคุณอัสซาน”
“ว่าไงครับคุณผู้หญิง” เขาย้อนถาม
ณิชารีย์มองค้อนคนตัวใหญ่ที่พูดจายอกย้อนตน “เอะ ก็คุณจะบอกอะไรล่ะคะ” หญิงสาวขึ้นเสียง ชักฉุน
“ใจเย็นซี เจ้านี่ชอบเร่งเร้าข้ามิเปลี่ยน แต่ฟาโรห์อย่างข้าก็เสน่หาเจ้ามิเปลี่ยนเช่นกัน”
เสียงซ้อนก้องออกมา บ่งบอกถึงความเป็นตัวตนของบุคคลที่แฝงอยู่ในร่างอัสซาน
“คุณ คุณว่า คุณเป็นใครนะ”
“ฟาโรห์ ชื่อของข้าคือเมเรเนส ฟาโรห์แห่งราชวงศ์ที่สิบสี่” น้ำเสียงกังวานชัดเจนทุกถ้อยคำ พร้อมแยก ‘คา’ ในรูปลักษณ์มัมมี่ใส่หน้ากากทองคำออกจากร่างตัวแทนแวบหนึ่ง พอให้เห็นร่างที่ซ้อนทับ สร้างความตกตะลึงแก่หญิงสาว
ณิชารีย์ตกใจแต่ไม่อาจขยับกายหนี ขณะถูกมือแข็งแรงเอื้อมมาดึงต้นแขน แล้วออกแรงรั้งให้เธอถลาเข้าไปอยู่ในวงแขน เธอพยายามเบี่ยงตัวหลบ
ใจสาวหวาดหวั่นกับการคุมคามของอีกฝ่าย เธอร้องโวยวาย
“คุณอัสซาน! ไม่ใช่สิ คุณฟาโรห์ปล่อยฉันนะ” มือเล็กกว่าคว้าข้อมือของเขา แล้วเตรียมใช้วิชาป้องกันตัว รู้จักเธอน้อยไปเสียแล้ว สมัยนี้ผู้หญิงกำหนดขอบเขตให้ผู้ชายได้ ล้ำเส้นเมื่อไหร่ก็ต้องโดนแบบนี้
หญิงสาวออกแรงบิดข้อมืออีกฝ่าย ตั้งความหวังจะบิดข้อมือแล้วตามด้วยส้นกระทืบเท้าปิดกระบวนท่าด้วยเข่ากระทุ้งท้อง ทว่า..“อึ้ย..” ไม่ขยับเลย ออกแรงแค่ไหน เธอก็ยังอยู่กับที่ และเหมือนจะถูกเขาตรึงตัวเสียมากกว่า
“เจ้าลืมไปแล้วรึ
ข้าหาใช่คนธรรมดา แต่ถึงจะเป็น
อัสซาน เจ้าก็หาได้ทำอะไรเขาได้ง่าย เผ่านักรบอย่างพวกเขาไม่เคยแพ้ใคร
อย่ากลัวไปเลย ข้าดึงเจ้ามาก็อยากเห็นเจ้าใกล้ ๆเท่านั้น”
ไม่พูดเปล่า มือแข็งแรงยังออกแรงกระชับและดึงรั้งตัวเธอเข้าไปแนบชิด ถึงจะเป็นร่างกายของอัสซาน แต่ณิชารีย์ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของคนข้างใน มันเป็นกลิ่นอายของความคุ้นเคย โดยเฉพาะดวงตาคมเฉี่ยวที่ฉายผ่านดวงตาเจ้าของร่างเหมือนมีมนตรากำลังร่ายให้เธอยินยอมอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเต็มใจ
“ข้าคิดถึงเจ้ามาก” ด้วยความถวิลหามาเป็นพัน ๆ ปี ทำให้ฟาโรห์หนุ่มเกินจะยับยั้งชั่งใจ เขาก้มลงมาจ่อปลายจมูกบนนวลแก้มหญิงสาว
ณิชารีย์ไม่อาจขยับตัวได้เลย เฝ้ารอแต่เมื่อไหร่เขาจะปล่อยเป็นอิสระ “ปล่อยฉันเถอะค่ะคุณฟาโรห์” เธอร่ำร้อง อ้อนวอน แต่มันคงไร้ประโยชน์ เพราะนอกจากเขาจะไม่รับฟัง ยังจะก้มมาหอมแก้มเธออีก คราวนี้หญิงไทยใจหาญไม่อาจปล่อยให้ชายใดมารานน้ำใจตนได้ง่าย ๆ จึงคิดหาวิธีให้หลุดจากสถานการณ์อันตราย ด้วยการโพล่งขึ้น
“คุณไม่ใช่อัสซาน อย่ามายุ่งกับฉัน!”
