นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องมนต์เสน่หาใต้ผืนทราย
บทนำ
บนผืนทรายยามย่ำค่ำภายใต้ดวงจันทร์เสี้ยว
เจ้าชายเมเรเนสชำเลืองมองหญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีขาวครีม เสื้อคลุมขนสัตว์ บนศีรษะโพกผ้าเก็บผมสีดำสนิทอย่างผู้ชาย
เรือนร่างเพรียวบางขยับโยกตามการเยื้องย่างของอูฐ มุมปากหนา
ยกยิ้ม ดวงตาคมเข้มเป็นประกายระยับกับความพอใจที่นางอันเป็นที่รักได้ขอร้องให้เขาพานางมาวิหารไอซิส
วิหารแห่งนี้เลื่องลือถึงตำนานความรักนิรันดร์
“เจ้าคิดยังไงรึอังค์เนตรา ถึงได้ชวนข้าออกมาท่องทะเลทรายยามฟ้ามืดแล้วแบบนี้” เสียงทุ้มห้าวแฝงความรื่นรมย์เอ่ยถาม ขณะเห็นใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังของนาง
อังค์เนตราบุตรสาวแห่งตระกูลขุนนางเก่า ผู้กุมอำนาจราชสำนักของฟาโรห์ยุคนี้ไปกว่าครึ่ง ชำเลืองมองชายคนรัก รูปร่างสูงสง่า สวมกระโปรงจีบสั้นช่วงเอวถึงต้นขา ใส่เสื้อคลุมขนสัตว์ และโพกผ้าสีน้ำเงินเข้ม นางถอนหายใจยาว แล้วกล่าวตอบ
“เราออกมาไกลเขตเมืองแล้วก็ตาม แต่ข้าจะเล่าให้ท่านฟังต่อเมื่อเราอยู่ในวิหารองค์เทวีเท่านั้น” ถ้าไม่ใช่เพราะความห่วงใยในตัวคนรักหนุ่ม ที่จะขึ้นครองราชย์ต่อไปภายภาคหน้า ท่านหญิงสาวจะไม่เสี่ยงขัดความปรารถนาของบิดาสักเพียงน้อย
“เรื่องนักบวชพวกนั้นสิท่า” รัชทายาทแห่งราชวงศ์ที่สิบสี่คาดเดา ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาบังคับอูฐเพื่อเร่งให้ทั้งสองถึงจุดหมายที่นางได้คาดหวังไว้
วิหารไอซิสสร้างขึ้นจากหินก้อนใหญ่มหึมา ด้านหน้าทางเข้ามีเสาโอเบลิสสองต้นรองรับคานที่อยู่เบื้องบน พื้นที่เข้าสู่ด้านในปูด้วยหินอ่อน ก่อนจะพบผนังทั้งสี่ด้านปรากฏภาพเขียนเฮียโรกลิฟฟิก ระบุเรื่องราวของมหาเทพโอซิริส เทวีไอซิส และเทพฮอรัส
ภายในวิหารอังค์เนตรารู้สึกหดหู่ใจกับสภาพสถานศักดิ์สิทธิ์ถูกทิ้งร้างด้วยฟาโรห์ได้ละเลยการบูชาองค์เทพ นางคุกเข่าลงข้างชายคนรักก้มเคารพสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็กล่าวขึ้น “ข้าแอบเห็นนักบวชพวกนั้นจารึกบทสวดลงบนม้วนปาปิรุส วันหนึ่งข้าขอท่านพ่อไปร่วมพิธีกรรมบูชาด้วย ถึงได้รู้ว่าในม้วนปาปิรุสนั้นมันระบุถึงมนต์คาถาใช้ในพิธีกรรมสังเวยเพื่อสักการะเทพเซธผู้ชั่วร้าย ข้ากลัวเหลือเกินท่านเมเรเนส ข้ากลัวว่าพ่อข้าจะ..”
