วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

บทที่ 2 เผ่าอัล-ซาฮาน


 

ทุ่มตรงเรือนร่างเพรียวบางในชุดจั้มสูทกางเกงสีโอลด์โรส ช่วงตัวเสื้อเบี่ยงข้างเผยหัวไหล่เนียนข้างหนึ่ง เดินเข้ามาในห้องอาหารชั้นสองของโรงแรม โต๊ะที่เขาระบุนั้นอยู่ติดระเบียง บนโต๊ะมีกุหลาบดอกใหญ่สีแดงสดโดดเด่นในแจกัน ที่นั่งของเธอสามารถสัมผัสถึงความสดชื่นรื่นรมย์กับสายน้ำไนล์ที่ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา

ชายหนุ่มในชุดสูทสีเทาเข้มลุกขึ้นยืน จังหวะบริกรชายเลื่อนเก้าอี้ให้เธอนั่ง เมื่อต่างนั่งลงพร้อมกันแล้ว เขาก็กล่าวขึ้น

“ถือเป็นเกียรติที่ได้ร่วมโต๊ะอาหารกับสุภาพสตรีแสนสวยครับ” อัสซานคิดว่า เขาไม่ได้กล่าวเกินจริง ผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้สวยอย่างหาตัวจับยากจริง ๆ

“ฉันต่างหากล่ะคะ ที่ต้องรู้สึกเป็นเกียรติ” แม้จะเคยชินกับคำกล่าวชมเรื่องรูปลักษณ์ แต่ณิชารีย์รู้สึกว่าคำกล่าวนี้ของเขาน่าสนใจเป็นพิเศษ พิเศษแบบไหนเธอไม่อยากเก็บมาคิด ตอนนี้อย่างน้อยการได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาก็ทำให้เธอมีโอกาสไขว่คว้าข้อมูลที่มีมูลค่ากลับไปฟื้นกิจการ

สนทนากันได้สักครู่ บริกรก็ทยอยยกอาหารมาเสิร์ฟ เริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างเมซเซ จำพวกสลัดกับเครื่องจิ้ม แล้วต่อด้วยอาหารหลักเมนูแกะอบสตูล ตบท้ายด้วยไวน์องุ่น จากนั้นชายหนุ่มก็เริ่มสัมภาษณ์

 “คุณสนใจอียิปต์มานานแล้วหรือครับ”

และสาวชาวไทยก็เริ่มสร้างมโนเป็นเนื้อเรื่อง “จะว่านานก็ไม่เชิงนะคะ เพราะความชอบนี้มันเกิดจากหนังเรื่องมัมมี่ที่เข้าฉายและดังเปรี้ยงป้างเมื่อสี่ห้าปีก่อน ยิ่งได้ทำงานแปลบทความลงคอลัมน์นิตยสารอียิปต์ ฉันก็ยิ่งสนใจเรื่องราวลึกลับของอียิปต์โบราณ”

“โดยเฉพาะเรื่องราวของฟาโรห์เมเรเนส”

“ค่ะ ทั้งที่ฟาโรห์องค์นี้ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ไม่มากเท่ารามเสสที่สอง แต่อาจเพราะมีข้อมูลน้อยมันจึงทำให้เราอยากรู้มากขึ้นกระมังคะ” ปากก็พูด แต่สายตาเธอกลับสนใจสิ่งที่โผล่มาให้เห็นราง ๆ ตรงลำคอของเขา

ลักษณะเหมือนเหรียญตราอะไรสักอย่าง นี่ก็น่าสนใจ กำลังคิดเพลิน ๆ เสียงต่อเนื่องของชายหนุ่มก็ดึงเธอหลุดจากภวังค์

“อาจจะเป็นไปได้ เพราะเรื่องราวความลึกลับซับซ้อนในช่วงที่พระองค์ครองบัลลังก์เป็นเรื่องที่ใคร ๆ ต่างต้องการค้นหาความจริง”

“แล้วไม่มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมจากที่ค้นคว้ากันมาแล้วเลยหรือคะ”