มือดึงรั้งที่เคยมีแรงมหาศาลอ่อนพลังโดยพลัน ก่อนเสียงซ้อนสะท้อนแทรกจะเอ่ยถามอย่างประชดประชัน
“ถ้าเป็นอัสซาน เจ้าคงจะไม่ดิ้นรนสิ”
ในเมื่อวิธีนี้มันได้ผล งั้นเธอจะดำเนินต่อไป “ใช่ อย่างน้อยเขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ไม่ใช่ดวงวิญญาณสิงร่างคนอื่นแบบนี้”
ทุกถ้อยคำล้วนเสียดแทง และดูเหมือนจะใช้ประโยชน์ได้เกินคาด เพราะเพียงพูดจบ ร่างของณิชารีย์ก็ถูกผลักไสแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น ดีที่หญิงสาวยังยืนทรงตัวไว้ได้ ก่อนจะเกิดอาการหวาดผวาอีกครั้งกับดวงตาวาวโรจน์ยังกับเพลิง
มองเห็นแล้วขนลุก
เพราะมันแทบเผาเธอไหม้ทั้งร่าง..
ณิชารีย์ยกมือขึ้นลูบต้นแขน
พร้อมก้มหลบดวงตาน่ากลัว พลางคิดหาทางแก้สถานการณ์ให้อารมณ์เขาเย็นลง
“ถ้าคุณฟาโรห์ไม่เลิกมองแบบนั้น ฉันคงถูกเผาเหลือแต่กระดูกกลับบ้าน”
‘เผา’..ถ้อยคำของหญิงสาว สะกิดให้ฟาโรห์หนุ่มซึ่งกำลังโกรธจัดนึกถึง ‘คำสัญญา’ และมันก็ทำให้เขาเย็นลงด้วยความเศร้าสลดใจ ร่างใหญ่หันเข้าข้างฝา บนผนังเต็มไปด้วยภาพวาดที่คัดลอกมาจากวิหารอาบิดอส ซึ่งเป็นภาพองค์ฟาโรห์กับองค์ราชินีกำลังถวายการบูชาแด่องค์เทพรา
ใบหน้าเคร่งขรึมมองนิ่งบนภาพผนัง ที่เชื่อมโยงกาลปัจจุบันย้อนไปยังอียิปต์ในยุคกลาง ภายใต้การปกครองของฟาโรห์ราชวงศ์ที่๑๔ ที่บั้นปลายล่มสลายหลังจากเกิดสงครามกลางเมือง
“ท่านพี่ ข้าสาบานได้ว่า ข้ามิได้เต็มใจจะทำผิดต่อท่าน แต่ข้ามิอาจขัดคำสั่งบิดาได้” น้ำเสียงของนางสั่นเครือ เต็มตื้นไปด้วยความโศกา
“ข้ารู้” องค์ฟาโรห์วาดวงแขนแข็งแกร่งรอบร่างเพรียวบางของนาง ราชินีรองผู้น่าสงสาร ต้องตกเป็นเครื่องมือของพวกลัทธิมืด
“ข้าจึงชดเชยความผิดนี้ด้วยการมอบเหรียญจันทราให้กับท่าน”
องค์ฟาโรห์มองเหรียญดวงตาที่เขาและนางได้รับประทานพรจากองค์เทวี “ดวงตาแห่งเทพ แต่องค์เทวีมอบให้เจ้า”
“ท่านพี่ นี่คือสิ่งที่ข้าจะชดเชยให้กับท่านได้” อังค์เนตราซบลงบนอกพระสวามี นางปล่อยเสียงสะอึกสะอื้นที่ยากจะหักห้าม คืนนี้พระนางจะต้องจากชายคนรัก เพื่อไปอยู่แดนตะวันตก ชะตาของพระนางได้ถูกลิขิตมาแล้ว
