นิยายเปิดเช่าและขาย
เรื่องมนต์เสน่หาใต้ผืนทราย
รูปดวงตาที่เคยสลักอยู่บนผนัง บัดนี้กลายเป็นเหรียญไปได้อย่างไร?
เจ้าชายรัชทายาทหยิบเหรียญรูปดวงตาขวาลักษณะทรงกลมใหญ่กว่าหัวแม่มือมาถือไว้
ท่านหญิงแห่งตระกูล
ปาราสิคก็หยิบขึ้นมาเช่นกัน
“เมเรเนส ท่านกำลังคิดอะไรอยู่รึ ท่านคิดเหมือนข้าหรือเปล่า” สายตายังไม่ละจากเหรียญ ท่านหญิงก็เอ่ยถามเจ้าชายที่ยังเงียบอึ้ง ด้วยนางปรารถนารับรู้ความคิดคำนึงของเขา
“ข้าคิดว่าองค์เทวีกำลังมอบหน้าที่บางอย่างให้กับเรา”เมเรเนสคาดเดา เพราะดวงตาแห่งเทพหลุดจากผนังออกมาเป็นเหรียญตราให้เขาและอังค์เนตราได้ครอบครอง เทวีไอซิสย่อมต้องมีเหตุผล
“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร ว่าพระองค์ปรารถนาให้เราทำสิ่งใด” นางยังข้องใจ ตั้งแต่เด็กจนโตนางถูกปลูกฝังให้บูชาเทพเซธ มิเคยได้รับรู้เกี่ยวกับองค์เทวีในวิหารแห่งนี้สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่นางจะได้รับฟังการบอกเล่าจากมารดาและพี่เลี้ยงเท่านั้น
“เจ้าดูด้านหลังสิอังค์เนตรา” เมเรเนสบอก พลางพยักพเยิดให้ท่านหญิงสาวทำตาม
อังค์เนตราพลิกด้านหลังเหรียญ เห็นเป็นสามเหลี่ยมมีมุมแหลมคมลักษณะคล้ายพีระมิด ต่อเมื่อเห็นเจ้าชายหนุ่มยื่นเหรียญมาตรงหน้า นางก็ประกบเหรียญในมือตนลงบนเหรียญของเขา หมุนให้ตรงรอยหยักของมัน จนกระทั่งประจวบเหมาะลงตัวพอดี เพียงเท่านั้น แสงสีทองพุ่งเข้าใส่ร่างเมเรเนส
เมเรเนสสะดุ้งเฮือก! ทันทีที่เขาขยับตัวปลายเท้าทั้งสองก็ลอยหวือขึ้นกลางอากาศ สัมผัสถึงพลังมหาศาลที่หมุนเวียนอยู่ในกล้ามเนื้อมันม้วนเกลียวคล้ายกำลังสร้างกล้ามเนื้อแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมร้อยเท่าพันทวี อีกทั้งดวงตาที่มองฝ่าทะลุกำแพงออกไป สามารถเห็นเนินทรายและสายน้ำไหลทอดยาว พลังจิตวิญญาณของเขายังสามารถจับการเคลื่อนไหวทุกสิ่งทุกอย่างได้ฉับไวแม้แมลงสกาหรับซอกซอนอยู่ใต้พื้นดินก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตา ในมือของเขาปรากฏเหล็กแท่งสั้นแต่หนักหน่วง เขายกชูขึ้นที่ว่าแท่งสั้นก็กลับกลายเป็นหอกทองคำคมกริบด้ามยาว
เมเรเนสได้ยินเสียงท่านหญิงสาว แต่เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ต่อเมื่อนางจับเขาไว้ที่ข้อเท้า หอกด้ามยาวก็ล่นลงมาเป็นเพียงเหล็กแท่งสั้นธรรมดา จากนั้นเขาก็ร่วงลงมากองกับพื้น
“เมเรเนส
ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” อังค์เนตราถลาเข้าไปนั่งประคองร่างที่หล่นมาจากที่สูง เขากล่าวกับนางอย่าง