“ก็มีครับ จริง ๆ มันเป็นเรื่องภายในตระกูลของเรา เราจะถ่ายทอดให้เฉพาะลูกหลานที่สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าเผ่าเท่านั้น”

“หัวหน้าเผ่าอัลซาฮาน” หญิงสาวพูดต่อ ดวงตาเบิกกว้างรู้สึกตื่นเต้นยินดีจะได้ฟังเรื่องเผ่าสืบสานกันมาแต่โบราณ

“ครับ อียิปต์ปัจจุบันอยู่ภายใต้การปกครองระบอบสาธารณรัฐ แต่ตระกูลอัล-ซาฮานก็มีพื้นที่ส่วนตัวของเราเองที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้นบรรพกาล หรือก็ตั้งแต่สามพันปีมาแล้ว”

“สามพันปี ก็อยู่ในอียิปต์ยุคใหม่นะสิคะ”

“เป็นช่วงรอยต่อระหว่างอียิปต์ยุคใหม่กับยุคกลาง ตระกูลอัล-ซาฮานเป็นนักรบผู้อารักขาฟาโรห์ มีฝีมือการรบและความจงรักภักดีจนเป็นที่ไว้วางพระทัย องค์ฟาโรห์เมเรเนสตอบแทนความดี ด้วยการมอบพื้นที่ให้ตระกูลอัล-ซาฮานปกครองตนเอง ไม่ขึ้นกับใครสืบมาจนถึงทุกวันนี้”

“ช่างน่าปลาบปลื้ม แล้วไม่เกิดปัญหากับการปกครองในปัจจุบันหรือคะ” การสนทนาเต็มไปด้วยเรื่องราวน่าสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ณิชารีย์แทบอยากจะวิ่งไปนำเครื่องบันทึกเสียงมาวางไว้บนโต๊ะ ข้อมูลสำคัญ ๆ จากปากผู้ปกครองเผ่า น่าสนใจน้อยเสียที่ไหนล่ะ

“ไม่ครับ เพราะเราเสียภาษีพื้นที่ให้กับรัฐบาลกลางทุกปี”

เขามองสบตาเธอ ในแววตานั้นสื่อถึงความปรารถนาบางอย่าง ณิชารีย์พอนึกเดาได้ ชั่วอึดใจเธอนึกถึงเรื่องราวของครอบครัว ที่เธอนึกเสริมจินตนาการให้สมจริง

“ขอบคุณนะคะที่เล่าเรื่องบางส่วนในตระกูลของคุณให้ฟัง คราวนี้ก็ถึงคราวฉันบ้าง ครอบครัวของฉันเป็นข้าราชการครู แล้วก็เป็นครูสอนภาษาทั้งคู่ แต่ตอนนี้ท่านทั้งสองจากฉันไปหมดแล้วละค่ะ ตัวฉันเองเป็นลูกสาวคนเดียวจบจากสถาบันนานาชาติมาปีกว่า ตอนนี้รับแปลข้อความลงคอลัมน์นิตยสารเพื่อรองานประจำ หรือพูดง่าย ๆ ตกงานอยู่ค่ะ”

อัสซานเปิดปากหัวเราะเบาๆ เห็นฟันเรียงขาวสะอาด

“นั่นก็ถือว่างาน คุณจบสถาบันนานาชาตินี่เองถึงได้พูดภาษาคล่องมาก และถ้าให้เดา งานแปลของคุณ คุณคงชอบเกี่ยวกับอียิปต์เป็นพิเศษ”

“ชอบค่ะ ทุกครั้งได้อ่านเรื่องราวอียิปต์มันทำให้ฉันรู้สึกได้รับการเติมเต็ม”

“เติมเต็ม จากอะไรครับ” แววตาของเขา ฉายความสนอกสนใจทุกเรื่องราวของเธอ

“จากความถวิลหา” เธอหัวเราะ “ฉันเพ้อเจ้อแล้ว และนี่แหละคือปัญหา เพราะมันทำให้ฉันกลายเป็นคอลัมนิสต์หมกมุ่นอียิปต์ฟาโรห์ แต่ฉันก็ชอบจริง ๆ ค่ะ ทุกครั้งที่ได้รับงานแปลจากสำนักพิมพ์ ฉันอ่านหลายรอบมาก จนวันหนึ่งตั้งความหวังจะมาเยือนสถานที่จริง”