“หลังจากข้าต้องสังเวยตนเพื่อทดแทนคุณบิดา ท่านจงมอบเหรียญจันทราให้เนเฟอฮามุน เพื่อให้ตระกูลนักรบของนางได้ดูแล เนเฟอฮามุน นางเป็นผู้ที่ถูกเลือกเช่นกัน นางจะนำความหวังครั้งใหม่มาสู่ท่าน เรื่องนี้องค์เทวีได้บอกข้าแล้ว ท่านพี่ ข้าไม่อาจอยู่ในอ้อมกอดของท่านได้อีกแล้ว แต่ขอให้ท่านพึงรู้ไว้ ถึงชีพข้าจะดับสูญ หากหัวใจรักที่ข้ามีต่อท่านจะเจิดจำรัสดุจแสงสุรยะชั่วทิวากาล”
“หัวใจข้ามิต่างจากเจ้าเลยอังค์เนตรา มันมิมีวันดับสลายไปจากเจ้าเช่นกัน”
“แต่ก่อนข้าจะจากท่านไป ข้าขอให้ท่านทำสิ่งหนึ่งเพื่อข้าได้หรือไม่ท่านพี่”
“เจ้าจะขอสิ่งใด ก็ขอมาเถิดอังค์เนตรา ข้าให้เจ้าได้ทุกอย่าง แม้แต่ดวงวิญญาณของข้า”
“ข้าขอให้ท่านช่วยทำลายพลังร้ายนั้นด้วยเถิด” น้ำตาของนางผู้โศกเศร้าหลั่งไหลลงอาบแก้ม เพราะนางรู้ว่าทำเช่นนั้นตนจะไม่มีโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่ แต่มันไม่มีวิธีอื่นแล้ว การทำลายพลังชั่วร้ายที่แฝงมากับคาของนาง มีเพียงวิธีเดียวคือต้องให้เขาช่วยทำลาย
“ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า อังค์เนตรา เจ้าก็รู้ข้ารักเจ้ามากเพียงใด”
ฟาโรห์เมเรเนสดันร่างราชินีสุดแสนจะรัก ขณะปฏิเสธเสียงกร้าว แต่กลับถูกนางตะคอกกลับ
“ท่านต้องทำ! เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่จะทำลายพลังชั่วร้ายได้ ร่างที่สังเวยของข้าจะกลายเป็นที่แฝงพลังชั่วร้ายภายในคืนนี้ ข้าไม่อาจขัดต่อคำสัตย์สัญญาต่อบิดา แต่ท่านสามารถทำแทนข้าได้ ได้โปรดเถิดท่านพี่ อย่าให้ข้าต้องกลายเป็นสิ่งชั่วร้ายให้ชาวประชากล่าวคำสาปแช่งไปชั่วกาลเลย”
“ข้า..” ฟาโรห์หนุ่มอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะตัดสินใจกอดนางไว้แนบอก น้ำตาของบุรุษผู้แข็งแกร่งกำลังหลั่งไหลต่อการตัดสินใจของตัวเอง ‘ข้าควรจะให้คำสัญญาต่อเจ้าหรือไม่’
“รับปากข้าสิท่านพี่ ว่าท่านจะทำ”
“ข้า...” คำตอบเหมือนจุกอยู่ที่คอ ฟาโรห์เมเรเนสสับสนอลหม่านในพระทัยไปหมด
จนกระทั่ง “รับปากข้า!”
