วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2566

บทที่ 3 ราชินีรอง


 

ช่วงค่ำบริเวณลานโล่งตรงกลางหมู่บ้านของพ่อค้าพลอย ยูซุฟหัวหน้าหมู่บ้านธีบันส์วัยเจ็ดสิบมองเงาจันทร์ที่ถูกบดบังรัศมีจนเกิดเป็นรูปจันทร์เสี้ยวด้วยความพอใจ พิธีกรรมโบราณของบรรพบุรุษกำลังจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับหญิงสาวผู้นั้น

ลูกสมุนสองคนเดินเข้ามาก้มโค้งรายงาน

“นายท่าน เราเกือบเข้าถึงตัวนางแล้ว แต่..” คนรายงานคนแรกเหลือบชำเลืองมองเพื่อนอีกคน ก่อนรายงานต่อ “แต่มีมัมมี่โผล่มาขวางพวกเรา”

น้ำเสียงประโยคท้ายสั่นเทาเบาหวิว เป็นที่รู้กันถึงความหวาดกลัวคำสาปมัมมี่  ไม่น่าแปลกใจถ้าลูกน้องพวกนี้จะเกรงกลัว ยูซุฟชำเลืองหางตาสาดมองลูกน้องที่พากันหัวหด

“ก็แค่ผู้หญิงต่างแดน พวกแกมันโง่นัก” เขาสบถด่าทอ ก่อนจะหันหลังและเดินเข้าในอาคาร ซึ่งเป็นบ้านหินที่ปลูกสร้างชั้นเดียวอยู่ใจกลางลูกบ้านคนอื่น ๆ

เจ็บใจนัก พลังเทพเซธจะกลับมาสถิตในหินศิลาอีกครั้ง แค่นำตัวหญิงสาวกับหินศิลามาทำพิธีในห้องลับ  ห้องลับที่เปิดโอกาสให้เขาได้มองเห็นอดีตของตนหลังจากได้สัมผัสร่าง
พระนาง

ตูเลย์ขุนนางเก่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลปาราสิค ได้ทำพิธีกับเหล่านักบวช สังเวยร่างบุตรสาวเพื่อแลกพลังลึกลับมาครอบครอง โดยใช้หินแฝงพลังในการทำพิธีครอบร่าง

พิธีดังกล่าวตูเลย์ได้กระทำจนสำเร็จ แต่คราวนั้นเหรียญสุริยะจันทรา ดวงตาแห่งเทพฮอรัสสามารถสะกดอำนาจเซธไว้ในหินศิลา เวทมนต์ในหินศิลาได้ถูกขังมายาวนานเป็นพัน ๆ ปี แต่ปัจจุบันไร้เหรียญจันทรา ที่เคยคาดว่าหายไปพร้อมร่างมัมมี่ของพระนางเนเฟอฮามุน ต่อเมื่อร่างมัมมี่ของพระนางปรากฏออกมาและได้รับการตรวจสอบ กลับไม่พบอะไร นั่นก็หมายความว่าเหรียญจันทราหายสาปสูญไปอย่างไร้ร่องรอย

และหัวหน้าเผ่าอัล-ซาฮานคนปัจจุบันก็ไม่ได้เหมือนหัวหน้าฮาจารี ที่มีหญิงสาวมอบหัวใจรักให้ หัวหน้าฮาจารีแม้มีเพียงเหรียญสุริยะก็สามารถประสานกับเลือดรักแท้ของนาง ก่อเกิดพลังแห่งเทพปรามอำนาจเซธลงได้

นั่นเพราะพลังเทพฮอรัสเกิดจากอนุภาพความรัก ที่เทวีไอซิสมีต่อองค์มหาเทพโอซิริสผู้เป็นพระสวามี ฉะนั้นผู้จะได้ครอบครองอำนาจจากเหรียญก็ต้องมีหัวใจรักต่อกันอย่างแท้จริง ซึ่งตอนนี้เผ่าอัล-ซาฮานก็เหลือทายาทเพียงคนเดียว และเป็นทายาทที่ไร้พลังแห่งรัก จึงเป็นโอกาสที่ยูซุฟจะดึงพลังเทพเซธกลับมา เพื่อให้อำนาจด้านมืดเกื้อหนุนสถานะการเงินและการปกครอง ที่เขารอคอยมานานแสนนาน