ตาลีตาลานต่อความมหัศจรรย์ที่บังเกิดกับตน
“อังค์เนตรา
ข้าเหมือนมีพลังมหาศาล” ก่อนจะหันไปมองภาพตำนานมหาสงครามระหว่างเทพฮอรัสและเทพเซธ
จากนั้นเมเรเนสบอกสิ่งที่เขาคิดออกมา “ข้าว่า ข้ารู้แล้วล่ะ
อังค์เนตรา ว่าองค์เทวีมอบหมายหน้าที่ใดให้กับเรา”
“ข้าก็รู้เช่นกัน”นางว่า พลางหันมองภาพเทพนักรบทั้งสอง “เทพเซธจะยังไงเสียก็ต้องพ่ายต่อเทพฮอรัส ผู้มีพลังแห่งความดีและความรัก พระองค์จะสามารถปราบปรามพลังชั่วร้ายออกจากผืนทรายได้ ข้าเชื่อเยี่ยงนั้น” นางกล่าวจบ เหรียญประกบในมือกระเด็นลงพื้น แยกตัวออกจากกัน เมเรเนสลุกขึ้นไปหยิบ พร้อมส่งเหรียญจันทราให้นาง
ทั้งสองนั่งลงชันเข่า นำเหรียญขึ้นจรดหน้าผากแล้วนำมาแนบตรงหัวใจ จากนั้นลุกเดินออกมานอกวิหารระหว่างขี่อูฐกลับเข้าเมืองอังค์เนตราก็ได้สังเกตว่า ช่วงเวลานัดพบกันได้หมดลงพร้อมกับช่วงเวลาพระจันทร์เสี้ยวที่ผ่านไป นางอยากจะชี้ให้คนที่ขี่อูฐอีกตัวดู แต่ก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึม จึงเก็บความรู้สึกต่อช่วงเวลาแสนสั้นไว้เพียงลำพัง
ณิชารีย์ฟังประวัติของเหรียญสุริยะซึ่งถ้าว่ากันตามความเป็นมา
คาขององค์ฟาโรห์ที่แฝงอยู่ในร่างอัสซานก็คือผู้ครอบครองตัวจริง หญิงสาวนึกถึงเหรียญประจำตระกูล
อัล-ซาฮาน อัสซานเป็นผู้ครอบครองในฐานะหัวหน้าเผ่าในปัจจุบัน แต่ที่เห็นไม่ได้ปรากฏอยู่ในคอของเขาขณะนี้
ก็เพราะมีคาของอีกคนแฝงอยู่ นึกถึงจุดนี้
เธอก็พลันนึกเปรียบเทียบเหรียญสุริยะกับองค์พระของไทย คงมีความศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกัน
นั่นคือสามารถป้องกันภูตผีปีศาจ และอาจจะรวมคาของฟาโรห์บางองค์ด้วย
ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ หญิงสาวก็รีบดึงสติออกจากห้วงคิดเพลิน ๆ พลางสังเกตว่าเสียงเล่าเมื่อสักครู่เงียบลง “แล้วยังไงต่อล่ะคะ เล่าต่อสิ ฉันกำลังฟังเพลินเลย” เธอพูดค้างเพียงเท่านั้น เมื่อเห็นคนฟังกำลังถลึงตาจ้องมอง
“ข้าหมดอารมณ์จะเล่าแล้ว” ฟาโรห์หนุ่มมองหญิงสาวในยุคทันสมัยอย่างไม่สู้จะชอบใจนัก เพราะนางช่างซักช่างถามและไม่มีมารยาทในการฟัง มีอย่างที่ไหนเขากำลังเล่าถึงความเป็นมาของนาง แต่นางกลับเห็นเป็นเรื่องตลกขบขัน นึกว่าเขาไม่เห็นหรืออย่างไร ว่านางแอบหัวเราะ
ณิชารีย์มองเห็นสายตาดุ ๆ ก็เกิดอาการหนาวขึ้นมาดื้อ ๆ เธอคลี่ผ้ามาคลุมไหล่ จากนั้นก็ทำใจกล้าถามเขาไปว่า “แล้วคุณฟาโรห์กับท่านหญิงอังค์เนตราเอาเหรียญดวงตาแห่งเทพไปทำอะไรเหรอ แล้ว เออ ที่เล่ามาทั้งหมดนี่ มันเกี่ยวกับฉันตรงไหน?”