นางหยุดกล่าวเพียงเท่านั้น เพราะอย่างไร ผู้ที่กำลังหลงผิดก็เป็นบิดาของนาง
“ข้าก็ได้ยินข่าวมาบ้าง แต่ไม่คิดว่าพ่อเจ้าจะกล้าคบคิดกับพวกนักบวชนั่นทำพิธีถึงเพียงนี้” เขากล่าว พลางมองใบหน้าเศร้าสลดของหญิงคนรักด้วยความเห็นใจ “ข้าเชื่อว่าอาจมีวิธีปราบเทพชั่วร้าย เจ้าดูนั่นสิ”
เขาชี้ให้นางดูภาพเขียนบนผนังบอกเล่าเรื่องราวของสองเทพมหาสงคราม เทพหนึ่งเป็นนักสู้ อีกเทพหนึ่งเป็นนักพิทักษ์
“ตามตำนาน เทพเซธจะถูกเทพฮอรัสปราบปรามอำนาจลงได้ ในสถานที่แห่งนี้ก็น่าจะมีวิธีที่เราจะนำไปใช้ปราบปรามมนต์อาถรรพ์ของพวกนักบวชนอกรีตนั่นได้บ้าง เจ้ามาช่วยกันหา”
ทั้งสองลุกขึ้นกวาดตามองไปถ้วนทั่วผนัง ภาพหนึ่งสะดุดตาท่านหญิง ก่อนทั้งสองจะทรุดตัวลงนั่งเคียงกันด้านหน้ารูปเหรียญสัญลักษณ์ดวงตา
“นี่อะไรรึท่าน” อังค์เนตราลูบภาพดวงตา เสียงเจ้าชายหนุ่มร้องห้าม
“เจ้าอย่าแตะสิอังค์เนตรา”
สิ้นเสียงของเขา ก็เกิดประกายสีทองท่ามกลางอากาศ เจ้าชายหนุ่มอ่านอักษรภาพที่ปรากฏท่ามกลางลำแสงนั้น
“เหรียญสุริยะจะมีพลังมหาศาล เมื่อใจสองดวงรวมเป็นหนึ่ง”
“หมายความว่าอย่างไรรึท่านเมเรเนส” ได้ยินนางถาม เจ้าชายหนุ่มหันมาสบตา จากนั้นร่างกายของทั้งสองคล้ายสูญเสียความเป็นตัวเอง พวกเขาก้มลงจดหน้าผากแตะพื้น ริมฝีปากเปล่งมนต์คาถา ชั่วขณะเหมือนจะมีมือสัมผัสลูบมาบนศีรษะ ราวกำลังให้พร... จากนั้นปรากฏสิ่งหนึ่งเปล่งรัศมีสีทองวางอยู่เบื้องหน้า
“ดวงตาแห่งเทพ!”
ทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน เมื่อเงยหน้ามาพบดวงตาฮอรัสที่สลักนูนบนผนัง บัดนี้กลายเป็นเหรียญสัญลักษณ์รูปตา บริเวณหัวตาขวามีรูปดวงอาทิตย์และหัวตาซ้ายมีรูปดวงจันทร์ ต่างมองสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าด้วยความประหลาดใจ
บทที่ 1 มัมมี่ฟาโรห์
‘ฟาโรห์เมเรเนส’ ฟาโรห์ราชวงศ์ที่๑๔ หนึ่งในราชวงศ์อียิปต์ในยุคกลางตอนปลาย’
หญิงสาวร่างเพรียวบางมองผ่านโลงกระจกหนา เห็นมัมมี่ฟาโรห์ที่ถูกโค่นล้มบัลลังก์จากขุนนางผู้อาวุโสที่ผันตัวไปเข้ากับนักบวชนอกรีต
พระองค์ถือว่าเป็นมัมมี่ประเภทมีทรัพย์สินมาก ใบหน้าห่อหุ้มด้วยหน้ากากทองคำเหลืองอร่าม
ช่วงยาวมาถึงหน้าอกสลักภาพเทพเจ้าเอาไว้ โดยเฉพาะโอรสทั้งสี่ของเทพเจ้าฮอรัส
ซึ่งถือว่าเป็นเหล่าเทพเจ้าองค์สำคัญที่จะช่วยพิทักษ์คาและบาของมัมมี่
