วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2563

ไร่เสน่หาจองจำหัวใจ : บทที่ 15 ทวงคืนชิ้นส่วนของหัวใจ


 
 

นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่องไร่เสน่หาจองจำหัวใจ

 
 
 สาธิตจับตามองพฤติกรรมของน้องสาวเงียบ ๆ พลางคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวว่า..หัวใจที่เว้าแหว่งของคนเราล้วนเฝ้าคอยชิ้นส่วนหัวใจที่หายไป และการรอคอยจะสิ้นสุดเมื่อเราค้นพบชิ้นส่วนที่มีรอยหยักเว้ามาต่อบรรจบกันสมบูรณ์
ซึ่งศุภักษรไม่มีวันค้นพบความสมบูรณ์ของหัวใจแน่ ถ้ายังขืนดื้อจะรักคนมีเจ้าของหัวใจแล้วแบบนี้ คิดแล้วชายหนุ่มก็ได้แต่หนักใจกับความพยายามของน้อง ที่เร่งเร้าให้เขาเดินทางมาบ้านไร่ปานเทวาก่อนเวลาอาหารเย็น เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับปฐพีนาน ๆ
เมื่อก่อนสาธิตมองว่าเป็นการกระทำปกติของศุภักษร แต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม..เขาจึงไม่ชอบใจที่จะเห็นผู้เป็นน้องสาวทำตัวเป็นเจ้าของชายหนุ่มที่มีภรรยาแล้วแบบนั้น
เพราะทันทีที่ปฐพีเดินเข้ามาในห้องรับแขก ศุภักษรรีบมอบของฝากจากญี่ปุ่นซึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวสีดำ และบอกกับปฐพีว่าอยากให้สวมยามค่ำคืนเพื่อให้ได้คิดถึงคนให้ก่อนนอน ก่อนจะยิ้มระรื่นยื่นของฝากให้ป้ามาลัย รวมทั้งบัวและนาง จากนั้นตบท้ายด้วยบทบาทออเซาะไม่ห่างกายปฐพี
ภาพต่าง ๆ ที่ศุภักษรแสดงออกมาให้เห็น เพิ่มความรู้สึกผิดในใจชายหนุ่มมากขึ้น เพราะรู้ว่าตนเลี้ยงน้องโตมาไม่น่ารักเสียเลย เหตุผลที่ศุภักษรแสดงความสนิทสนมกับปฐพีเป็นพิเศษเช่นนี้ สาธิตรู้ดีว่าศุภักษรต้องการให้หญิงสาวอีกคนที่นางประคองเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาทีหลัง ได้เห็นการจัดฉากรักของตนที่ทำราวเป็นคู่รักกันมาก่อน
แผนของศุภักษรก็นับว่าได้ผล เพราะเพียงหญิงสาวเดินเข้ามาเห็นภาพคลอเคลียเบื้องหน้า แววตาของเธอก็หม่นแสงลง ฉะนั้นการมาทวงของรักคืนของศุภักษร จึงทำให้สาธิตรู้สึกเป็นห่วงรัญชิดาอย่างจับใจ
ยิ่งกว่านั้นการที่ได้เห็นท่วงท่าเดินไม่ปกติซึ่งเกิดจากอุบัติเหตุ ก็ยิ่งทำให้หนุ่มบ้านไร่แสงจันทร์เผลอจ้องมองหญิงสาวด้วยความห่วงใยโดยไม่รู้ตัว และแววตาห่วงใยที่เผยออกมามันก็ไม่ได้รอดพ้นสายตาของคนสองคน
รัญชิดาทำเมินกับภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่ทำราวเป็นคู่รักหวานชื่น หันมาส่งยิ้มขอบคุณนางที่ช่วยพยุงเธอมาส่งแล้วขอตัวกลับเข้าไปช่วยบัวกับป้ามาลัยในห้องครัว จากนั้นพยายามหักห้ามความรำคาญใจ ที่ได้เห็นผู้หญิงสวยเฉี่ยวนั่งกระแซะข้างกายชายหนุ่มที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามีของเธอ ซึ่งนั่นยังไม่พอเจ้าหล่อนยังทำท่าคล้องแขนให้ดูเหมือนสนิทเสน่หากันเสียหนักหนาอีก
นานเข้าจากความรำคาญก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นอารมณ์หงุดหงิด และเหมือนเธอจะห้ามความรู้สึกนี้ไม่ได้ จึงเบนสายตาผ่านบุคคลทั้งสอง ไปมองชายหนุ่มที่นั่งโซฟาเดี่ยวฝั่งตรงข้าม ชายหนุ่มอารมณ์ดีที่เธอจำเขาได้ดี  จากนั้นได้ยินเสียงปฐพีเอ่ยแนะนำ
“รัญชิดา นี่ศุภักษร ศุเป็นน้องสาวคนเดียวของสาธิต ฉันอยากให้เธอได้รู้จักและทำความคุ้นเคยกันไว้”
ถ้อยคำนั้นแฝงความหมายว่านับแต่นาทีนี้หญิงสาวทั้งสองจะต้องอยู่ในวงจรชีวิตของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนหนึ่งก็เมียอีกคนก็รักดุจน้องสาว ถึงแม้ศุภักษรจะมีทีท่าไม่เปิดใจต้อนรับรัญชิดาอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ยังหวังว่าทั้งสองจะเป็นมิตรกันได้ในวันหนึ่ง
“สวัสดีค่ะคุณศุภักษร” รัญชิดาประนมมือไหว้เพราะถือว่าตนอายุน้อยกว่า แต่ก็ได้รับการทักทายกลับมาเพียงแค่รอยยิ้มจืดๆ เธอจึงวางมือลงบนหน้าตัก
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง รัญชิดารู้สึกอึดอัดใจเป็นอย่างมาก หญิงสาวลอบถอนใจบ่อยครั้งระหว่างคนอื่น ๆ สนทนาตามประสาคนคุ้นเคยกันอย่างออกรส เธอก่นในใจว่านั่งทำงานท่ามกลางสายลมร้อน ๆ ในไร่ ยังจะดีกว่ามานั่งเป็นส่วนเกินให้สายตาผู้หญิงคนนั้นแผดเผา
ปฐพีลอบมองภรรยาจำเลยของเขาเป็นระยะ รับรู้ได้ถึงปฏิกิริยาต่อต้านที่ฉายออกมา เขาปรารถนาเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวทั้งสอง แต่เขาเห็นแล้วว่ามันคงต้องใช้เวลาพอสมควร เพราะศุภักษรพยายามผลักไสรัญชิดาให้อยู่นอกวงสนทนาอยู่เนือง ๆ แสดงออกโจ่งแจ้งว่าไม่ยินดีเปิดใจรับหญิงสาวเลยสักนิด
ไม่ว่าสาธิตจะเอ่ยชวนรัญชิดาคุยเรื่องใด ศุภักษรก็มักขัดคอด้วยการดึงเรื่องไปเที่ยวญี่ปุ่นมาเป็นข้อสนทนา ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นปฐพีคงจะกล่าวเตือนให้ได้รู้เกรงใจกัน เพราะถึงแม้ตัวเขาจะจัดรัญชิดาไว้เพียงภรรยาในนาม แต่สำหรับคนอื่นรัญชิดาคือนายหญิงบ้านไร่ปานเทวา หญิงสาวควรได้รับการให้เกียรติ