มือหยาบดึงม้วนปาปิรุสที่ระบุพิธีกรรมโบราณออกมาจากเสื้อคลุม เขาพกมันติดตัวตลอดเวลา นี่ถ้าบรรพบุรุษของเขาไม่เฝ้าติดตามพฤติกรรมเผ่าอัล-ซาฮาน ก็คงไม่ได้ม้วนกระดาษโบราณนี้มาครอง เรื่องเล่าที่น่าอัศจรรย์เมื่ออดีตหัวหน้าเผ่าพบม้วนกระดาษนี้ในกองหินที่ถูกระเบิด เหตุก่อการร้ายทำนักรบเผ่าแมกนาตายกันแหลกลาน จะเหลือก็แต่คนของเผ่าอัล-ซาฮานที่รอดชีวิต แต่พวกนั้นก็คิดว่าม้วนกระดาษได้ถูกเผาไปกับกองเพลิง

ยูซุฟทายาทตระกูลปาราสิคจะกลายเป็นผู้ที่ร่ำรวย และจากนั้นก็จะกลายเป็นผู้นำของประเทศ การมีอำนาจแห่งเทพอยู่ในมือ เขาจะทำอะไรกับประเทศนี้ก็ได้

ทุกอย่างจะเป็นไปอย่างที่เขาต้องการ ถ้าเขาได้ผู้หญิงและหินศิลามาไว้ในมือ แต่เจ้าลูกน้องหวยแตกพวกนี้ ก็ทำมันพลาด เพียงแค่ร่าง คา ของเจ้ามัมมี่นั่นโผล่มา

ด้วยอำนาจมนตราที่คนในตระกูลถูกปลูกฝังกันมารุ่นต่อรุ่น ทำให้ยูซุฟสัมผัสได้ถึงดวงวิญญาณที่อยู่ในรูป คาขององค์ฟาโรห์  เหตุใดเทพอานูบิสจึงไม่จับดวงวิญญาณนั่นใส่เรือสุริยะล่องแม่น้ำไปสู่ปรโลก

ดวงวิญญาณยังวนเวียนอยู่กับร่างมัมมี่ หรือเจ้าฟาโรห์นั่นก็รอคอยการกลับมาของอังค์เนตราเช่นกัน

ยูซุฟเหยียดริมฝีปาก แล้วปล่อยเสียงหัวเราะเยาะหยัน เพราะไม่ว่าผู้ใดก็จะไม่มีวันได้ครอบครองนาง ในเมื่ออังค์เนตราเข้าวิธีสังเวยดวงวิญญาณแด่เทพเซธแล้ว ต่อให้นางไปเกิดใหม่อีกกี่ภพกี่ชาตินางก็ต้องกลับมายังร่างเก่าของนาง

 

เก้าโมงเช้าภายในพิพิธภัณฑ์อัล-ซาฮาน ณิชารีย์เลือกสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวกับกางเกงยีนเพื่อการเดินทาง และที่ขาดไม่ได้คือผ้าคลุมไหล่ เธอนั่งรอผู้อำนวยการหนุ่มในห้องรับรองของพิพิธภัณฑ์ ไม่ถึงนาทีชายหนุ่มก็เดินเข้ามาในชุดโต๊ป
สีส้มอิฐ ด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึมทำให้เธอรู้สึกถึงความไม่สู้ดี
ท่าจะชวดชมเผ่าซะแล้วเรา

ซึ่งก็ไม่ผิดจากสิ่งที่หญิงสาวคาดเดา เมื่อชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งและไม่นานพนักงานสาวอาหรับสวมชุดสูทกระโปรงแบบสากลสีเทาเข้ม เดินหน้ามุ่ยมาก้มโค้งรายงานด้วยภาษาถิ่นที่เธอฟังไม่เข้าใจ

“ถ้าคุณมีงาน ยกเลิกนัดครั้งนี้ก่อนก็ได้นะคะ” เธอรีบออกตัว เพราะเห็นสีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังยุ่งยากใจ

“มีเรื่องน่าวิตกเกิดขึ้นครับ” เขากล่าวกับเธอ “ณิชารีย์ผมขอโทษนะครับ ผมสัญญาเสร็จธุระจะไปหาคุณทันที”

ณิชารีย์เข้าใจในสถานการณ์ เธอไม่ซักไซ้มากความ เห็นเขาลุกเดินไปคุยกับพนักงานต้อนรับและเจ้าหน้าที่ประจำตำแหน่งต่าง ๆ เธอก็ลุกขึ้นและเดินออกมาภายนอกอาคาร จากนั้นคิดว่าวันนี้ผิดแผนแล้วจะไปไหนดี

อียิปต์เป็นเส้นทางการค้าแห่งหนึ่งของโลก และมีข่าน
อัลคาลิลีเป็นตลาดเก่าแก่มาแต่โบราณกาล เธอน่าจะไปหาข้อมูลมาลงบทความตลาดการค้าอียิปต์โบราณสักหน่อย

