วันเสาร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2560

เสน่หานาคี : บทที่ 12 อำนาจ



นิยายเปิดเช่าและขาย

เรื่อง เสน่หานาคี


ในห้องถัดมามีประติมากรรมองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับบนลำตัวของงูใหญ่ขนดเป็นฐานรองพร้อมแผ่พังพานปรกเศียร ทั้งหมดนั่งลงก้มกราบด้วยจิตศรัทธาที่มีต่อองค์พระศาสดาของพระศาสนา
ก่อนลุกเดินถัดมาที่รูปปั้นพญานาคราชเจ็ดเศียรขนดตัวดูสงบสง่าท่ามกลางดอกบัวสีขาว
..ลำตัวงูใหญ่มีสีขาวเกล็ดสีเงินยวง มีหงอนสีทอง ดวงตาสีขาวอมฟ้า ยิ่งได้เพ่งพิศยิ่งสัมผัสถึงความอบอุ่นอ่อนโยนที่แฝงในดวงตาสีเหมือนตามนุษย์ อุรัสยาบอกไม่ถูกว่าเหตุใดรู้สึกเคารพบูชานาคราชองค์นี้เสียเหลือเกิน
“นาคราชวทันยู” ร่างอรชรของเลขาสร้อยจันทร์เดินมาหยุดอยู่ข้างดาราสาว ชี้ชวนให้ดูป้ายชื่อติดอยู่ที่ฐาน ราวปรารถนาให้อีกฝ่ายได้ซึมทราบชื่อนาคราชองค์นี้อย่างลึกซึ้ง “พญานาคราชองค์นี้เป็นโอรสองค์เดียวขององค์อินทรานาคราช อยู่ในตระกูลฉัพพยาปุตตะ แต่มีพระวรกายเป็นขาวเกล็ดสีเงินยวง ซึ่งเป็นอดีตผู้ปกครองบาดาล”
คำบอกเล่าของเลขาสร้อยจันทร์สร้างความฉงนแก่อุรัสยาเป็นอันมาก ถึงขนาดเกือบหลุดปากถามไปว่า “แล้วท่านนาคินทร์..” พอนึกได้ว่าตนพูดขัดขึ้นแบบนี้จะทำให้อีกสองคนที่ร่วมฟังเกิดความสงสัย จึงปล่อยให้เสียงขาดหายไปเฉย ๆ พร้อมกลบเกลื่อนด้วยคำขอโทษ “ขอโทษค่ะที่ขัดคอ เชิญคุณเลขาสร้อยจันทร์พูดต่อเถอะค่ะ”
“ต่อเมื่อองค์อินทราสิ้นอายุขัย ท่านนาคราชวทันยูกลับไม่สามารถรับช่วงปกครองเหล่าพิภพบาดาลได้ เพราะมีบุญบารมีไม่สูงเท่าองค์ใหม่ที่จุติมาพร้อมบุญญาธิการมากกว่า”
“เป็นโอรสยังมีบุญไม่ถึงบัลลังก์อีกหรือคะ” ปานเลขาเลิกคิ้วพิศวง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเพียงความเชื่อที่เล่าขานมาเป็นตำนาน แต่นับว่าเรื่องเล่านี้น่าสนใจ
“การครองบัลลังก์นครบาดาลขึ้นอยู่กับบุญบารมีค่ะ ไม่ได้สืบทอดรุ่นสู่รุ่นเหมือนเมืองมนุษย์” สร้อยจันทร์หันไปตอบผู้จัดการส่วนตัวสาว ก่อนหันกลับมาฟังคำถามของดาราสาวอีก
“ต่อให้เป็นโอรสหรือธิดาแต่บุญบารมีน้อยก็ย่อมเสียบัลลังก์แก่ผู้ที่มีบุญบารมีมากกว่าหรือคะ?”