ทว่าศุภักษรได้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้องสาว และเป็นน้องสาวที่เขาเอ็นดูอาทรกันมานาน จึงไม่อยากหักหาญให้เสียใจ
สาธิตเริ่มเบื่อกับบทสนทนาวกวนของศุภักษร ที่สำคัญแม่น้องสาวทำท่าออดอ้อนปฐพีโดยไม่เห็นหัวผู้เป็นภรรยา แม้เขาเอ่ยกระซิบตักเตือนก็ยังได้รับคำยอกย้อนกลับมาเสียอีก
“ศุทำอะไรเกรงใจคุณรัญบ้างสิ”
“ศุก็ไม่ได้ทำอะไรนี่คะ ในเมื่อศุกับพี่ปฐพีคุยกันแบบนี้อยู่บ่อย ๆ คุณรัญเองนั่นแหละ ต้องทำตัวชิน ๆ ไว้นะคะ”
รัญชิดาสะดุดสายตาคมเฉี่ยวของศุภักษร มันสื่อถึงการประกาศสงคราม ซึ่งถ้าเป็นกรณีอื่นเธอคงตั้งทัพรับศึก เพราะมองออกตั้งแต่แรกว่าอีกฝ่ายจัดตนเป็นศัตรู แต่กรณีแย่งผู้ชายเธอขอวางเฉยดีกว่า เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่จะลงสนามรบเพื่อผู้ชายที่ไม่มีวันรับเธอเป็นส่วนหนึ่งในหัวใจของเขา
ในเมื่อไม่คิดจะตอบรับคำท้าทาย เธอจึงเบนสายตาไปที่สาธิตและยิ้มให้เขา ซึ่งชายหนุ่มก็มองตอบและยิ้มกลับมาเช่นกัน ความเป็นมิตรที่หยิบยื่นให้กันคงทำให้ชายอีกคนเคืองตาเคืองใจเสียหนักหนา เสียงที่เอ่ยขึ้นมาจึงฟังห้วน
“ป้ามาลัยจัดโต๊ะเสร็จแล้วยัง มัวให้นั่งมองตากันไม่ทันกินฝนตกก่อนพอดี” ปฐพีพูดประชดตามความคาดการณ์ของเขาว่า ท้องฟ้ายังไม่มืดครึ้มเสียทีเดียว แม้จะมีลมพัดให้รู้สึกเย็นยะเยือกกว่าปกติ แต่กว่าจะมีฝนก็คงดึก ๆ แต่จิตใจที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝนของเขามันก่อตัวดำทะมึนมากแล้ว
“ตอนมาฉันก็แปลกใจ จู่ ๆ เมฆดูสีหม่นเหมือนฝนจะตกทั้งที่พ้นหน้าฝนมาแล้วแท้ ๆ  แต่อากาศเมืองไทยตอนนี้เอาแน่เอานอนไม่ได้จริง ๆ”
สาธิตคล้อยตามเมื่อรู้ว่าตนถูกจับผิดจากเพื่อนและน้อง และนึกขำในใจว่าปฐพีจะรู้ตัวไหมนะว่าตอนนี้ตัวเองเหมือนหมาหวงก้างแค่ไหน
ส่วนร่างเล็กรู้สึกอึดอัดใจจนเหลือจะกล่าวกับสายตาหงุดหงิดของปฐพี ชวนสงสัยว่าเขาไปกินรังแตนที่ไหน ก่อนหน้านั้นยังเห็นอารมณ์ดี รับบทออเซาะจากศุภักษรเพื่อกลั่นแกล้งจิตใจเธอสารพัด มาตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมชวนทะเลาะ หญิงสาวลอบถอนใจออกมานิดกับคนอารมณ์ไม่คงเส้นคงวาแบบนั้น
ส่วนร่างระหงที่นั่งคลอเคลียไม่ห่าง ก็เกิดอาการรุ่มร้อนดั่งเพลิงลุกในใจ เนื่องด้วยศุภักษรสังเกตเห็นแววตาที่ปฐพีใช้ปรามหญิงสาวอีกคนตลอดเวลา มันมีทั้งเสน่หา หวงแหน โดยที่ผ่านมาเธอไม่เคยได้รับการมองแบบนั้นเลยสักครั้ง
และนั่น..เป็นการตอกย้ำให้ศุภักษรต้องหาวิธีกำจัดศัตรูหัวใจ ออกไปจากวงจรชีวิตของปฐพีโดยเร็วที่สุด!