“คุณสนใจเรื่องราวมัมมี่ฟาโรห์เมเรเนสมากกว่ามัมมี่อื่น ๆ”

“ค่ะ แต่อย่าถามเหตุผลเลยนะคะ เพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้ปลื้มอะไรกับมัมมี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมอยากมาเห็นนัก”

“ผมเข้าใจครับ เพราะบางทีการได้มาเห็นของจริงจะทำให้งานเขียนออกมาสมจริงมากขึ้น เอาเป็นว่าถ้าคุณณิชารีย์ยังอยากจะท่องโลกอียิปต์โบราณต่ออีกระยะ ผมก็พอจะค่อย ๆ เล่าประวัติให้ฟังได้ พูดตามตรงนะครับ ผมก็ปรารถนาจะให้ใครสักคนได้รับฟังเรื่องราวอันทรงคุณค่าของเผ่าเราบ้าง”

เขาดึงสร้อยที่คอออกมา แล้วชูจี้ที่ห้อยนั้นมีลักษณะคล้ายดวงตา ก่อนเอ่ยต่อ “เหรียญประจำตระกูลครับ เราได้รับมอบจากฟาโรห์เมเรเนส ไว้คุณเยี่ยมชมเผ่าของเราก่อน จากนั้นผมจะเล่าเรื่องฟาโรห์เมเรเนสและราชินีของพระองค์ให้คุณฟัง รวมทั้งเรื่องเหรียญสุริยะประจำตระกูลด้วย”

หญิงสาวมีท่าทางตื่นเต้นตาโต เท่าที่อัสซานสังเกตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเสนอออกมา ดึงความสนใจหญิงสาวได้ดี

“เป็นเกียรติของฉันเหลือเกินค่ะ แล้วนี่คุณจะไปเผ่าเมื่อไหร่คะ” ณิชารีย์เอ่ยถาม ขณะจับจ้องสร้อยที่เขาเก็บเข้าไว้ที่คอ

“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เก้าโมงผมจะรอในห้องรับรองของพิพิธภัณฑ์” เขาหยิบนามบัตรจากในเสื้อสูทส่งให้ “เบอร์ติดต่อของผมครับ”

“ขอบคุณค่ะ” ณิชารีย์รับนามบัตรของเขามาดู จะด้วยแสงสะท้อนหรืออะไรไม่ทราบได้ปรากฏภาพคล้ายหน้ากากสีทองบริเวณชื่ออัสซาน ดวงตาเธอสะดุดกับภาพซ้อน ก่อนมันจะเลือนหาย

เมื่อกี้มันอะไร? ณิชารีย์ดึงสติกลับมา “ขอบคุณสำหรับดินเนอร์มื้อนี้ด้วยนะคะ”

“ผมขอบคุณคุณเช่นกันครับ” อัสซานยิ้มรับ ใจจริงเขาปรารถนาจะนั่งสนทนาทำความรู้จักหญิงสาวให้มากขึ้นอีกสักหน่อย แต่เกรงว่าร่างกายของตนจะส่ออาการไม่สู้ดี ฉะนั้นคืนนี้ต่างคนต่างพักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

อัสซานเดินมาส่งเธอหน้าลิฟต์แล้วเขาก็กลับไป
ณิชารีย์ได้อยู่ในลิฟต์ลำพังเธอนึกย้อนถึงเรือใบที่แล่นผ่านไปมาในสายน้ำ
ถ้าได้ล่องเรือชมจันทร์ในตอนนี้ก็คงดี เท่าที่เห็นดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวสะท้อนน้ำไนล์เหมือนผืนน้ำจะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม พานึกอยากล่องเรือ

เธอย้อนกลับมารอขึ้นเรือที่ทางโรงแรมมีให้บริการ แต่เพราะมีนักท่องเที่ยวต่อคิวกันหลายคน จึงเดินวนรออยู่ตรงส่วนสวนดอกไม้ ทันใดนั้นเองรู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องไม่วาง มันมองเธอทุกฝีก้าว สัญชาตญาณทำให้เธอกวาดตาไปโดยรอบ แล้วก็เห็นชายใบหน้าถมึงทึงใส่ชุดคล้ายนักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ จำนวนสองคนเดินตรงเข้ามา