บริเวณหน้าผากของหน้ากากมัมมี่ประดับรูปงู ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของฟาโรห์ มีอักษรภาพระบุ
พระนามฟาโรห์เมเรเนส บนคาทูชแผ่นเล็ก ๆ ติดอยู่ข้างร่างที่นอนสงบ
เธอนึกอยากเข้าไปดูร่างมัมมี่ของพระองค์ใกล้ ๆ แต่ติดป้ายห้ามเข้าจึงได้เพียงยืดคอมองผ่านประตูเข้าไป
ร่างสูงสง่าของฟาโรห์หนุ่มแห่งราชวงศ์อดีตกาลอยู่ในรูป ‘คา’ มีร่างเนรมิตเลือนราง มองผ่านหญิงสาวร่างเพรียวบางในชุดสมัยใหม่ล่วงไปถึงรูปลักษณ์ราชินี ในชุดอิสตรีสูงศักดิ์แห่งราชสำนักอียิปต์ในยุคโบราณ คิ้วเข้มขมวดมุ่น ครุ่นคิดถึงการกลับมาของนาง
“เสียดายจังดันห้ามถ่ายรูป” ดวงตากลมโตมองป้ายห้ามถ่ายรูปติดอยู่ข้างประตูแล้วหงุดหงิดใจ เสียค่าผ่านประตูมาแพง แต่ได้ชะเง้อคอดูอย่างเดียว ไม่คุ้มเลย
มือเรียวกดปุ่มกล้องโทรศัพท์เก็บภาพ ก่อนหันซ้ายแลขวาแล้วเก็บโทรศัพท์ใส่เป้ใบจิ๋วทันที การได้ลงมือเสี่ยงทำอะไรบ้าง ก็ยังดีกว่าปล่อยผ่านเลยไป ‘มาถึงที่แล้วยังไงก็ต้องเสี่ยงล่ะ’
เมื่อโลกออนไลน์กำลังเบียดทุกสิ่งทุกอย่างให้ตกขอบ คนนอกกรอบอย่างเธอก็พร้อมจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้กิจการของเธออยู่รอด โดยเฉพาะสำนักพิมพ์ไอซิสที่บิดาบุกบั่นสร้างมากับมือ เธอจะไม่ยอมให้มันปิดตัวลงง่าย ๆ
ณิชารีย์ค้นคว้าเรื่องราวฟาโรห์เมเรเนส ก็พบเท่าที่เคยมีข่าวเผยแพร่ไปแล้ว เธอคิดว่าถ้ามัวเสียเวลาค้นหาเพิ่มเติมในเมืองไทย ก็คงได้แค่ข้อมูลที่ผ่านการแปล สู้เดินทางมาสถานที่จริง เพื่อค้นหาสิ่งใหม่ที่ยังไม่ออกสู่สายตาสื่อที่ไหนจะดีกว่า หลังจากตัดสินใจจะมาผจญภัยหาภาพและข้อมูลเชิงลึกในอียิปต์ เธอก็ฝากงานไว้กับเลขาและออกเดินทางมาอียิปต์ จากสนามบินต่อด้วยการว่าจ้างรถแท็กซี่ที่มีจำนวนพอ ๆ กับประชากรเมืองไคโร มาส่งยังโรงแรมอัล-ซาฮานที่มีมาตรฐานระดับห้าดาว
สองวันที่อยู่ในห้องพักเธอค้นหาประวัติพิพิธภัณฑ์อัล-ซาฮานเพื่อเป็นข้อมูล
หนึ่งในเรื่องที่สืบค้นและสนใจเป็นพิเศษ
เป็นเรื่องของมัมมี่ฟาโรห์เมเรเนสที่อยู่ในการดูแลของตระกูล
อัล-ซาฮาน
ความสนใจมัมมี่สามพันปี
เธอให้คำตอบกับตัวเองว่าอาจเพราะตอนเรียนเธอเลือกนำประวัติฟาโรห์ที่ยังไม่โด่งดังเท่า
ตุตันคามุนมาแปลช่วยงานบิดา อีกทั้งรับแปลคอลัมน์เล็ก ๆ เกี่ยวกับอียิปต์โบราณ ส่งนิตยสารอื่นเพื่อหาประสบการณ์
ทำให้เรื่องราวอียิปต์ มัมมี่
ฟาโรห์ฝังรากลึกอยู่ในความทรงจำมากพอที่เธอจะใช้ประโยชน์จากมัน