ผู้หญิงคนหนึ่งพยายามเก็บกลั้นความริษยาโดยทำตัวยิ้มแย้มตามปกติ ในขณะผู้หญิงอีกคนรู้ว่าภายใต้หน้ากากเริงรื่น เป็นเพียงคลื่นใต้น้ำที่รอวันถาโถมคลื่นยักษ์ซัดเข้าใส่
ทั้งหมดหยุดสนทนาเมื่อป้ามาลัยเดินเข้ามา ซึ่งทำให้หัวใจของรัญชิดาได้พักสักชั่วครู่ ก่อนเริ่มระทึกต่อเพราะเพียงทุกคนลุกยืน ศุภักษรก็รีบคล้องแขนปฐพีนำตัวเดินขนาบข้างยังกับคู่ปาท่องโก๋กันเลยทีเดียว ส่วนตัวเธอเองก็ถูกความปวดหนึบที่ข้อเท้าเข้าจู่โจมเล่นงานให้ได้ทิ้งก้นลงนั่งด้วยความเจ็บแปลบ
“โอ้ย!
“รัญชิดา” เสียงปฐพีร้องตกใจ เขาจะเข้ามาช่วยพยุงแต่ถูกมือเรียวยึดไว้ และจังหวะที่ชายหนุ่มก้มลงมองมือที่รั้งนั่นเอง สาธิตก็เดินมาถึงตัวคนเจ็บก่อนพร้อมช่วยพยุง
“ขอบคุณค่ะคุณสาธิต” แวบหนึ่ง รัญชิดามองเห็นแววตาคมปลาบ ! ของปฐพี ราวสะกิดให้เธอได้รู้ถึงความไม่พอใจที่เห็นเธออยู่ในวงแขนของผู้ชายคนอื่น
แต่ทำไงได้ล่ะ..ในเมื่อเขาไม่คิดสลัดมือเหนียวหนึบอย่างกับหนวดปลาหมึกของศุภักษรก่อนนี่
“เดินไหวนะครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนของสาธิตเอ่ยถาม
“ไหวค่ะ ขอบคุณค่ะ” เธอกล่าวต่อชายหนุ่มที่อ่อนโยนมีน้ำใจ
จากนั้นจึงพากันเดินมายังโต๊ะอาหาร ซึ่งตั้งวางอาหารเรียบร้อยอยู่นอกชานด้านข้างตัวบ้าน จัดที่นั่งลักษณะวงล้อมทำให้ทุกคนมองเห็นทิวทัศน์ภูเขาเป็นฉากหลัง
รัญชิดาให้ความสนใจอาหารพื้นเมืองหลากหลายที่วางอยู่ตรงหน้า ก่อนหย่อนกายลงนั่งพร้อมกับคนอื่น ๆ ซึ่งตำแหน่งของเธอคือด้านขวามือของปฐพี ส่วนด้านซ้ายของเขาคือศุภักษรที่ยึดครองพื้นที่ด้านข้างของชายหนุ่มทุกนาที ถัดไปคือสาธิต การนั่งล้อมวงตามรูปทรงกลมของโต๊ะทำให้เธอและสาธิตวนมานั่งข้างกัน

เริ่มต้นมื้อเย็นกันด้วยบทสนทนาเกี่ยวกับอาหารรสจัดที่มีผักพริกม้าเป็นเครื่องจิ้ม และถ้อยคำที่ศุภักษรมีต่อผักชนิดนี้ก็เรียกความสนใจจากเธอได้มาก
“นึกว่าจะไม่มีใครกล้าไปเก็บผักนี่แถวกระท่อมริมธารแล้ว” ที่พูดขึ้นเช่นนี้ เพราะศุภักษรรู้ดีว่าผักชนิดนี้ขึ้นดกดื่นอยู่บริเวณใด จึงแปลกใจที่เห็นว่ายังมีคนกล้าที่จะไปเก็บมัน
“ก็มีแต่ป้านั่นแหละค่ะ ช่วงนี้ขึ้นดกด้วยค่ะคุณศุ พอป้ารู้ว่าคุณศุกับคุณสาธิตจะมาวันนี้ป้าก็เลยไปเก็บมาเพิ่ม” ป้ามาลัยกล่าวสีหน้ายิ้มด้วยรู้ใจว่าสองพี่น้องชอบอาหารรสจัด พลางมอบสายตาเอ็นดูต่อหญิงสาวอ่อนวัยตรงหน้าที่ถือเป็นเพื่อนบ้านเจ้านายที่รู้จักกันมานาน จนเคยแอบลุ้นว่านายหนุ่มจะเลือกหญิงสาวมาเป็นนายหญิง ทว่าที่ผ่านมานายหนุ่มก็มีแต่ความรักความเอ็นดูดุจน้องสาวให้อีกฝ่ายเท่านั้น