ตอนแรกณิชารีย์ไม่คิดอะไร เข้าใจว่าสองคนนั่นจะเดินผ่าน ต่อเมื่อพวกเขาใกล้เข้ามาแล้วเอื้อมมือคว้าตัวเธอ สัญชาตญาณหลบภัยทำให้เธอถอยกรูจนหลังชนกระถางต้นไม้ขนาดใหญ่ แรงกระแทกทำให้ร่างเธอกระเด้งไปข้างหน้าเป็นจังหวะที่ชายน่ากลัวหนึ่งในนั้นยกผ้ามีกลิ่นฉุนขึ้น แต่ก่อนที่มันจะโปะมาบนใบหน้าของเธอ พลัน

“ไม่!..” เสียงชายอีกคนร้องขึ้น ก่อนที่ทั้งสองจะถอยหลังและวิ่งหนีไป

ณิชารีย์ยืนนิ่งค้าง พลางมองการลับหายของชายลึกลับทั้งสอง ก่อนจะได้ยินเสียงบุรุษ แม้ฟังดูเรียบหากเหมือนน้ำเสียงสะท้อน หญิงสาวสะดุ้งเล็กน้อยโดยเฉพาะชื่อที่เขาใช้เรียกขาน

“อังค์เนตรา”

ณิชารีย์หันขวับไป ก็พบว่าเป็นเขานั่นเอง

“คุณอัสซาน!” ดวงตาเธอฉายความดีใจ

“เฟลุกกะ”

 “อะไรนะคะ อ๋อค่ะ เรือเฟลุกกะ” ความพิศวงปรากฏชัดในน้ำเสียงของเธอ ก่อนเธอจะมองหาชายลึกลับทั้งสองอีกครั้ง และงงงันกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มันเรื่องจริงหรือภาพลวง ยิ่งอียิปต์มีเรื่องมนตรามาแต่ครั้นโบราณ ไม่แน่เมื่อครู่อาจเป็นภาพลวงของอาถรรพ์อียิปต์ก็ได้

“จะล่องเรือมิใช่รึ”

ณิชารีย์มองใบหน้าของเขาเรียบสนิท ไร้ความรื่นรมย์ ว่าแต่ผู้ชายคนนี้มีญาณวิเศษอ่านใจหรือมันเป็นความบังเอิญว่าเขาย้อนกลับมาเห็นเธอยืนอยู่แถวนี้กันแน่

หญิงสาวคิดด้วยความพิศวง พลางมองว่า เธอกับเขาเพิ่งจะรู้จักกันแท้ ๆ ถ้าไปไหนมาไหนด้วยกันเร็วเกินไปคงไม่ดี แต่เขาเป็นคนเดียวที่จะนำพาเธอท่องโลกไอยคุปต์ยิ่งกว่ามากับกรุ๊ปทัวร์ ฉะนั้นถ้าเธออยากไปพบเจอสิ่งล้ำค่าท้าทายกาลเวลา เธอไม่ควรจะคิดอะไรมาก

“ก็ดีเหมือนกันค่ะ มาอียิปต์ทั้งทีถ้าไม่ได้ล่องเรือใบ
เฟลุกกะชมจันทร์ คงน่าเสียดาย แต่..เอ๊ะ เมื่อกี๊คุณอัสซานเรียกฉันว่าอังค์เนตรา แล้วทำไมคุณเรียกฉันแบบนี้คะ” ณิชารีย์ฉุกคิดขึ้นมาได้ รีบเอ่ยถาม

“....”