ไปตลาดน่าจะใช้รถ คิดอย่างนั้นณิชารีย์ก็เดินออกมาด้านหน้าประตูใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ มองหาลู่ทางด้วยรู้สึกหันไปทางไหนก็ลำบากใจเรื่องการสื่อสารเหลือเกิน  

เดี๋ยวก่อน..เธอบันทึกหมายเลขของศูนย์ติดต่อของนักท่องเที่ยวไว้

มือรีบล้วงโทรศัพท์ขึ้นมากดตามเลขหมายที่ทางอียิปต์มีไว้ให้นักท่องเที่ยวติดต่อสอบถาม ก็พอดีมีรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่สีดำคันหนึ่งแล่นมาจอดเบื้องหน้า  ประตูเปิดผางออกจากนั้นมือใหญ่ก็เอื้อมมาฉุดแขนเธอให้เข้าไปในรถ

“อะไรเนี่ย อย่านะ ช่วยด้วย!

หญิงสาวร้องตะโกน แต่ด้วยเสียงรถราวิ่งกันมากมาย ผู้คนก็รีบเร่งไม่มีใครสนใจใครโดยเฉพาะเสียงของเธอถูกกลบด้วยเสียงแตรที่บีบไล่กันดังสนั่นบนถนน จึงไม่มีใครหันมาสนใจเธอเลย

“ช่วยด้วย ปล่อยนะ” ณิชารีย์ไม่สามารถสู้แรงมหาศาลของผู้ชาย ที่เธอมองฝ่าความสลัวเข้าไปเห็นว่าหน้าตาดีแต่ทำสีหน้าถมึงทึงใส่เธอ แม้ไม่ใช่คนเดียวกับที่มุ่งร้ายหมายขวัญเมื่อคืน แต่ก็เป็นพวกคนร้ายเหมือนกันและมันกำลังจะฉุดเธอขึ้นรถ

ด้วยความตื่นตระหนกเธอก็ยกเท้าถีบยันรถไว้ไม่ให้เขาฉุดเธอเข้าไปได้  ขณะเดียวกัน

“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”น้ำเสียงดังกังวานสะท้อนก้องเข้ามาในโสตประสาท พร้อมกับมืออันแข็งแรงจับต้นแขนดึงร่างเธอกลับคืนมา

“โอ้ ได้โปรด!” คนร้ายเบิกตากว้างตื่นตระหนก ก่อนจะปล่อยเธอหลุดจากแรงดึงรั้ง แล้วปิดประตูพุ่งทะยานรถออกไป

ณิชารีย์เซถลาลงไปก้นจ้ำเบ้าบนพื้น เธอดีดตัวลุกขึ้นปัดก้นด้วยความโมโห

“อะไรกันเนี่ย เกิดอะไรขึ้นกับฉัน!” หญิงสาวหันรีหันขวางหาคนที่เข้ามาช่วยเหลือ ถึงไม่พบแต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ อย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้ว่าเรื่องเมื่อคืนมันเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่
มนตราไอยคุปต์อย่างที่เธอเข้าใจ

ทันใดนั้นรถโฟวิลสีน้ำเงินชะลอจอดเบื้องหน้า กระจกรถเลื่อนลงมาชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของยื่นใบหน้าหล่อ ๆ โผล่พอให้มองเห็น

อัสซานนั่นเอง..

“คุณอัสซาน!” เธอเรียกชื่อเขาด้วยความดีใจ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขามาในจังหวะที่เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย และเธอก็แน่ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิด มันบ่งบอกว่ามีคนมุ่งร้าย

“เกิดอะไรขึ้นครับ” เสียงเอ่ยถามของเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย

ณิชารีย์เบาใจอย่างน้อยเธอก็ยังมีชายหนุ่มเจ้าถิ่นเป็นที่พึ่ง เธอชี้ไปยังท้ายรถที่ตะบึงหายไปอย่างเร็ว “รถคันนั้นค่ะ พยายามจะลากฉันขึ้นรถ แต่ดีที่..”  อ๊ะ..ผ้าคลุมไหล่ของฉัน  มันต้องติดมือเจ้าพวกวายร้ายนั่นแน่

“ขึ้นรถก่อนเถอะครับ” เขาบอก พลางชำเลืองให้ดูว่ามีคนมามุงดู และถ้าเขาจอดนานกว่านี้รถก็จะเริ่มติด และแตรก็ยิ่งดังกระหึ่ม