“ค่ะ คุณอุ้ม” สายตาต่างประสานบ่งบอกว่าสิ่งที่อีกฝ่ายได้รับรู้มาก่อนหน้านั้น เป็นคำตอบดีอยู่แล้ว
“แล้วใครมาเป็นผู้ปกครองแทนละคะ?” ปานเลขายังยิงคำถามเจื้อยแจ้ว เพิ่งจะรู้สึกว่าตนสนอกสนใจเรื่องราวพญานาคก็ตอนนี้
“โอรสของสองตระกูลใหญ่ค่ะ” คำตอบสั้น ๆ แต่เรียกความสนใจใคร่รู้ฉายชัดบนใบหน้าคนถามเป็นอย่างดี
“องค์นี้บุญบารมีเยอะหรือคะ?”
“ค่ะ ท่านจุติมาเป็นผู้ปกครองเมืองบาดาล จากเชื้อสายตระกูลเอราปถะและตระกูลวิรูปักษ์ถือเป็นสองตระกูลใหญ่ของเหล่านาคราช บุญบารมีของท่านแผ่ไพศาลแม้เทวดายังต้องเกรงใจ” ถ้อยคำหลังนี้เหมือนเจือความเทิดทูลของผู้เล่าลงไปด้วย
“โห งั้นเชียว ขนาดว่าเทวดายังเกรงใจนี่คงมีอิทธิฤทธิ์น่าดูทีเดียว”
ผู้จัดการส่วนตัวสาวแสดงออกถึงความตื่นเต้นในตำนานพญานาค โดยไม่ลืมทิ้งหางตาชำเลืองชายหนุ่มข้าง ๆ ที่ยืนละม้ายหุ่นขี้ผึ้งอยู่ก็จริง แต่ภายในแววตาคมเธอมองออกว่าเขาตั้งตาจับผิดเลขาสาวทุกอิริยาบถ ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่จะได้ยินเขาเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงลากต่ำ คล้ายถากถางเจ้าหล่อนมากกว่าสนใจใคร่รู้ธรรมดา
“ดูเหมือนคุณเลขาพออกพอใจกับนาคราชผู้ครองนครคนใหม่มากเลยนะครับ”
เลขาสาวรู้ตัวว่าได้เผลอหลุดความรู้สึกของตนออกมาในท้ายประโยค ทว่าไม่ปรากฏอาการสะดุ้งสะเทือนให้เห็นแล้วยังรักษาท่วงท่าสงบไว้ ไม่ได้หวั่นไหวต่อสายตาจับจ้องของดาราหนุ่ม
“เป็นธรรมดาค่ะ ในเมื่อฉันเกิดและเติบโตในพื้นที่มีตำนานอันยิ่งใหญ่ ฉันย่อมปลาบปลื้มกับนาคราชผู้ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน คงคล้ายกับความนิยมชมชอบดาราซุปเปอร์สตาร์ทั่วไป” เลขาสาวปรายตาท้าทายดวงตาแข็งกร้าวของคนที่จ้องมองมาด้วยความไม่ชอบใจ ก่อนพูดต่อ
“และองค์นาคินทร์ใช่มีบุญบารมียิ่งใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่ท่านได้ประทานน้ำท่า ทำให้พื้นที่อุดมด้วยพืชผล จึงไม่แปลกอีกเช่นกันที่ฉันและผู้คนชาวริมน้ำโขงจะยกย่องเทิดทูล”
“องค์นาคินทร์ องค์เดียวกันกับตัวละครคุณธัชหรือเปล่าอุ้ม?” พอได้ยินชื่อนาคราชผู้ยิ่งใหญ่ปานเลขาถึงกลับตาโตรีบกระซิบถามเพื่อนดารา เพราะเท่าที่เธออ่านบทละครยังไม่ปรากฏประวัติตัวละครเอกนี้สักเท่าไร
“ใช่” อุรัสยาตอบสั้น ๆ โดยไม่ละสายตาจากดวงตาเฉือนคมระหว่างสองหนุ่มสาว ที่มีทีท่าจะเกิดขึ้นเนือง ๆ ถ้าตราบใดที่ชัชพิมุขยังจับผิดอีกฝ่ายตลอดเวลา น่าเหนื่อยหน่ายพฤติกรรมชายหนุ่มจริง ๆ