“ข้ารับปากเจ้า!” ทรงตรัสรับคำในที่สุด ใบหน้าสวยของราชินีสาวเผยรอยยิ้มทั้งน้ำตา
“ท่านให้สัจจะสัญญาต่อข้าแล้ว และอย่าได้ผิดคำ องค์เทพเป็นพยาน เพราะถ้าท่านผิดคำสาบานเมื่อใด หัวใจของท่านจะหน่วงตาชั่งมะอัต และทำให้ท่านไม่มีวันได้เดินทางไปสู่ปรโลกเพื่อรอวันฟื้นคืนชีพ”
“อังค์เนตรา ข้าให้คำสัญญาต่อเจ้า หาได้เกรงกลัวสิ่งอื่น แต่เพราะข้ารักเจ้า” ฟาโรห์หนุ่มกล่าวแย้งในความเข้าใจของราชินีสาว ทั้งที่ส่วนลึกพระองค์รู้ดีว่าไม่อาจทำตามคำสัญญา
ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนาน หัวใจของพระองค์ก็ยังติดค้างคำสัญญาต่อนาง
เมเรเนสละสายตาจากเรื่องราวเมื่อสามพันปี เมื่อเสียงหญิงสาวในปัจจุบันเอ่ยถามขึ้นมาว่า
“ตกลงฉันจะได้ฟังมั้ยคะคุณฟาโรห์”
เขาเบนใบหน้ามาย้อนถาม “จะฟังเรื่องไหนก่อนล่ะ ระหว่างเรื่องของคุณกับเรื่องของผม”
ณิชารีย์แอบเบ้ปาก เมื่อเขาเปลี่ยนมาใช้สรรพนามตามยุคสมัย แต่ก็ต้องรีบให้คำตอบอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เมื่อเขาหันมาจ้องตาเธอเขม็ง “เรื่องของคุณก่อนแล้วกันค่ะ”
เมเรเนสหมั่นไส้น้ำเสียงคนตอบอ้อมแอ้ม พาลให้นึกอยากแกล้งอดีตภรรยาที่คาของเขาติดตรึงเสน่หาของนางมาสามพันปี “ เจ้าอยากฟังเรื่องของข้าที่เป็นอัสซานหรือฟาโรห์ที่นอนเป็นมัมมี่นั่นล่ะ”
ณิชารีย์ได้ยินแล้วนึกอยากจะดีดหูคนถามนัก นี่ถ้าไม่ติดว่าไม่ใช่คนธรรมดาโดนไปแล้ว หญิงสาวเชิดใบหน้า พูดจีบปากจีบคอ “จริง ๆ แล้วก็อยากฟังเรื่องของคนน่ะนะ แต่ติดที่ว่ามาถึงอียิปต์แล้วก็น่าจะเป็นเรื่องของฟาโรห์”
ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้ม กาลเวลาผ่านมานานแค่ไหน นางก็ยังชอบต่อปากต่อคำกับเขาไม่ลดละ
“ข้าเมเรเนส..”
“รู้แล้วค่าว่าคุณฟาโรห์ชื่อเมเรเนส อุ๊ย เจ็บนะคะ” ก็เขาพูดได้แค่ชื่อเธอก็พูดแทรก ยังแถมทำนองท้วงเขาอีก ผลลัพธ์จึงทำให้เขาเกิดโทสะ แล้วพุ่งเข้ามาจับต้นแขนเธอบีบจนเจ็บ
“ถ้าเจ้าไม่อยากตกไปอยู่ในมือไอ้คนที่มันกำลังต้องการตัวเจ้าอยู่ตอนนี้
เจ้าต้องเงียบปาก แล้วฟังข้าเท่านั้น เข้าใจมั้ย
ณิชารีย์!”
‘โห ดุชะมัด จะรอดชีวิตกลับไทยมั้ยเนี่ย’ สาวไทยใจฝ่อรีบพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะปรายตามองมือแข็งแรงที่บีบต้นแขนเธอจนช้ำ
เมเรเนสไม่เข้าใจตนเองเหมือนกัน ว่าเหตุใดเขาต้องปลดปล่อยอารมณ์โทสะใส่นาง เมื่อนึกถึงว่านางสนใจอัสซานมากกว่าเขา
ฟาโรห์หนุ่มใจเย็นลง จึงปล่อยมือจากต้นแขนอีกฝ่าย แล้วพูดต่อ “ข้าเป็นฟาโรห์สืบบัลลังก์ต่อจากบิดาที่ละเลยต่อศาสนา ปล่อยให้พวกนักบวชที่มาจากหัวเมืองทางใต้มามีอำนาจในราชสำนัก โดยแฝงมาในรูปพิธีกรรมบูชาเทพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น