คนทำตาดุ หรี่ตาลงเล็กน้อย “เจ้าอยากรู้เรื่องราวต่อไป และอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องเยี่ยงไรกับเจ้า เจ้าก็ต้องมาอยู่ในความดูแลของอัสซานที่นี่” เขายื่นข้อเสนอ ซึ่งคนฟังถึงกลับตกใจ
“นี่คุณฟาโรห์จะกักบริเวณฉันหรือไง”
“คุ้มครองต่างหาก ดวงจิตของเจ้าถือกำเนิดวันเดียวกับวันปีศาจ พวกนั้นต้องหาวิธีนำตัวเจ้าไปจนได้ ถ้าเจ้ายังอยู่คนเดียว”
“เดี๋ยว ๆ ค่ะ พวกนั้นน่ะ พวกไหน แล้ววันปีศาจมันคือยังไง”
“พวกทายาทตูเลย์ พวกนี้มันเล่นคาถาอาคม มันต้องการพลังชีวิตจากเจ้าไปปลุกชีพเทพเจ้าของพวกมัน ส่วนวันปีศาจ ก็คือวันปีศาจนั่นแหละ”
คำตอบที่ได้รับ มีผลให้คนฟังชักสีหน้า เม้มริมฝีปากนิด ๆ หักห้ามความต้องการอยากกรี๊ดใส่คนตรงหน้า ‘ตอบมาได้’ ก่อนจะสะกดกั้นอารมณ์หงุดหงิดแล้วถามขึ้นอีก
“อยากได้พลังชีวิตแบบนี้ พวกนั้นก็ต้องเอาตัวฉันไปทำมัมมี่สิ ใช่มั้ยคะ”
“ไม่จำเป็น แค่เอาตัวเจ้าไปสังเวยด้วยเลือด วิญญาณของเจ้าก็จะถูกมนต์คาถาดึงไปรวมกับพลังร้ายที่พวกมันปรารถนาอันเชิญกลับมา จากนั้นก็จะไปแฝงในร่างมัมมี่ของ..”
“ของใครคะ”
“อังค์เนตรา”
อึ๋ย..ณิชารีย์ชักสงสัยว่าเขารู้หรือเปล่าเรื่องภาพมัมมี่ที่ส่งมาให้เธอ หรือเขาจะรู้ ถึงได้พูดย้ำนักย้ำหนา แต่ถ้าเขาไม่เอ่ยมาตรง ๆ เธอก็เก็บภาพไว้ก่อนดีกว่า เพราะอย่างไรภาพนั้นก็มีมูลค่ามหาศาล เพื่อจำหน่ายเป็นลิขสิทธิ์จากสื่อต่าง ๆ
ถ้าถูกเขายึดรูปถ่ายมัมมี่ไปก็เสียดาย แต่ความปลอดภัยของเธอก็น่ากังวล เพราะถ้าเธอถูกจับตัวไปก็จะ1ไม่เหลือชีวิตกลับไปดูแลกิจการ ทว่าเรื่องที่เขาเล่ามันเรื่องจริงหรืออะไรกันแน่ ลองถามตอนเขาเผลอดีกว่า เผื่อหลุดคำตอบออกมา
“คุณฟาโรห์คะ แล้วฉันไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ยังไง”
เมเรเนสชำเรืองมองหญิงสาวตรงหน้า พลางนึกขำแกมหมั่นไส้ความเจ้าเล่ห์แสนกลของนาง คิดจะหลอกล่อให้เขาบอก โดยที่ตนเองไม่ต้องทำตามเงื่อนไขอย่างนั้นรึ
“ข้าก็บอกเจ้าแล้วไง ถ้าอยากรู้ ก็ต้องมาอยู่ในความดูแลของอัสซาน”
รู้ทันอีก.. “ฉันยังไม่ให้คำตอบได้มั้ยคุณฟาโรห์ อยู่ดี ๆ จะให้ย้ายมาอยู่บ้านคนอื่น มันไม่งามเลยนะคะ”
“เจ้าก็คุยกับเขาเองแล้วกัน”
“จะคุยยังไงล่ะคะ ก็เขาหลับอยู่ในตัวคุณ” เธอชี้นิ้ว แทบจะจิ้มไปที่อกเขา
ดวงตาคมดุมองตามนิ้วเรียวเล็ก ก่อนสบตาหญิงสาวแล้วกล่าวกับนางว่า
“ได้เวลาเขาตื่นแล้ว”
ณิชารีย์มองตาค้างกับร่างใหญ่กำลังเดินผ่านเธอไป แต่ก่อนที่เขาจะเปิดประตูเธอรีบเอ่ยถาม “คุณฟาโรห์ต้องไปคืนร่างให้คุณอัสซานที่ไหนคะ”
ฟาโรห์เมเรเนสถอนหายใจกับร้อยคำถามของหญิงสาว แต่ก็จำต้องตอบ