หญิงสาวถอนใจ ก่อนหันเหความสนใจมาตรงดวงตาสีแดงที่แฝงความอ่อนโยนของนาคราชวทันยู มองแล้วทำให้เธอหวนคิดถึงเหตุการณ์ในความฝัน นาทีนั้นนางฟ้าอุรัสยาวารีกำลังปั่นสายลมพัดทำให้กระแสน้ำหมุนวนด้วยความคึกคะนอง นาคราชหนุ่มรูปงามสวมชุดพราหมณ์ขาวสะอาดรอบกายเปล่งรัศมีสดใส มากล่าวเตือนสติให้เธอหยุดก่อความวุ่นวายที่นำความพินาศย่อยยับมาสู่ผู้อื่น น้ำเสียงและแววตาโดยเฉพาะเจตนากล่าวเตือนของนาคราชหนุ่มยามนั้น ล้วนเต็มไปด้วยจิตเมตตา ท่านนาคราชวทันยู ท่านเกี่ยวข้องกับนาคีอุรัสยาวารีอย่างไรกันแน่ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าท่านเมตตานางนัก?  เพียงแค่นึกถึงแววตาอ่อนโยนของนาคราชวทันยูมีต่ออุรัสยาวารี หญิงสาวก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาดใจ ก่อนจะสะดุ้งกับเสียงของเลขาสร้อยจันทร์ที่ยังคงกล่าวบรรยาย
“ท่านนาคราชวทันยูเกิดจากนาคตระกูลฉัพพยาปุตตะ เป็นพญานาคตระกูลสีรุ้งที่มาปกครองแทนตระกูลเอราปถะอยู่ชั่วระยะหนึ่ง และตอนนี้เชื้อสายตระกูลเอรปถะก็ได้กลับมาปกครองอีกครั้ง อย่างที่ฉันได้กล่าวไปแล้ว”
“แล้วไม่เกิดการแย่งชิงบัลลังก์กันหรือคะคุณเลขาสร้อยจันทร์?” ปานเลขาเอ่ยถาม เพราะเรื่องราวการแย่งชิงบัลลังก์มีให้เห็นทั้งในโลกความจริงและโลกมายา ซึ่งโลกใต้น้ำจะเหมือนกันไหม
“ก็อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่เผอิญอยู่ในยุคของท่านวทันยู เพราะนาคราชองค์นี้ฝักใฝ่ในการถือศีลบำเพ็ญ อีกอย่างท่านยอมรับในคุณสมบัติที่ครบคุณาประการขององค์นาคินทร์ สงครามแย่งชิงจึงไม่บังเกิด”

ผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกับการเดินชมสถานที่ที่จะใช้ถ่ายละครในวันรุ่งขึ้น ซึ่งห้องถัด ๆ ไปจะเป็นห้องที่จำลองเป็นชายป่าเนินเขา ห้องจำลองสรวงสวรรค์ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นบรรดาครุฑ คนธรรพ์ และเหล่าเทวดานางฟ้า จนกระทั่งจบลงที่ห้องสุดท้าย
พื้นที่ในห้องสุดท้ายนี้จำลองเป็นถ้ำมรกต มีปูนปั้นเตียงนอนสี่เสาตกแต่งหรูหรา พร้อมรูปปั้นพญานาคราชเจ็ดเศียรและพญานาคิณีห้าเศียรขนดครองคู่ประทับอยู่บนนั้นมีชื่อระบุอยู่ที่ฐานทั้งสององค์ เบื้องหน้ามีสระบัวตั้งตระหง่านโดยตรงกลางมีบัวแก้วชูช่อรองรับลูกแก้วหลากสี