ผักพริกม้า กระท่อมริมธาร? ชื่อพวกนี้กระตุ้นต่อมสงสัยขึ้นในใจของรัญชิดาอีกแล้ว หญิงสาวชำเลืองมองปฐพีก็เห็นแต่ปฏิกิริยานิ่งเฉยของชายหนุ่ม ทว่าการได้ใกล้ชิดกันทุกวันที่ผ่านมา ทำให้รู้ลักษณะย่นคิ้วของเขาคือการไม่พอใจเนื่องจากได้ยินใคร ๆ พูดถึงที่แห่งนั้นในแง่ลบ
ระหว่างที่หญิงสาวตัดสินใจว่าค่ำนี้ปฐพีเดินไปที่ธารน้ำตกเธอจะแอบตามเขาไป มือของใครคนหนึ่งก็เอื้อมตักอาหารใส่จานของเธอ เพื่อบ่งบอกว่าการรับประทานอาหารรสแซบได้เริ่มขึ้นแล้ว
“คุณรัญกินเยอะ ๆ นะครับ ทำงานในไร่ต้องใช้พลังงานมาก” สาธิตกล่าว ยิ้มระบายด้วยใจบริสุทธิ์
“ขอบคุณค่ะคุณสาธิต” รัญชิดาเอ่ยขอบคุณขณะมองอาหารที่สาธิตตักใส่จานให้
“วันนี้ผมได้เก็บคำขอบคุณของคุณรัญจนอิ่มแปล้กลับบ้านแน่” สาธิตพูดชวนขำ เรียกรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้านวล
ตรงข้ามกับชายหนุ่มนั่งข้าง ๆ ที่หน้าบึ้งขึ้นทันตา แต่สาธิตยิ้มยั่วติดหน้าไว้ ขณะหันกลับไปสนใจตักอาหารใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ย ๆ ปล่อยให้ผู้เป็นเพื่อนและแม่น้องสาวมองค้อนปะหลับปะเหลือกด้วยความหมั่นไส้
“ฉันก็เห็นว่าเธอควรกินเยอะ ๆ เพราะมื้อกลางวันกินไปนิดเดียว” ปฐพีตระหนักอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง จึงพูดเสียงเรียบกลบเกลื่อน
“ฉันก็กินอย่างนี้ทุกมื้อ ไม่เห็นคุณเคยว่าอะไร” รัญชิดาอดเหน็บกลับไปไม่ได้ เพราะก่อนหน้าเธอไม่เห็นเขาจะใส่ใจว่าเธอจะกินมากกินน้อย แหมพอมีคนมาเอาใจเสียหน่อยมาทำวางท่าถือสิทธิ์
“นี่!” ปฐพีขบกรามดังกรอด ผู้หญิงคนนี้ยอกย้อนขัดใจเสียจริง “ที่ฉันพูดเพราะหวังดี ไม่อยากให้เธอผอมแห้งเดี๋ยวจะหาว่าฉันเลี้ยงไม่ดี”
“พี่ปฐพีพูดว่าผอม รวมถึงศุด้วยหรือเปล่าคะ?” ศุภักษรหาจังหวะพูดแทรก เพราะไม่อยากให้ตนหลุดจากวงสนทนาในเมื่อสองหนุ่มต่างหันไปให้ความสนใจฝ่ายตรงข้าม
“ไม่หรอกศุ เพราะรูปร่างของศุกำลังดีไม่ผอมกะหร่องเหมือนคนบางคน” ปฐพีได้ทีแกล้งว่ากระทบ แม้ไม่ตรงความเป็นจริงนัก เนื่องจากได้สัมผัสชิดใกล้มาแล้ว ว่าร่างเล็กนี้มีเนื้อหนังแน่นแค่ไหน