“ห้องของข้า”
“อ๋อ” คนร้องอ๋อโคลงศีรษะเข้าใจ แต่ยังไม่วายมีข้อข้องใจอีก “แล้วคุณฟาโรห์เข้าไปอยู่ในร่างคุณอัสซานได้ยังไงคะ ในเมื่อดวงวิญญาณเขาก็ยังอยู่ในร่างแบบนี้”
เฮ้ย..เมื่อสามพันปีก่อนนางขี้สงสัยอย่างไร ยุคปัจจุบันนางขี้สงสัยหนักกว่าเดิม
“อัสซานทำดวงจิตให้ว่าง เปิดโอกาสให้ข้าได้เข้าไปแฝงในร่าง โดยที่ตัวเขาจะนอนหลับอยู่ในร่างของตัวเอง เมื่อเขาพร้อมจะฟื้น ข้าก็ต้องออกไป” เขาอธิบายเสร็จก็เตรียมกดปุ่มเปิดประตู แต่ต้องหยุดปลายนิ้วค้าง เมื่อถูกดึงรั้งตรงข้อศอก สายตาคมก้มมองเห็นนิ้วเรียวก็เกิดอาการเข่นเขี้ยว
“อีกคำถามค่ะคุณฟาโรห์ แล้วทำไมอัสซานต้องให้คุณฟาโรห์มาอยู่ในร่างด้วยล่ะคะ ปกติคนเราไม่ค่อยให้ใครมากล้ำกลายร่างกายและวิญญาณง่าย ๆ”
“เรื่องนี้เจ้าต้องถามเขาด้วยตัวเอง และข้าจะหยุดตอบคำถามของเจ้า ตามออกมาได้แล้ว”
ถ้อยคำเฉียบขาดยากจะมีใครกล้าขัด เธอเดินตามออกมาจากห้อง และลงบันไดมายังชั้นล่างอย่างเงียบ ๆ ไม่ปริปากเอ่ยถามอะไรอีก เคร่งครัดเรื่องคำสั่งจึงทำให้เธอไม่ทันสังเกต ว่าคนเดินอาด ๆ จะหยุดเดินเมื่อใด
“อุ้ย!” เธอชนแผ่นหลังของเขาเข้าอย่างจัง แรงปะทะทำให้ร่างเล็กเกือบหงาย ดีชะบุญเขาคว้าเอวเธอไว้ไม่เช่นนั้นเธอได้อายเพราะล้มหงายไม่เป็นท่าแน่
“ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวขอบคุณ พลางสบดวงตากังวลห่วงใย ก่อนเปลี่ยนมาเป็นตำหนิ
“รออยู่ตรงนี้!” เขาสั่ง ตรึงสายตาย้ำความเด็ดขาด
พิพิธภัณฑ์ร้างไร้ผู้คนเพราะได้เวลาปิดตัว ระหว่างรอคอยณิชารีย์มองเลยกระจกออกไปรอบนอก จากเมื่อแรกเข้ามาแสงเจิดจ้า บัดนี้ถูกแทนด้วยสีเทามัวหม่นของบรรยากาศย่ำค่ำ “เย็นมากแล้วหรือนี่ เราเข้ามาอยู่ในนี้นานเชียว พนักงานก็คงกลับกันหมด” เธอพึมพำ พลางส่ายสายตาสำรวจไปโดยรอบ พลันสังเกตว่าบริเวณเคยมีแผ่นหินสีดำวางนั้นว่างเปล่า
“หินหายไป”
หญิงสาวหันซ้ายแลขวาและหมายมาดว่าหนุ่มเจ้าของสถานที่คงยังไม่ออกมา จึงตั้งท่าจะย่องเบาเข้าไปมองหาหิน เธอจำได้ว่าหินนั้นมีอักษรภาพด้วย น่าสนใจ คิดแล้วมือก็ควานลงในกระเป๋าเป้เตรียมโทรศัพท์มาถ่ายรูป
“คุณณิชารีย์ ”
เสียงคุ้นเคยอีกเสียงซึ่งเป็นเสียงของชายหนุ่มเจ้าของร่างตัวจริง ทำให้คนที่กำลังจะเคลื่อนตัวต้องหยุดค้าง แล้วค่อย ๆ หันมาส่งยิ้มหวาน
“คุณอัสซาน” เธอเรียกชื่อเขาแก้เก้อ และสังเกตเห็นว่าในคอของเขามีสายสร้อย “คุณกับคุณฟาโรห์ทำให้ฉันนึกถึงซุปเปอร์แมนตอนแปลงร่างในตู้โทรศัพท์สาธารณะเลยค่ะ”