คล้ายชั้นถ้ำท่านนาคราชเสียจริง อุรัสยาค่อนข้างตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แต่ยังไม่เท่าปานเลขาที่ร้องดังออกมาด้วยความตื่นเต้น
“โห รูปปั้นสององค์นี้สวยมาก ๆ เลยอุ้ม ดูสิ องค์นี้ต้องเป็นเธอแน่ ๆ เลยอุ้ม”
ปานเลขาชี้ชวนให้ดูพญานาคที่ระบุชื่อ พญานาคิณีอุรัสยาวารี นั้นมีหงอนสีทอง เกล็ดตามลำตัวสีเขียวอ่อนเปล่งประกายสีทอง และมองเลยไปอีกองค์ระบุชื่อ พญานาคราชนาคินทร์ ลำตัวพญานาคราชมีเกล็ดสีเขียวสดใสเปล่งประกายสีทองกว่าพญานาคิณี และพอมาถึงจุดนี้ก็ทำให้เธอและผองเพื่อนได้รู้ว่าพญานาคผู้ชายและพญานาคผู้หญิงต่างกันอย่างไร
“พญานาคเพศผู้จะมีขนาดใหญ่ตลอดลำตัว เศียรแผ่ขยายกว้าง ส่วนพญานาคีช่วงหัวจะใหญ่กว่าลำตัวที่เล็กเรียวไปตลอดถึงหางและหงอนจะลีบเล็กกว่ากัน แต่ก็อีกแหละค่ะ ถ้าพญานาคีมีบุญบารมีมากกว่าก็อาจมีหงอนและเศียรที่ใหญ่กว่าพญานาคเพศผู้ได้ค่ะ”
“แล้วนั่นลูกแก้วอะไรหรือคะ?” อุรัสยาสะกิดใจกับดอกบัวแก้วกลางสระที่มักมีบางสิ่งบางอย่างวางไว้เสมอ ต่างกันแค่ว่าห้องใต้ล่างนั้นเป็นหิน แต่ตรงหน้านี้เป็นลูกแก้วหลากสี
“ดวงแก้วมณีนาคาค่ะ เป็นลูกแก้วประจำกายพญานาค แต่ละองค์จุติมาพร้อมลูกแก้วประจำตัว แต่ลูกแก้วจะเปล่งรัศมีต่อเมื่อพญานาคองค์นั้นถึงวัยอันควร”
“น่าสนใจนะคะ ฉันเคยอ่านเจอว่าลูกแก้วนี้สามารถเนรมิตตามคำขอได้ อย่างที่เรียกกันว่าแก้วสารพัดนึก แฮะ ๆ ฉันเข้าไปอ่านในเว็บเกี่ยวกับพญานาค ไว้เป็นฐานข้อมูลรองรับการแสดงของเธอ” ปานเลขายิ้มหยีกับการจ้องมองอย่างแปลกใจของเพื่อนสาว เพราะตลอดมาผู้จัดการสาวหาได้สนใจเรื่องเหล่านี้
“เนรมิตได้ค่ะ แต่เฉพาะผู้เป็นเจ้าของดวงแก้วมณีเท่านั้น ที่สำคัญดวงแก้วมณีจะมีอิทธิฤทธิ์มากน้อยตามบุญบารมีของพญานาคองค์นั้นค่ะ”
“ว้า บุญบารมีอีกแระ อย่างนี้พญานาคทุกองค์ไม่ต้องถือศีลบวชกันหมดหรือคะ กว่าจะได้ลูกแก้วประจำตัวที่มีอิทธิฤทธิ์มาก ๆ” ปานเลขาทำหน้ายู่ ทั้งที่ลึก ๆ สนุกสนานกับเรื่องราวที่ได้รับฟังตรงหน้า
“แต่อุ้มว่ากระติ๊บบวชได้ เพราะกระติ๊บไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักน่าจะได้บุญอยู่นะ” คนพูดอมยิ้มไปด้วย จนคนฟังค้อนขวับวงใหญ่
“เชอะ ที่ฉันไม่กินเนื้อสัตว์เพราะมันทำให้รู้สึกปวดหัว ใช่ว่ามีใจอยากบวช แค่ไหว้พระทำบุญก็พอแล้ว”
อุรัสยาขบขันกับการได้พูดเย้าเพื่อน พลางสังเกตเห็นสีหน้าซ่อนยิ้มของดาราหนุ่มที่เผลอมองเพื่อนสาวของเธอด้วยสายตาเอ็นดู ก่อนจะได้ยินเขาเอ่ยถามเลขาสาวด้วยเสียงเรียบ