ณิชารย์รู้สึกมีความสุขทุกนาทีในการสานต่อกิจการสำนักพิมพ์ไอซิสของบิดาให้ดำเนินต่อไป แม้ว่าต้องผจญกับเศรษฐกิจผันผวนตลอดเวลา
ดื่มด่ำค่ำคืนที่มีสายน้ำไนล์ทอดตัวยาวภายใต้แสงจันทร์อยู่สองวัน เธอก็ลงเรือใบเฟลุกกะเรือใบโบราณล่องตามกระแสลมมายังท่าน้ำของพิพิธภัณฑ์อัล-ซาฮาน เธอเดินสำรวจทั่วพิพิธภัณฑ์ ดูวีดิทัศน์บรรยายภาพสุสานค่อนข้างใหญ่ ชาวไอยคุปต์มักจะจารึกประวัติศาสตร์ด้วยภาพสลักบนผนัง ลวดลายตกแต่งมีภาพเทพเจ้าอานูบิสมีรูปลักษณะหมาในคอยปกป้องคุ้มครองสุสาน บางครั้งสร้างเป็นรูปปั้นหมอบเฝ้าด้านหน้าทางเข้าห้องพระศพ ก่อนหยุดความสนใจอยู่หน้าประตูห้อง v14 ซึ่งมีโลงกระจกมัมมี่องค์ฟาโรห์นอนอยู่
“พิพิธภัณฑ์จะปิดแล้วครับ”
คงเป็นเสียงเจ้าหน้าที่ เขาสื่อสารภาษาอังกฤษด้วยความคล่อง ณิชารีย์ไม่ละสายตาจากมัมมี่ตรงหน้า เธออยากรู้จังว่าภายใต้หน้ากากทองคำและผ้าที่พันรอบตัวอยู่นี้ เขาจะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
“คุณครับ”เขาเรียกอีก
“ค่ะ” ณิชารีย์หันไปตอบรับเสียงแผ่ว ก่อนสายตาสะดุดกับสิ่งที่เกิดประกายแวบหนึ่งอยู่ตรงมุมมืดเยื้องหน้าห้องมัมมี่ฟาโรห์ไปนิดเดียว ดวงตากลมจับจ้องฝ่าความสลัวเห็นแผ่นหินสีดำขนาดเท่าฝ่ามือวางบนหินขนาดกลางมีอักษรรูปภาพโบราณที่น่าสนใจ เธอขยับเข้าไปใกล้อีกนิด อยากเห็นชัด ๆ อีกสักหน่อย แต่เสียงที่เรียกซ้ำ
“คุณครับ” เสียงชายหนุ่ม แม้ไม่เร่งเร้าแต่ก็กระตุ้นเตือนให้หญิงสาวได้สติ “พิพิธภัณฑ์จะปิดแล้วนะครับ” เขาเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มสุภาพ
“ค่ะ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ” ณิชารีย์มองเขา ก็เห็นว่าบุรุษอยู่ในชุดประจำชาติอาหรับของเขานั้นรูปร่างสูงสง่า ใบหน้าแม้มีไรเคราเขียวรอบสันกรามหากก็จัดว่าหล่อเหลาเอาการ โดยเฉพาะดวงตาแม้จะคมเข้มแต่ก็แฝงความหวานอย่างกับดวงตาผู้หญิง เขาคงได้ดวงตาของมารดา และมารดาของเขาก็คงเป็นคนสวยทีเดียว
ส่วนชายหนุ่มก็เหมือนจะตะลึงไปพักใหญ่ กับผู้หญิงร่างเพรียวบางสวมชุดกระโปรงยาวสีเหลืองมะนาวเสื้อทรงเชิ้ตแขนกุดมีผ้าคลุมไหล่ปักลูกไม้สีดำ ใบหน้าเรียวเล็กประกอบด้วยคิ้วเรียวงาม ดวงตามีแววเป็นประกายเหมือนมีเกล็ดดาวพร่างพรายอยู่ในนั้น มันดูมีชีวิตชีวา จมูกสันเล็ก ๆ รับกับใบหน้า ริมฝีปากบนหยักนิด ๆ ส่วนริมฝีปากล่างบางแต่อิ่มเต็ม ผมยาวปล่อยตัวเป็นลอนคลื่นเสียบที่คาดด้านหน้าสีดำลายดอกกุหลาบแดง
สวย..