อัสซานได้ยินแล้วปล่อยเสียงหัวเราะออกมาดัง ๆ ตลอดชีวิตของเขาเคร่งครัดอยู่กับหน้าที่การงาน อีกทั้งดูแลสมาชิกในเผ่า สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนต้องใช้ความคิดพินิจวิเคราะห์แข่งกับเวลา ไม่มีโอกาสได้รื่นรมย์สักเท่าไร แต่ผู้หญิงต่างแดนคนนี้กำลังทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทว่าอารมณ์ขันก็ถูกขัดด้วยความเจ็บปวด อัสซานยกมือขึ้นกุมศีรษะ
ร่างใหญ่ยืนซวนเซ หญิงสาวรีบเข้ามาหาหวังให้ความช่วยเหลือ ปากนั้นก็เอ่ยถามด้วยความตระหนก “เป็นอะไรไปคะคุณอัสซาน”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็หาย” เขาพูดจบ บุรุษอารักขาวิ่งพรวดพลาดมาจากไหนไม่รู้สองคน เข้ามาเพื่อช่วยเหลือผู้เป็นนาย แต่อัสซานโบกมือไล่ให้พวกเขาออกไป ทั้งสองจึงถอยกรูออกไปทันที
ณิชารีย์ไม่เข้าใจในการกระทำของอัสซาน เมื่อเห็นเขาฝืนทำท่าทางปกติในขณะที่อารักขาของเขาวิ่งเข้ามา และเกิดคำถามขึ้นแบบนี้ณิชารีย์ก็ไม่เคยเก็บให้ค้างคาใจ
“คุณปิดบังพวกเขา คุณกำลังเป็นอะไรกันแน่คะอัสซาน”
“วันนี้เรามีนัดดินเนอร์กันอีกนะครับณิชารีย์”
เขาเลี่ยงตอบคำถาม มีหรือเธอจะยอม
“อัสซาน เราเป็นเพื่อนกันนะคะ อีกอย่างคุณฟาโรห์ก็ให้ถามเรื่องของคุณกับเจ้าตัวเอง นั่นก็หมายความว่าฉันสามารถรู้ความจริงทั้งหมด ก่อนที่ฉันจะตัดสินใจมาอยู่ในความคุ้มครองของคุณ”
“ผมยอมรับว่าปิดบังพวกเขา แต่ผมมีเหตุผล ไว้ผมจะเล่าให้คุณฟังทีหลัง ตอนนี้ผมว่าเราไปรับประทานอาหารกันก่อนดีกว่า”
อัสซานมองหาลูกน้อง ไม่มีใครอยู่ในระยะที่เขาตอบคำถามหญิงสาว จึงโล่งใจที่ลูกน้องถอยไปอยู่ห่างไกล นั่นเพราะคำสั่งของเขาประกาศิต ใครฝ่าฝืนจะถือว่าไม่ให้เกียรติหัวหน้าเผ่า บทลงโทษน้อยสุดคือปลดออกจากตำแหน่ง หนักกว่านั้นคือเนรเทศออกจากเผ่า
“ก็ได้ค่ะ แต่คืนนี้เราจะกินข้าวด้วยกันธรรมดาไม่มีพิธีรีตอง ฉะนั้นระหว่างรับประทานอาหารฉันขอฟังเรื่องราวไปพร้อมกันเลยนะคะ” เธอตั้งเงื่อนไข ซึ่งเขาก็ไม่ขัด
“ครับ ยังไงคุณก็ต้องรู้ เพราะเกี่ยวกับคุณโดยตรง”
“แหม ทั้งคุณทั้งคุณฟาโรห์พูดเป็นปริศนาให้ฉันใคร่อยากรู้เสียเหลือเกิน ดูซิวันนี้ใครจะให้คำตอบกับฉันได้บ้าง”
ณิชาริย์กระชับผ้าคลุมไหล่ แล้วเดินนำเขาออกไปจากอาคาร
ระหว่างรับประทานอาหารณิชารีย์สังเกตอัสซาน ภายนอกของเขาดูปกติไม่ส่ออาการใด ๆ แต่ถ้าคอยลอบสังเกตแววตา หรือจับสังเกตปลายนิ้วที่เกร็งแน่นเป็นบางครั้ง จะรู้เลยว่าเขาเหมือนคนเจ็บ
เมื่ออาหารหลักจบสิ้น ต่อด้วยไวน์องุ่น ณิชารีย์ก็เริ่มตั้งคำถามเขาทันที
“ทำไมคุณถึงยอมให้คุณฟาโรห์แฝงในร่างคุณคะ”
“เพราะคุณ”
คำตอบของเขา ถึงกลับทำให้เธอสะอึก นิ้วเรียวยกขึ้นชี้ตัวเอง “เพราะฉัน?”