“งูตัวนั้นล่ะครับ คือใคร?” เดินดูมาตั้งนาน ทั่วบริเวณไม่มีอะไรสะดุดใจชัชพิมุข เท่างูสามเศียรเกล็ดสีดำขดตัวคล้ายกิริยาหมอบราบอยู่ข้างก้อนหินติดผนัง ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะมองไม่เห็น ซึ่งชายหนุ่มหวังว่าจะได้รับคำอธิบายจากเลขานำเที่ยวเหมือนคนอื่น ๆ บ้าง แต่ผิดคาด เมื่ออีกฝ่ายพูดปัดไปเสียดื้อ ๆ
“เป็นแค่งูบริวาร ไม่มีอะไรสำคัญหรอกค่ะ  นี่ก็เดินครบกันทุกห้องแล้ว ฉันว่าพนักงานคงจัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้ว เชิญทุกคนกลับขึ้นไปห้องอาหารพร้อมรับประทานมื้อกลางวันกันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยว! คุณยังไม่ได้ให้คำตอบผม เพราะถึงงูบริวารตัวนี้คุณไม่ถือว่าสำคัญ แต่ผมเอ่ยถามคุณ คุณก็ต้องให้คำตอบผม”
ร่างอรชรหันหลัง เตรียมจะก้าวเดินจาก แต่ถูกน้ำเสียงฉุนเฉียวของดาราหนุ่มฉุดรั้งไว้ก่อน สร้อยจันทร์พยายามระงับอารมณ์พลุ่งพล่านก่อนหันมาตอบอย่างเสียมิได้
“นาคีตนนี้ชื่อแสงแก้ว เชื้อสายตระกูลกัณหาโคตมะ จัดอยู่ในนาคตระกูลสีดำ นางไม่มีบทบาทอะไรหรอกนอกจากคอยรับใช้พญานาคิณีเท่านั้น หวังว่าคุณชัชพิมุขคงพอใจกับคำตอบของฉันแล้วนะคะ”
ท่วงท่าจ้องตาต่อตาฟันต่อฟันของทั้งสอง ช่างทำให้อุรัสยาวิตกกังวลไปกับผลที่จะเกิดต่อพวกเขา ปานเลขาคงจะรู้สึกเช่นกัน จึงดุนแขนให้เธอรีบพาสร้อยจันทร์ไปให้พ้นจากสถานการณ์สงครามปะทะนี้เสียที ซึ่งเธอขยับตัวจะทำตามอยู่แล้ว ถ้าพงศกรไม่เดินเข้ามาพร้อมเมธิตาเสียก่อน ซึ่งเมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงสงครามปากได้ยุติลงแล้ว
“ห้องนี้ห้องสุดท้ายแล้วสินะคะคุณเลขา” เมธิตาเอ่ยลอย ๆ ขณะสายตากวาดไปรอบบริเวณ ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าต้องการคำตอบ เพราะเธอกำลังตื่นตาตื่นใจกับความหรูหราของสถานที่ที่แม้จะจำลองลักษณะเป็นถ้ำ และก็แอบเบ้ปากเล็กน้อยกับชื่อพญานาคิณีสาว ก่อนจะหยุดสายตาจ้องจดไปที่งูตัวสีดำขนดตัวอยู่ข้างก้อนหิน และเพียงแค่สายตาดาวร้ายคนสวยหยุดอยู่ที่ฐานระบุชื่อ นาคีแสงแก้ว ก็ร้องโวยวาย
“ต๊าย!  อย่าบอกนะว่าฉันได้เล่นเป็นเจ้างูตัวดำนี่” เพราะมองงูตัวนี้กับงูบนเตียงมันเทียบกันไม่ติดเลย แล้วหญิงสาวอย่างเมธิตาที่ปรารถนาสายตาทุกคู่จ้องมองเธอด้วยความชื่นชมในความสวยโดดเด่นตลอดมา จะยอมรับตัวละครที่หาความเจริญตาไม่ได้เช่นนี้หรือ ดาราดาวร้ายหันมาเล่นงานเลขาสาวทันที