“คะ?” คิ้วเรียวเลิกฉงน มองสบดวงตาคมเข้มมีประกายซึ่งมีท่าทีนิ่งเฉยต่อคำตอบ ทางด้านบุคลิกก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งที่เพิ่งห่างกันไม่ถึงชั่วโมง

อะไรของเขานะ เพิ่งเจอคนจ้องทำร้าย ยังมีคนมาทำท่าทางแปลก ๆ อีก หญิงสาวชักเกิดอาการสับสนงุนงงเพราะไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน เธอจึงปัดความรำคาญใจด้วยการพูดตัดบท

“ไปล่องเรือดีกว่าค่ะ ไหนล่ะคะ..” ณิชารีย์ไม่ทันได้เอ่ยถามถึงเรือของเขา เขาก็เดินนำมาที่ท่าริมน้ำของโรงแรมจัดไว้สำหรับเทียบเรือนักท่องเที่ยว เรือใบขนาดที่นั่งสองคนจอดอยู่ เขาเข้าไปนั่งในเรือแล้วตบที่นั่งด้านข้างให้เธอตามลงไป เรือใบที่ชนอียิปต์โบราณสามารถทำให้เรื่องการเดินทางเป็นเรื่องง่ายดายด้วยอาศัยธรรมชาติ ไม่ต้องมีเครื่องยนต์ แค่ปล่อยมันแล่นไปเรื่อย ๆ ตามกระแสลม เธอมองด้วยความทึ่งภูมิปัญญาอียิปต์โบราณ ที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เป็นประโยชน์โดยไม่สิ้นเปลืองพลังงานมนุษย์และน้ำมัน

แต่ถึงเธอจะเพลิดเพลินกับพาหนะโบราณ เธอก็ไม่ทิ้งการสังเกตชายหนุ่มอยู่ดี เพราะก่อนหน้านั้นถ้าอัสซานบอกว่าเขามีฝาแฝด เธอคงเชื่อว่าคนนี้เป็นแฝดของเขามากกว่าเป็นตัวเขาเอง

“สงสัยอะไร”

ชายหนุ่มแม้ไม่หันมองตรง ๆ ก็เหมือนจะรู้ว่าเธอแอบมองเขาตลอดเวลา คนถูกจับได้ส่งยิ้มบาง ๆ แล้วรีบบอกปฏิเสธ

“เปล่าค่ะ คือฉันแค่รู้สึกว่าคุณดูพูดน้อย กว่าเมื่อกี๊”

“เมื่อกี๊ผมพูดมาก” ใบหน้าหล่อหันมาสบตาตรง ๆ

หญิงสาวตกใจทำตาโต รีบแก้ตัวเป็นพัลวัน “ไม่ใช่นะคะ ก็แค่คิดว่าคุณอาจจะเพลีย เลย ดูเงียบไป ถ้ายังไงพาฉันกลับก่อนก็ได้นะคะ คุณจะได้กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เราก็นัดเจอกันอยู่แล้ว”

เขามีสีหน้าใคร่ครวญ ก่อนพยักหน้าเป็นอันตกลงตามนั้น ซึ่งไม่รู้ว่าอัสซานบังคับเรืออย่างไร มันถึงได้แล่นตามใจเขาดีจริง เขามาส่งถึงท่าหน้าโรงแรม เธอขึ้นฝั่งแล้วก็หันไปมอง พลางเอ่ยถามเมื่อเห็นเขาจะปล่อยเรือล่องต่อไปอีก

“คุณจะล่องเรือกลับที่พักหรือคะ”

“ใช่”

ตอบสั้น ๆ อีกตามเคย

“ราตรีสวัสดิ์นะคะ” เธอกล่าวออกไป ไม่อยากอ้อยอิ่งกับคนที่เขาจะไป

หญิงสาวหันหลังเดินห่างออกมาแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นสร้อยที่ห้อยอยู่ในคอของเขา เธอวิตกแทนว่ามันจะหล่นหาย จึงรีบหันไปจะเอ่ยถาม ทว่า..ความประหลาดใจทำให้เธอเดินไปชะเง้อมองหา เห็นแต่เรือผู้โดยสารนักท่องเที่ยว จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นแม้เงา

“แปลก ไปไวจัง”

 ช่างเถอะ ณิชารีย์ปัดความสงสัยเรื่องที่ก่ออาการปวดสมอง สู้เอาเวลาไปนอนฝันหวานจะได้ชมเผ่าเก่าโบราณดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น