“วันที่คุณมาที่นี่และจ้องมองหินศิลา ท่านก็มาปรากฏคาในร่างเนรมิตตรงหน้าผม และบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่าง จากนั้นท่านก็บอกผมให้เตือนคุณเรื่องคนของตูเลย์ ในปัจจุบันเขาคือยูซุฟ พ่อค้าพลอย พวกนี้รอคอยการมาของคุณอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนถ้าผมเตือนคุณ คุณจะมองแค่เรื่องธรรมดาเหมือนการเตือนโจรล้วงกระเป๋าในตลาดข่านอัลคาลิลี ผมจึงใช้แผนคนร้ายทำทีจะลักพาตัวคุณขึ้นรถ โดยใช้คนในเผ่าให้เดินทางมาดักรอ หวังทำให้คุณกลัว เพื่อที่เราจะได้พูดกับคุณง่ายขึ้น แต่ผมก็ทำพลาดเองที่ออกคำสั่งให้นำผ้าคลุมไหล่มาคืนโดยเร็ว ซึ่งไม่คิดว่าคุณจะย้อนกลับมาพิพิธภัณฑ์”
“ฉันพอจะเข้าใจเรื่องจุดมุ่งหมายจากการวางแผนคนร้ายแล้ว แต่นี่เป็นเหตุผลที่คุณฟาโรห์นำมาบอกเล่าต่อคุณนะคะ ไม่ใช่คำตอบในเรื่องของคุณเลย”
“ผมขอโทษครับณิชารีย์ ผมบอกเรื่องนี้กับคุณไม่ได้ ได้โปรดยกโทษให้ผมด้วย”
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะไม่เซ้าซี้ถามในสิ่งที่คุณไม่เต็มใจจะตอบ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากรู้ค่ะ หินที่คุณกล่าวถึง และตอนนี้มันหายไป มันมีความหมายเกี่ยวข้องกับเรื่องราวของฉันด้วยหรือเปล่าคะ” เธอสะกิดให้เขารู้ว่าเธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลง เพราะมันเคยผ่านตามาแล้ว
“เกี่ยวข้องครับ พอคุณมามันก็เริ่มไม่เป็นหินธรรมดา ผมจึงนำไปเก็บไว้ ส่วนเรื่องราวเกี่ยวพันกันอย่างไร คุณต้องถามท่านเองครับ”
“ให้ได้อย่างนี้ซีคะ คุณฟาโรห์ก็ให้ถามคุณ แล้วนี่คุณก็โบ้ยให้คุณฟาโรห์อีก สรุปแล้วฉันจะรู้เรื่องตัวเองได้ตอนที่ถูกจับตัวไปแล้วกระมัง”
“โธ่อย่าตัดพ้อกันแบบนั้นซีณิชารีย์ ผมแค่คิดว่าตัวเองรู้แต่เรื่องในปัจจุบันที่ได้รับฟังสืบต่อจากท่านพ่อ แต่ถ้าเป็นเรื่องราวสืบมาแต่อดีตกาลผมไม่สามารถให้คำตอบแก่คุณเท่าท่านก็เท่านั้นเอง”
“ก็ได้ค่า แล้วเรื่องจะให้ฉันย้ายไปอยู่ในความคุ้มครองของคุณ ฉันพอจะได้รู้มั้ยคะว่าตัวเองจะได้อยู่ที่ไหน”
“ที่เผ่าจะต้อนรับคุณเป็นอย่างดี ขอให้คุณวางใจ และอยู่ให้สบายเหมือนบ้านของคุณเอง”
“ฉันตกลงก็เพื่อความปลอดภัยอย่างหนึ่งค่ะ ส่วนอีกอย่างฉันถูกตั้งเงื่อนไขไว้ว่า ถ้าอยากรู้เรื่องตัวเองก็ต้องทำตามคุณฟาโรห์”
แต่เธอไม่ได้บอก
เธอต้องการลงบันทึกเรื่องราวของฟาโรห์จอมดุและเรื่องราวของมัมมี่ราชินีรอง ที่ไม่เคยปรากฏ
พระนามในนิตยสารเล่มใดมาก่อนเลย งานนี้เดินหน้าแล้วไม่ถอยหลัง
และเธอต้องได้ให้คุ้มกับที่เสี่ยง แต่เรื่องรูปถ่ายมัมมี่เธอปิดคุณฟาโรห์มาหนึ่งแล้ว
กับอัสซานเธอควรจะบอกเขาหรือเปล่า หรือจะเก็บไว้ก่อน
เพราะดูเขากังวลเรื่องความปลอดภัยของเธอซึ่งไม่รู้เธอไปมีส่วนสำคัญตรงไหนในเรื่องราวของพวกเขา
ถึงได้พากันออกโรงคุ้มกันถึงเพียงนี้ แต่..