“เอาเถอะน่า ผมว่าอาหารฝีมือป้ามาลัยอร่อยทุกมื้อ ถ้าใครจะอ้วนจะผอมยังไงไม่สำคัญหรอก จริงมั้ยครับป้า” สาธิตเอ่ยขึ้นหวังลดระดับมวลอากาศสูง โดยลากป้าแม่บ้านมาเป็นตัวช่วย
“ค่ะคุณสาธิต มื้อนี้ป้าทำสุดฝีมือเลยนะคะ” ป้ามาลัยเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ลึก ๆ ก็นึกกังวลว่าอาหารจะเป็นหมันเพราะเจ้านายปาระเบิดใส่กันเสียก่อน
“พี่ปฐพีบอกว่าศุหุ่นดีหรือคะ?” ศุภักษรยังไม่ละความพยายาม ดึงความสนใจจากทุกคนโดยไม่สนว่าจะทำบรรยากาศเสียอีก
“ใช่ ศุดูแลตัวเองดีมาตลอดอยู่แล้ว” ปากก็พูดกับศุภักษร แต่สายตาคมมองศรีภรรยาอย่างหมายมาด ว่าคืนนี้เห็นทีต้องคุยกันให้กระจ่างถึงผลของการดื้อกับเขาเสียแล้วกระมัง

ทุ่มครึ่งบทบาทช่วงเวลารับประทานอาหารของแต่ละคนอยู่ภายใต้ห้วงความคิดที่แตกต่างกันไป จนกระทั่งสิ้นสุด ปฐพีจึงชักชวนให้ย้ายกันเข้าไปจิบไวน์เย็น ๆ ภายในห้องรับแขก เพราะเกรงบรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนที่พร้อมจะเทกระหน่ำลงมาทุกเมื่อ
รัญชิดาทนนั่งร่วมวงได้ไม่นาน จึงขอปลีกตัวเข้ามาในครัวด้วยเหตุผลว่าอยากมาดูแลความเรียบร้อย เธอรู้ว่าปฐพีไม่สู้พอใจนักที่เห็นเธอถอยห่างแขกของเขามาแบบนี้ แต่จำต้องอนุญาตเพราะไม่อยากเห็นอาการอึดอัดของเธอนั่นเอง
เธอเดินกะเผลกยามเคลื่อนตัวช่วยป้ามาลัยหยิบจับสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ เสร็จแล้วก็มาทิ้งตัวลงนั่งข้างนางเพื่อช่วยเช็ดจานชามต่ออีก ระหว่างมือทำงานปากก็พูดคุยกันสนุกสนาน ต่อเมื่อผู้ก้าวเข้ามาใหม่กล่าวทักถาม เสียงคุยจึงหยุดลง
“มีอะไรให้ศุช่วยไหมคะป้ามาลัย?” เสียงหวานผสมท่าทางออดอ้อนของศุภักษร เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากป้าแม่บ้านได้ดี
“ไม่มีหรอกค่ะคุณศุ คุณศุไปนั่งพักผ่อนคุยกันสนุก ๆ กับเหล่าชายหนุ่มเถอะค่ะ มีแต่ผู้ชายเดี๋ยวจะเหงากันเสียเปล่า” ป้ามาลัยกล่าว พลางปรายตามองนางและบัวเงยหน้าส่งยิ้มให้ ส่วนนายหญิงสาวเลือกที่จะนั่งเฉยเพราะผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ญาติดีกับเธอ
ศุภักษรมองขัดใจเล็กน้อย กับท่าทางเฉยเมยของผู้เป็นนายหญิง หรือว่าเธอเปิดฉากอ่อนไป เช่นนั้นเปิดประเด็นให้เข้มข้นเพื่อให้ศัตรูได้รับรู้ถึงสภาวะสงครามเลยดีกว่า