“บทที่คุณเลขาให้ฉันมา บอกว่าแสงแก้วเป็นธิดาเจ้าบาดาล แล้วนี่อะไร งูรับใช้ ต่ำต้อยสิ้นดี ถ้ารู้ว่าต้องมาแสดงเป็นงูตัวนี้ฉันไม่รับตั้งแต่แรกหรอก” เมธิตาเจ็บใจ ที่ไม่มีโอกาสรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้าเลย เพราะต่างต้องทำตามเงื่อนไขของนายทุนที่จะส่งบทให้นักแสดงวันต่อวัน เธอจึงรู้แค่ประวัติเบื้องต้นว่านาคีแสงแก้วเป็นเชื้อสายของอดีตเจ้านครบาดาล ถ้ารู้ว่าต้องมาเป็นไอ้งูตัวดำเมี่ยม เธอไม่ดันทุรังแย่งงานคนอื่นแน่
“โถ ๆ เป็นนักแสดงมืออาชีพ ต่อให้ได้รับบทบาทงูรับใช้ก็ต้องถ่ายทอดออกมาให้สมจริงได้ จริงไหมคะผู้กำกับ” ปานเลขาได้ที ใช้น้ำเสียงล้อเลียนในถ้อยคำที่คู่ปรับเคยได้พูดตอกหน้าเธอไว้ด้วยความสะใจ
เมธิตาหันขวับมาจ้องดวงตาวาว มือกำแน่น สะกดใจที่จะไม่เข้าไปตบปากคนพูด นี่ถ้าอยู่ในฉากละครเธอคงใช้โอกาสทำร้ายอีกฝ่ายโดยไม่ต้องกลัวว่าจะติดคุก เพราะอ้างได้ว่าการแสดงสมจริงต้องใช้ความเป็นมืออาชีพ แต่นี่มันไม่ใช่ฉากในละคร เธอจึงทำได้แค่ยืนกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
เพื่อคลี่คลายความรู้สึกที่ดาวร้ายสาวสวยมีต่อตัวละครนาคีแสงแก้ว สร้อยจันทร์จึงอธิบายขึ้นว่า “แสงแก้วไม่ใช่ตัวละครธรรมดานะคะ นางเป็นธิดาอดีตผู้ปกครองนครบาดาล เพียงแต่เปลี่ยนผู้ครองบัลลังก์นางจึงอยู่ในระดับบริวารขององค์นาคินทร์เท่านั้น และที่ไม่ได้ตั้งรูปปั้นนางโดดเด่นเหมือนนาคองค์อื่น เพราะนาคีแสงแก้วเป็นนาคที่เก็บตัว ไม่ค่อยเที่ยวเล่นนอกวัง แต่ขอบอกว่าตัวละครตัวนี้มีความโดดเด่นมากทีเดียว”
“โดดเด่นยังไงคะคุณเลขา?” เมธิตาลากเสียงถาม หลังจากระงับอารมณ์ร้าย ๆ ภายในตัวได้สำเร็จไปกว่าครึ่ง ซึ่งคำตอบที่เธอได้รับก็เหมือนเลขาสาวจะเดาว่ามันจะถูกอกถูกใจเธอยิ่งนัก
“เพราะความที่นาคีแสงแก้วเป็นธิดาของอดีตเจ้านครบาดาล แล้วยังเป็นเพื่อนสนิทของพญานาคิณี นางจึงเป็นนาคีสาวที่ได้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยสง่า มีเพชรนิลจินดาประดับกายมากมายตลอดเรื่อง ต่างจากอุรัสยาวารีในบทบาทของพญานาคิณีชอบแอบหนีเที่ยวเมืองมนุษย์ จึงถูกลงโทษให้นุ่งขาวนั่งบำเพ็ญศีลไถ่บาปอยู่บ่อย ๆ ไม่ค่อยได้แต่งกายเฉิดฉายเทียบเท่านาคีตนนี้เลย”
เมธิตายิ้มร่า นับว่าคำตอบของเลขาสร้อยจันทร์ทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีต่อตัวละครแสงแก้วขึ้นมาบ้าง