“ผม อัสซาน ฮาริม ฮาจารี ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครับ” เขาแนะนำตัวด้วยชื่อเต็มโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยนามตระกูล ก่อนที่การมองของเขาจะทำให้เธออึดอัด สังเกตจากกระเป๋าเป้ไขว้อยู่ด้านหน้าเธอกำลังถูกมือเรียวบีบแน่นกระชับ
“ฉันณิชารีย์ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ และขอโทษที่รบกวนสถานที่ของคุณนานเกินควร”
“ผมไม่คิดว่าเกินควรหรอกครับ แต่ผมเห็นว่านักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ รอเดินทางกลับกันแล้ว จึงเกรงว่าคุณจะไม่ทันพวกเขา”
“ฉันไม่ได้มาพร้อมกรุ๊ปทัวร์หรอกค่ะ ฉันมาคนเดียว และเพราะมาคนเดียวจึงไม่ค่อยจะรู้เวลา ต้องขอโทษคุณอัสซานด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เขามองเข้าไปในห้องเก็บมัมมี่องค์ฟาโรห์ที่ตระกูลอัล-ซาฮานได้สิทธิ์มาดูแล แล้วหันกลับมากล่าว “เป็นธรรมดาที่เราจะเพลิดเพลินกับสิ่งที่เราให้ความสนใจเป็นพิเศษ”
“ค่ะ บอกตามตรงฉันมาที่นี่เพื่อดูมัมมี่ของพระองค์โดยเฉพาะ คุณคงจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระองค์มากพอจะให้ข้อมูลกับฉันได้บ้างนะคะ”
“ผมก็ไม่ชำนาญเรื่องราวของมัมมี่เท่าไหร่นะครับ เพราะส่วนใหญ่ผมบริหารงานโรงแรม จะมาเป็นภัณฑารักษ์ดูแลพิพิธภัณฑ์เฉพาะวันหยุดเท่านั้น”
“ความสามารถคุณเยอะมาก” น้ำเสียงทอดยาวเอ่ยแบบทึ่ง นั่นเพราะภัณฑารักษ์นับเป็นตำแหน่งที่สำคัญและรับผิดชอบสูง ทั้งในแง่บริหารและปฏิบัติการ แต่เขาซึ่งถือว่ายังหนุ่มมากกลับรับผิดชอบมันได้ทั้งหมด
คนถูกชมก็เหมือนจะถ่อมตน “ถ้าหน้าที่หลักประเภทจัดหา จัดหมวดหมู่ หรือแม้ประเมินราคาของศิลปวัตถุ ก็คงต้องให้ภัณฑารักษ์ผู้มีความชำนาญเฉพาะด้าน ส่วนผมมีหน้าที่บริหาร จัดแผนการให้บริการเท่านั้นครับ”
“ก็ถือว่ารับผิดชอบสูงล่ะค่ะ” เธอยิ้มให้กับบทสนทนาที่แสดงความเป็นมิตรต่อกัน
“ครับ และถ้าจะถือเป็นการต้อนรับเพื่อนใหม่ที่ให้ความสนใจมัมมี่บรรพบุรุษของผมเป็นพิเศษ ถ้าไม่รังเกียจผมขอเลี้ยงอาหารค่ำสักมื้อได้มั้ยครับ”
ณิชารีย์ออกจะตกใจที่คนเพิ่งรู้จักชวนเธอรับประทานอาหาร แต่เพราะคิดว่าเป็นโอกาส อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นโชค จู่ ๆ ก็ได้เข้าใกล้เป้าหมายง่ายดายเกินคาด
“ขอบคุณมากค่ะ และฉันรู้สึกยินดีค่ะที่ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์จะเลี้ยงอาหารค่ำ”
“ขอบคุณครับที่ไม่รังเกียจคำเชิญของผม แล้วผมจะไปรับคุณได้ที่ไหนครับ”
“ฉันพักอยู่โรงแรมของคุณนั่นแหละค่ะ”
“เช่นนั้น พบกันเวลาหนึ่งทุ่ม ห้องอาหารชั้นสองระเบียงนอกนะครับ”
“แล้วพบกันค่ะคุณอัสซาน”
“ครับผม”
อัสซานสร้างสัมพันธไมตรีเพื่อรั้งผู้หญิงต่างชาติแสนสวยคนนี้ไว้ หน้าตาเธอสะสวยก็เป็นเหตุผลหนึ่ง หากแต่ไม่ใช่เหตุผลเดียว เพราะเพียงนาทีที่หญิงสาวหยุดยืนหน้าห้อง V14แล้วทำให้เขาเห็นหินที่มีสภาพหินธรรมดามานานหลายปีเกิดแสงวาว เขาก็สนใจจะทำความรู้จักกับเธอ
ถ้าเธอบอกว่าสนใจมัมมี่ฟาโรห์เมเรเนสเป็นพิเศษ ตอนนี้เขาก็สนใจเธอเป็นพิเศษเช่นกัน อัสซานมองตามหญิงสาวที่เป็นเป้าหมาย โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่า เกิดเสียงบางอย่างคล้ายวัตถุกำลังเคลื่อนตัว มันดังออกมาจากห้องด้านใน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น