“ค่ะ” เธอก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะทันทีที่เขาเปิดประตูรถให้ ถึงกระนั้นเธอก็ยังกวาดตามองออกไปนอกรถด้วยความหวาดระแวง เจอคนร้ายสองครั้งสองครา มันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาหรือเรื่องบังเอิญ แต่มันด้วยเรื่องอะไรล่ะ เธอไม่เคยมีปัญหากับใครยิ่งอียิปต์ยิ่งแล้วใหญ่ จะไปมีปัญหากับใครได้ในเมื่อเธอเพิ่งจะเดินทางมาถึง ยังไม่ได้รู้จักมักจี่กับใคร จะมีก็แต่คนกำลังขับรถนี่แหละ รถมาโผล่ถนนใหญ่ใจกลางกรุงไคโร มองไปทางไหนก็แออัดไปด้วยผู้คนและรถรา แทบไม่มีช่องว่างให้หายใจ มีแต่เสียงแตรที่บีบกระแทกหูกัน

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีหรือคะ” เธอเอ่ยถาม พยายามทำตัวปกติ เพื่อลืมเลือนความหวาดกลัว

“เรียบร้อยดีครับ” เขาตอบสีหน้าเรียบ

เธอชำเลืองมองใบหน้าคนด้านข้าง เห็นสันกรามของเขานิ่งราวกับรูปปั้นคงจะเครียด  “แล้วนี่ คุณรู้ได้ยังไงคะว่าฉันยืนรอรถอยู่ตรงนี้” เพราะทางไปโรงแรมอยู่อีกด้านหนึ่ง

“ผมเห็นหลังคุณไว ๆ ออกมาประตูใหญ่ ก็เดาว่าคุณจะไปข่านอัลคาลิลี”

“คุณเดาได้ถูกนะคะว่าฉันจะไปที่นั่น” ณิชารีย์แปลกใจ เหมือนเขาจะล่วงรู้ความคิดของเธอไปเสียทุกอย่าง ล่องเรือเมื่อคืนก็เหมือนกัน

“นักท่องเที่ยวออกจากพิพิธภัณฑ์ก็มักจะไปที่นั่นครับ” เขาพูดเหมือนเป็นเรื่องชินตา

ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ณิชารีย์ก็ยังรู้สึกว่าอัสซานมีอะไรบางอย่าง ที่มันสะกิดใจเธอให้นึกสงสัย

“สงสัยอะไรในตัวผมหรือเปล่าครับคุณผู้หญิง” น้ำเสียงถามกึ่งขำ

ณิชารีย์ขยับตัวขับไล่ความประหม่า ขณะปฏิเสธ “เปล่านี่คะ ฉันจะสงสัยอะไรในตัวคุณล่ะ คุณก็เป็นคุณอยู่แล้วนี่ หรือ..ไม่ใช่คะ” เธอพูดหยั่งเชิงดูท่าที

“แล้วอะไรที่จะทำให้ผมดูไม่ใช่ล่ะครับ” อัสซานถามด้วยแววตารื่นรมย์

เธอใคร่ครวญมุมมองของตนอีกที ก็เริ่มสับสนจนปวดหัวกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของเขา

“ก็...”

“ก็อะไรหรือครับ” เขาทำน้ำเสียงเร่งเร้า

ก็.. คุณอีกคนมีบุคลิกเหมือนจะดุดันเคร่งขรึม ไม่ได้อ่อนโยนใจเย็นเหมือนคุณคนนี้

“ฉันนึกไม่ออกค่ะ” ถึงจะนึกออก เธอก็ไม่บอกเขาหรอก เพราะสิ่งไหนไม่แน่ใจอย่าเพิ่งพูดออกไปดีกว่า ขณะเขาเลี้ยวรถเข้ามาจอดบนลานโล่งที่เต็มไปด้วยรถราจอดเรียงราย เธอก็เปลี่ยนเรื่องทันที

“ถึงตลาดแล้วหรือคะ”

“ถึงแล้ว” เขาบอก และลงจากรถเดินอ้อมมาเปิดประตูให้เธอ

“จอดกันแบบนี้เลย” เธอสบถกับตัวเองเบา ๆ เมื่อมองรถจอดไม่เป็นระเบียบ ยังแถมไม่มีคนเฝ้าอีกต่างหาก อยากจะถามเขาว่าไม่กลัวรถหายหรือ ก็พอดีชายหนุ่มพยักหน้าให้มองข้ามไปอีกฝั่ง