สร้อยจันทร์มองว่าเมธิตาพึงพอใจในตัวละครของตนแล้ว เธอจึงนำขบวนทุกคนกลับขึ้นมาบนห้องอาหาร เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน โดยไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าฉงนของดาราสาวอีกคน
ซึ่งในระหว่างรับประทานอาหารอุรัสยาคิดทบทวนไปด้วยว่า ทุกห้องในชั้นบาดาลต่างระบุตำแหน่งตัวละครไว้ทุกตัว แต่เธอไม่เห็นห้องหนึ่งห้องใดจะมีรูปปั้นพญาครุฑาดลฤทธิ์อยู่เลย และจังหวะที่เธอกำลังคิดถึงใบหน้าพญาครุฑคนหน้าเหมือนพญาครุฑก็โผล่มา
ปานเลขารับโทรศัพท์แล้วหันกระซิบเบา ๆ ว่าผู้กองภาวินมารอเธอที่หน้าประตูโรงแรม ฟังทีแรกยังนึกแปลกใจว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่เดินเข้ามา แต่พอคิดว่าทางโรงแรมเคยประกาศว่ายังไม่เปิดบริการ เธอจึงเข้าใจถึงเหตุผล
หญิงสาวขอตัวเลี่ยงออกมาจากโต๊ะในขณะที่ทุกคนกำลังรับประทานอาหารพร้อมสนทนากันอย่างออกรส เพื่อจะมาเห็นว่าชายหนุ่มในชุดลำลองกำลังยืนชะเง้อคอยเธออยู่ด้านหน้าประตู และเมื่อเธอเปิดให้เขาได้เดินเข้ามาด้านใน ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
งูตัวเขื่องผุดจากข้างประตูเลื้อยดิ่งมาหาด้วยความเร็ว  ใกล้มากแล้วผงาดลำตัวแผ่แม่เบี้ย เตรียมลิ้นฉกพิษเข้าที่ขาชายหนุ่ม วินาทีนั้นอุรัสยารู้สึกว่าตนมีพลังอำนาจบางอย่าง เพราะเพียงแค่เธอจ้องตางู มันก็ถึงกลับหดหัวล่นลง เอี้ยวลำตัวเลื้อยหายไป
“อะไรหรือครับอุ้ม?” ภาวินเลิกคิ้วเอ่ยถาม พร้อมหันไปมองตามสายตาที่จ้องเขม็งผ่านตัวเขาไป
จังหวะที่ผู้กองหนุ่มหันหลัง อุรัสยาลอบถอนใจที่เขาไม่มีโอกาสเห็นสิ่งที่เธอได้กระทำต่ออสรพิษตัวนั้น พร้อมเกิดคำถามท่ามกลางความตกใจแกมประหลาดใจต่อเธอว่า เป็นไปได้ยังไง เราบังคับงูตัวนั้นได้
 
 เสน่หานาคี
ทำมือขาย: 280 + 40 = 320 บาท 
ยอดโอนยืม ราคาปก 399 + 40 = 439
(พื้นที่ห่างไกลลงทะเบียน)
ซึ่งร้านรับคืนหนังสือแล้วโอนคืนลูกค้า 399-39=360 บาท 

เงื่อนไขราคาเช่า : เช่าเหมา  7 วัน ราคา 10%ของราคาปก ตัวอย่างการยืม เช่น นิยายราคาปก 200x10%=20 บาทซึ่ง ยอดยืม 20 บาทนี้จะหักจากค่ามัดจำที่ผู้ยืมต้องจ่ายตามราคาปกก่อน เมื่อส่งหนังสือคืนแล้ว จะโอนคืนส่วนที่หักค่ายืมแล้วค่ะ
หมายเหตุ : ยืมได้ครั้งละไม่เกิน 2 เล่ม ส่งคืนตามวันที่ระบุ ถ้าเลยกำหนดส่งสองวันขอหักยอดที่จะโอนคืนวันละ 2 บาทค่ะ และขอย้ำว่าต้องวางมัดจำตามราคาปกทุกเล่มค่ะ