“ทำไมแยกมานั่งในครัวเสียล่ะคะ อยู่ในห้องรับแขกคุยไม่สนุกหรือคะคุณรัญ?” น้ำเสียงลากต่ำ กับนัยน์ตาวาวของศุภักษรคิดข่มขวัญคู่ต่อสู้ที่ดูอ่อนปวกเปียก แต่ผิดคาดเมื่อตัวเธอได้รับถ้อยคำยอกย้อนแสลงหูกลับมา
“ค่ะ อึดอัด..เซ็ง” คำตอบที่รัญชิดาไม่คิดว่าจะมีให้กับใคร แต่กลับมอบให้ผู้หญิงที่วางตัวราวกับนางพญาตรงหน้านี้ เธอรึอุตส่าห์ปลีกตัวมาเพื่อหลีกทาง ให้เจ้าหล่อนได้สานสัมพันธ์อันยืดยาวกับปฐพี ก็ยังจะมาตามราวีกันถึงที่อีก
ศุภักษรขบริมฝีปากขณะประเมินศัตรูสาวตรงหน้า ผู้หญิงคนนี้ไม่หัวอ่อนอย่างที่คิดเสียแล้ว ก็ดี..การปะทะครั้งต่อ ๆ ไปจะได้เพิ่มดีกรีความเข้มข้น เพราะการมาเยือนครั้งนี้ของเธอเป็นเพียงแค่น้ำจิ้มหรอกน่า
“ไม่แปลกหรอกค่ะที่คุณรัญจะคิดอย่างนั้น เพราะมันเป็นเรื่องยากกับคนที่เพิ่งโผล่..เอ้ย หมายถึงเพิ่งมาอยู่น่ะ คือ จะมาเที่ยวทำตัวสนุกสนาน ไปกับคนที่เขาสนิทสนมคุ้นเคยกันมานานได้อย่างไร จริงไหมคะ”
“ค่ะ” รัญชิดาไม่อินังขังขอบกับวาจาเสียดสีของอีกฝ่าย โดยทิ้งความสนใจไปที่การช่วยนางเช็ดชามไม่หยุดมือ
จนกระทั่งร่างระหงตั้งใจมาองค์ลงแถวนี้เดินออกไปด้วยท่าทางฮึดฮัด เพราะไม่สามารถยั่วโมโหเธอได้ หญิงสาวจึงหยุดมือและเงยขึ้นสบแววตาเห็นใจของคนรอบข้าง รอยยิ้มผุดขึ้นมุมปาก พร้อมเอ่ยถ้อยคำที่จะทำให้ทุกคนสบายใจ
“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะป้ามาลัย นาง บัว แค่นี้ รับมือได้”
ทุกคนเห็นว่านายสาวมีความเข้มแข็งพอรับมือกับทุกสถานการณ์ จึงคลายสีหน้ากังวล เนื่องด้วยทุกคนจำเป็นต้องวางตัวเป็นกลาง เพราะหญิงสาวที่เพิ่งเดินจากไปมิใช่ใครอื่น แต่เป็นหญิงสาวที่พวกเขาคุ้นเคยรู้จักดีว่าเป็นคนจิตใจดีคนหนึ่ง เสียแต่เอาแต่ใจและชอบเป็นที่หนึ่ง ที่สำคัญพวกเขาเคยปรารถนาให้มาเป็นนายหญิงของเจ้านาย
ร่างระหงเดินพ้นประตูมาแล้วหยุดฝีเท้าพร้อมกำมือแน่น ศุภักษรเห็นแล้วว่าการจะตอแยขับไล่ศัตรูสาวนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด และดูเหมือนอีกฝ่ายจะได้ใจคนทั้งบ้านไร่ไปหมดด้วยเวลาไม่กี่วัน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นทุกคนมีทีท่าปรารถนาเธอมาเป็นนายหญิง ให้ความสำคัญที่หนึ่งมาตลอด แต่บัดนี้พวกเขามีนายหญิงเป็นของตัวเองแล้ว เธอจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจที่ต้องตกมาเป็นรอง