สรุปแล้ว ‘เก็บไว้ก่อนแล้วกัน ยังไงก็ถือเอาประโยชน์สำนักพิมพ์เป็นหลัก’
“ฉันจะเตรียมของไว้ พรุ่งนี้จะให้ฉันไปพบที่ไหนคะ”
“ผมจะมารับคุณเอง ณิชารีย์ผมดีใจมากจริง ๆ ที่คุณยอมเชื่อใจผม”
“ค่ะ ฉันก็ต้องขอบคุณที่คุณจะปกป้องฉันจากภัยมืดพวกนั้นค่ะ” หญิงสาวเอ่ยไปแบบนั้น แต่ภายในใจเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางท่องไปสู่โลกไอยคุปต์ เธอแอบวาดฝันไว้ในใจ กับผลงานชิ้นโบแดงที่เธอจะนำกลับไปตีพิมพ์
แยกจากอัสซานที่ณิชารีย์สังเกตเห็นว่าเขามีอาการอ่อนเพลียมาก เธอก็มาขึ้นลิฟต์ลำพัง ระหว่างลิฟต์เลื่อนขึ้นไปนั้นเธอรู้สึกเหมือนมีสิ่งร่ำร้องเพรียกหา มันสะท้อนไปสะท้อนมาในโสตจนเวียนหัวไปหมด ไม่นานก็รู้สึกเหมือนถูกดูดเรี่ยวแรงออกจากร่าง
‘ทั้งเหนื่อยทั้งอ่อนเพลีย จู่ ๆ เป็นแบบนี้ได้ไง เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลย’ หญิงสาวรำพันในใจที่จู่ ๆ ร่างกายเกิดอาการไม่สู้ดี
เข้ามาถึงห้องพักเธอตั้งใจจะล้มตัวลงนอน แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังไม่สามารถล้มตัวลงนอนได้ เมื่อสายตาพลันสะดุดรูปถ่ายที่มันโผล่พ้นปากซองพัสดุ อ่อนล้าอ่อนแรงแค่ไหน เธอเหมือนต้องบังคับตัวเองให้เดินไปหยิบรูปใบนั้น
มือแตะสัมผัสรูปถ่าย ความสว่างของดวงไฟนีออนก็เหมือนจะดับวูบลง ทิ้งให้โลกทั้งใบมืดมิด
ณิชารีย์รู้สึกร่างกายเหมือนไร้น้ำหนัก มันโหวงเหวงเบาหวิวคล้ายล่องลอยในอากาศที่มืดสนิท มีเพียงแสงเล็ก ๆ จุดหนึ่งอยู่ตรงหน้า หากเธอจำต้องล่องลอยไปให้ถึงจุดสว่างเพียงน้อยนิดนั้น
หญิงสาวปล่อยร่างกายลอยไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ่งกีดขวาง ไม่มีเรื่องที่ต้องกลัวไม่มีอะไรต้องกังวล เสียงที่ดังแว่วเข้ามาในโสต บอกเธอแบบนั้น จนกระทั่ง
โครม!!
“ณิชารีย์ลืมตาสิ!”
เสียงกังวานแทรกซ้อนอันคุ้นเคย เหมือนปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์