“เราจะต้องเดินทะลุตรอกตรงนั้นออกไป” คนตัวใหญ่ก้าวนำไปข้ามถนนเธอจึงรีบเดินตามเขาไป จากนั้นเดินผ่านตึกค่อนข้างเก่าแต่ดูแข็งแรงทนทาน มาพบแหล่งการค้าที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก ที่สำคัญเป็นตลาดที่สืบเนื่องมาแต่ยุคอียิปต์โบราณ

“คนเยอะมาก เราจะเบียดเข้าไปไหวหรือคะ” เธอเอ่ยถาม ด้วยว่าไม่เคยเดินเบียนคนมากมายเพื่อจับจ่ายใช้สอยแบบนี้

“คนเยอะไม่น่ากลัว ระวังพ่อค้าล็อกตัวก็แล้วกันครับ” เขาพูด ด้วยรู้กิตติศัพท์ตลาดในถิ่นของตนดี

“แต่ฉันมั่นใจว่า พวกพ่อค้าล็อกตัวคุณมากกว่าค่ะ” หญิงสาวหรี่ตา เป็นเชิงหยอกเย้า

“ผมเต็มใจ” อัสซานกล่าวพลางคิดว่า เขาต้องเหนี่ยวรั้งหญิงสาวให้อยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา เพื่อให้พ้นวันนั้นตามคำบัญชาองค์ฟาโรห์ และอีกใจเขาเริ่มอยากใกล้ชิดกับเธอเพื่อสานสัมพันธ์ให้เธออยู่เป็นคู่ชีวิตของเขาตลอดไป

ณิชารีย์อึ้ง สะดุดหูคำพูดของเขา ..พูดมาแบบนี้ เขากำลังจีบเธอใช่ไหม

ชายหนุ่มเดินตามหลังขณะที่เธอเดินเข้าร้านนั้น ดูสินค้าร้านนี้ ได้ผ้าคลุมไหล่สีสวยสดมาแทนผืนโชคร้ายอยู่หลายผืน หัวน้ำหอมขวดเล็ก ๆ อีกสี่ชุด และแม้อัสซานไม่โดนกักตัว เขาก็ชำระค่าสินค้าให้ด้วยความเต็มใจ ซึ่งระหว่างที่เธอจับจ่ายซื้อของพลันสังเกตเห็นคนซุ่มดูตลอดเวลา เหมือนจับตาดูเธอเป็นจุดเดียว!

เธอเริ่มหมดอารมณ์เลือกซื้อของ จึงขอให้ชายหนุ่มพากลับ อัสซานขับรถมาส่งหน้าโรงแรม แล้วเขาก็กลับไปทันที

ณิชารีย์หอบหิ้วของมายังหน้าเคาน์เตอร์เพื่อขอกุญแจห้องกับพนักงานสาว แต่ก็ต้องได้รับความแปลกใจเมื่อพนักงานสาวยื่นกุญแจให้พร้อมกับซองพัสดุขนาดเล็ก

“ช่วงเช้าหลังจากคุณออกไปแล้ว มีคนมาฝากไว้ให้คุณค่ะ”

“แต่ฉันไม่รู้จักใครในอียิปต์นะคะ แล้วจำลักษณะคนฝากได้มั้ยคะ”

“เป็นเด็กผู้หญิงค่ะ เห็นว่ามีผู้ชายหนุ่มฝากมาอีกที”

ผู้ชายหนุ่มที่คิดออกตอนนี้ก็มีแต่อัสซาน ณิชารีย์แทบโพล่งออกไป เป็นไปได้อย่างไรก็เธอไปเดินตลาดกับเขามาตั้งครึ่งวัน หญิงสาวมองหน้าฉงนของพนักงานสาว เธอก็ตัดสินใจเก็บความสงสัยไปครุ่นคิดในห้องพักส่วนตัว

เข้ามาอยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว ณิชารีย์วางสิ่งของที่ซื้อแหมะไว้บนโต๊ะที่ทางโรงแรมจัดไว้ประกอบกับเก้าอี้ชุดหนึ่ง เธอทิ้งตัวนั่งบนเตียงนอน แล้วลงมือแกะพัสดุที่ได้รับ ทันทีที่ดึงแผ่นภาพนั้นออกมา หัวใจณิชารีย์เต้นแรงแทบกระเด็นออกมาจากอก เพราะมันคือรูปถ่ายมัมมี่ ที่ระบุพระนามและฐานันดรว่า อังค์เนตราราชินีรองของฟาโรห์เมเรเนส

หญิงสาวใคร่ครวญถึงชื่อมัมมี่ว่าเธอได้ยินที่ไหน ก็พบว่าเป็นชื่อที่อัสซานเคยเรียกขานเธอนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น