มวลริษยาอัดแน่นหัวใจจนร่างระหงยืนเกร็งไปทั้งร่าง ก่อนจะตั้งปณิธานแน่วแน่ว่าเธอจะต้องทวงสิทธิ์ที่เคยเกือบจะเป็นของเธอกลับคืนมาให้ได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม
ช่วงเวลาสังสรรค์สิ้นสุด รัญชิดาออกมายืนส่งแขกพร้อมกับปฐพี โดยต้องทนเห็นภาพที่ศุภักษรออดอ้อนให้ปฐพีแวะเวียนไปบ้านไร่แสงจันทร์บ้าง แม้ว่าเขาจะมีภรรยาแล้วก็ตาม และวอนขอให้เขามีเมตตากับตนเหมือนเดิม ซึ่งปฐพีไม่ปฏิเสธคำขอ อีกทั้งยังย้ำถึงสัญญาที่เคยให้กับอีกฝ่ายว่ายังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง
ขณะเท้าเตรียมกะเผลกหนีขึ้นชั้นบน ความสงสัยเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นมาในความคิดของรัญชิดา ซึ่งแววตายิ้มเยาะที่ศุภักษรทิ้งท้ายไว้ ยังไม่น่าติดใจเท่าถ้อยคำสัญญาที่สองคนนั้นมีให้ต่อกัน
เธอรู้ว่าที่ศุภักษรแสดงท่าทางคุกคามต่าง ๆ นานา ก็เพื่อบ่งบอกว่าเธอได้แย่งความหวังของเจ้าหล่อนไป และการมาครั้งนี้ก็เพื่อประกาศสงครามทวงคืน ซึ่งสิ่งที่เธอต้องเผชิญในวันนี้ ถือว่าสร้างความหนักใจอย่างมาก เพราะความจริงแล้วเธอไม่ได้คิดแย่งของรักของใคร ที่เป็นอยู่นี้มันเป็นไปตามชะตากรรมของเธอเองต่างหาก แต่จะอธิบายเหตุผลให้ผู้หญิงคนนั้นฟังได้อย่างไรเล่า
หญิงสาวคิดปลงขณะก้าวเท้าขึ้นบันได ทว่าจู่ ๆ ร่างของเธอกลับลอยหวือขึ้นไปอยู่ในวงแขนของปฐพี
“อุ้ย! คุณปฐพี” ดวงตาสวยเบิกกว้าง เมื่อถูกเขาอุ้ม โดยที่สีหน้าของคนอุ้มไม่ได้มีความรื่นรมย์แต่อย่างใด “คุณมาอุ้มฉันทำไม?” เสียงสั่นเครือเอ่ยถาม และดังโขรมไปตลอดทางขึ้น จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องนอนของเธอ
และเมื่อเขาเปิดประตูและปิดลงสนิท เธอก็เริ่มดิ้นขลุกขลัก เพราะเหตุการณ์ที่เกินจะคาดเดากำลังทำให้หัวใจสาวเริ่มสะพรึงกลัว
 ราคาขาย: 200 + 40 = 240 บาท 
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)

 
ราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ไร่เสน่หาจองจำหัวใจราคาปก 319x10%=31 บาท + ค่าส่ง 40 = 71บาท
(เฉพาะพื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่ง ยอดยืม 31 บาทจะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อนคือ 319 บาท ต่อเมื่อส่งหนังสือคืนร้านแล้ว ทางร้านจะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ
 
 

 
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น